บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
สมัยนั้น พระศาสดาพระนามว่าเรวตะ เสด็จอุบัติขึ้น แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นภพที่รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะเป็นอันมาก จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางวิปุลา ผู้ไพบูลย์ด้วยคุณราศรีอันงดงามและน่าจับใจ ซึ่งเป็นจุดรวมดวงตาของชนทั้งปวง เรืองรองด้วยความงาม ซึ่งเกิดจากดวงหน้าและดวงใจอันมีสิริน่ารักดุจดอกบัวบานตระการตา อัครมเหสีในราชสกุลของพระเจ้าวิปุลราช ผู้ไพบูลย์ด้วยความมั่งคั่งทุกอย่าง อันเกลื่อนด้วยเหตุเกิดแห่งสิริสมบัติ ทรงถูกห้อมล้อมด้วยราชบริพารอันงดงามประมาณมิได้ ประดับกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงในกรุงสุธัญญวดี ซึ่งมีทรัพย์และข้าวเปลือกพร้อมสรรพ ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ดุจพญาหงส์ทองบินออกจาก จิตรกูฏบรรพต. ปาฏิหาริย์ทั้งหลายในการปฏิสนธิและประสูติของพระองค์ ก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วแต่ก่อน. พระองค์มีปราสาท ๓ หลัง ชื่อสุทัสสนะ รตนัคฆิและอาเวฬะ. สตรีจำนวนสามหมื่นสามพันนาง มีพระนางสุทัสสนาเทวีเป็นประธานก็ปรากฏ. พระเรวตราชกุมารนั้นอันเหล่ายุวนารีผู้กล้าหาญแวดล้อมแล้ว ทรงครองฆราวาสวิสัยเสวยสุขอยู่หกพันปี เหมือนเทพกุมาร. เมื่อพระโอรสพระนามว่าวรุณะ ของพระนางสุทัสสนาเทวีประสูติ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ แล้วทรงเครื่องนุ่งห่มอย่างดีเบาๆ มีสีสรรต่างๆ ทรงสวมกุณฑลมณีมุกดาหาร ทรงทองพาหุรัดมงกุฏและกำไลพระกรอย่างดี ทรงประดับด้วยของหอมและดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เป็นกลุ่มที่ทำความงามอย่างยิ่ง เหมือนดวงจันทร์ในฤดูสารท อันจตุรงคินีเสนาทัพใหญ่แวดล้อมแล้วประหนึ่งดวงจันทร์อันหมู่ดาราแวดล้อม ประหนึ่งท้าวสหัสนัยน์อันหมู่เทพชั้นไตรทศแวดล้อมแล้ว และประหนึ่งท้าวหาริตมหาพรหมอันหมู่พรหมแวดล้อมแล้ว เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า ทรงเปลื้องเครื่องสรรพาภรณ์ ประทานไว้ในมือพนักงานเรือนคลังหลวง ทรงตัดพระเกศาและมงกุฏของพระองค์ ด้วยมีดที่ลับคมกริบเฉกเช่นกลีบดอกบัวเกิดในน้ำที่ไร้มลทินและไม่วิกล แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ. ท้าวสักกเทวราชก็ทรงเอาผอบทองรองรับพระเกศาและมงกุฏนั้นไว้ ทรงนำไปยังภพดาวดึงส์ ทรงสร้างพระเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการไว้เหนือยอดขุนเขาสิเนรุ. ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงครองผ้ากาสายะ ที่เทวดาถวายแล้วทรงผนวช. บุรุษโกฏิหนึ่งก็บวชตามเสด็จพระองค์. พระมหาบุรุษนั้นอันบุรุษเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ๗ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่าสาธุเทวี ถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ตอนเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำที่อาชีวกผู้หนึ่งถวายแล้ว เสด็จเข้าไปที่ต้นนาคะ (กา อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ต่อจากสมัยของพระสุมนพุทธเจ้า พระชินพุทธเจ้า พระนามว่า เรวตะ ผู้นำโลก ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีผู้เสมือน ไม่มีผู้วัด ทรงเป็นผู้สูงสุด ดังนี้. ได้ยินว่า พระเรวตศาสดาทรงยับยั้ง ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์นั่นแล ๗ สัปดาห์ ทรงรับคำอาราธนาของท้าวมหาพรหม เพื่อทรงแสดงธรรม ทรงใคร่ครวญว่าจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงเห็นภิกษุโกฏิหนึ่งที่บวชกับพระองค์ และเทวดากับมนุษย์อื่นเป็นอันมากเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย จึงเสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่พระวิหารวรุณาราม อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ที่ลุ่มลึกละเอียด มีปริวัฏ ๓ ซึ่งผู้อื่นประกาศไม่ได้ ทรงยังภิกษุโกฏิหนึ่งให้ตั้งอยู่ในพระอรหัต ผู้ที่ตั้งอยู่ในมรรคผล ๓ กำหนดจำนวนไม่ถ้วน. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า แม้พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้น อันมหาพรหม อาราธนาแล้ว ทรงประกาศธรรมซึ่งกำหนดขันธ์ธาตุ อันเป็นเหตุไม่เป็นไปในภพน้อยภพใหญ่. แก้อรรถ อนึ่งพึงทราบการกำหนดขันธ์และธาตุ แม้โดยอนิจจานุปัสสนาเป็นอาทิ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า รูปเปรียบเหมือนก้อนฟองน้ำ เพราะไม่ทนต่อการย่ำยี และเพราะต้องขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเป็นต้น เวทนาเปรียบเหมือนฟองน้ำเพราะรื่นรมย์อยู่ชั่วขณะ สัญญาเปรียบเหมือนพยับแดดเพราะความย่อยยับไป สังขารทั้งหลายเปรียบเหมือนต้นกล้วย เพราะไม่มีแก่น วิญญาณเปรียบเหมือนนักเล่นกล เพราะลวง. ในคำนี้ว่า อปฺปวตตํ ภวาภเว ความว่า ความเจริญชื่อว่าภวะ ความเสื่อมชื่อว่าอภวะ. พึงทราบความแห่งภวะและอภวะ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า สัสสตทิฏฐิชื่อว่าภวะ อุจเฉททิฏฐิชื่อว่าอภวะ, ภพน้อยชื่อว่าภวะ ภพใหญ่ชื่อว่าอภวะ, กามภพชื่อว่าภวะ รูปภพและอรูปภพชื่อว่าอภวะ. อธิบายว่า ทรงประกาศธรรมอันเป็นเหตุไม่เป็นไปแห่งภวะและอภวะเหล่านั้น. อีกนัยหนึ่ง อุปปัตตินิมิตในภพทั้งสามมีกามภพเป็นต้น ชื่อว่าภวะ เพราะเป็นเครื่องเป็นเครื่องมีอุปปัตติภพ ชื่อว่าอภวะ. อธิบายว่า ทรงแสดงธรรมอันทำการละความยินดีในภวะและอภวะทั้งสอง คือไม่เป็นไป. ก็พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีอภิสมัย ๓ เหมือนกัน. แต่อภิสมัยครั้งที่ ๑ ของพระองค์ เหลือที่จะนับจำนวนของผู้ตรัสรู้ได้. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ในการแสดงธรรมของพระองค์ ก็มีอภิสมัย ๓ ครั้ง. แต่อภิสมัยครั้งที่ ๑ กล่าวด้วยการนับจำนวนผู้ตรัสรู้ไม่ได้. แก้อรรถ สมัยต่อมา ได้มีพระราชาพระนามว่าอรินทมะ ผู้ทรงชนะข้าศึกในอุตตรนคร ซึ่งเป็นนครฝ่ายเหนือ. ได้ยินว่า พระเจ้าอรินทมะพระองค์นั้นทรงทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงนครของพระองค์ ทรงมีชนสามโกฏิห้อมล้อมเสด็จออกไปรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น ทรงถวายมหาทาน ๗ วันแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงทำ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมมีนัยอันวิจิตร เหมาะแก่พระหฤทัยของพระเจ้าอรินทมะนั้น. ในที่ประชุมนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่เทวดาและมนุษย์พันโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ครั้งใด พระเรวตมุนีทรงแนะนำพระเจ้าอรินทมะ ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่เทวดาและมนุษย์พันโกฏิ. นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒. สมัยต่อมา พระเรวตศาสดาทรงอาศัยอุตตรนิคมประทับอยู่ ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ๗ วัน. ได้ยินว่า ครั้งนั้น มนุษย์ชาวอุตตรนิคมนำเอาข้าวต้มข้าวสวย ของขบฉัน เภสัชและน้ำปานะเป็นต้น ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์แล้วพากันถามว่า ท่านเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ เมื่อล่วงไป ๗ วัน พวกเขาก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ทรง ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ในวันที่ ๗ พระนราสภทรงออกจากที่เร้นแล้ว ทรงแนะนำเทวดาและมนุษย์ร้อยโกฏิในผลสูงสุด ดังนี้. ในสุธัญญวดีนคร พระอรหันต์ที่บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาจำนวนนับไม่ถ้วน ได้มีสันนิบาตครั้งที่ ๑ ในมหาปาติโมกขุทเทศครั้งที่ ๑. ในเมขลนคร พระอรหันต์ที่บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชานับได้แสนโกฏิ ก็ได้มีสันนิบาตครั้งที่ ๒. พระอัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเรวตะ ชื่อว่าวรุณะ ผู้อนุวัตรตามพระธรรมจักรเป็นยอดของภิกษุผู้มีปัญญาทั้งหลาย เกิดอาพาธ. ในครั้งนั้น พระเรวตพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอันแสดงถึงไตรลักษณ์แก่มหาชนที่ประชุมกันเพื่อต้องการถามภิกษุไข้ ทรงยังบุรุษแสนโกฏิให้บวชด้วยเอหิ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระเรวตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาตประชุมพระขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน หลุดพ้นดี แล้ว ผู้คงที่ ๓ ครั้ง. ผู้ที่ประชุมกันครั้งที่ ๑ เกินที่จะนับจำนวนได้ ในการประชุมครั้งที่ ๒ นับจำนวนผู้ประชุมได้แสน โกฏิ. ครั้งที่พระวรุณะอัครสาวก ผู้ไม่มีผู้เสมอด้วย ปัญญา ผู้อนุวัตรพระธรรมจักรตามพระเรวตพุทธเจ้า พระองค์นั้น เกิดอาพาธหนักต้องสงสัยในชีวิต. ครั้งนั้น เหล่าพระมุนีผู้เป็นพระอรหันต์จำนวน แสนโกฏิเข้าไปหา เพื่อถามถึงอาพาธของท่าน เป็น การประชุมครั้งที่ ๓. แก้อรรถ ในคำว่า ปตฺโต ชีวิตสํสยํ นี้ ความสงสัยในชีวิต ชื่อว่าชีวิตสังสยะ. ถึงความสงสัยในชีวิตอย่างนี้ว่า พระเถระถึงความสิ้นชีวิตหรือ หรือยังไม่ถึงความสิ้นชีวิต. อธิบายว่า ถึงความสงสัยในชีวิตว่า เพราะภาวะที่อาพาธรุนแรงพระเถระจะมรณภาพ หรือไม่มรณภาพ. บทว่า เย ตทา อุปคตา มุนี เมื่อเป็นทีฆะ ดังนี้ ก็หมายความถึงภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นรัสสะ พร้อมทั้งนิคคหิต [มุนี] ก็หมายความถึงพระวรุณะอัครสาวก. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ ชื่อว่าอติเทวะ ในรัมมวดีนคร ถึงฝั่งในพราหมณธรรม เห็นพระเรวตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรมกถาของพระองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ กล่าวสดุดีพระทศพลด้วยคาถาพันโศลก บูชาด้วยผ้าห่มมีค่าเรือนพัน. แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ในที่สุดสองอสงไขยกำไรแสนกัป นับแต่กัปนี้ไป. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ ชื่อว่า อติเทวะ เข้า ไปเฝ้าพระเรวตพุทธเจ้า ถึงพระองค์เป็นสรณะ. เราสรรเสริญศีล สมาธิและพระปัญญาคุณอันสูง สุดของพระองค์ตามกำลัง ได้ถวายผ้าอุตตราสงค์. แม้พระเรวตพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้นก็ทรง พยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่หา ประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป. เราตั้งความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่าน ผู้นี้. พึงกล่าว ๑๗ คาถาให้พิศดาร เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ บริบูรณ์. แม้ครั้งนั้น เราระลึกถึงพุทธธรรมนั้นแล้วก็เพิ่ม พูน จักนำพุทธธรรมที่เราปรารถนานักหนามาให้ได้. แก้อรรถ บทว่า ปญฺญาคุณํ ได้แก่ สมบัติคือปัญญา. บทว่า อนุตฺตมํ ได้แก่ ประเสริฐสุด. ปาฐะว่า ปญฺญาวิมุตฺติคุณมุตฺตมํ ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นก็ง่ายเหมือนกัน. บทว่า โถมยิตฺวา แปลว่า ชมเชยแล้ว สรรเสริญแล้ว. บทว่า ยถาถามํ แปลว่า ตามกำลัง. บทว่า อุตฺตรียํ แปลว่า ผ้าอุตตราสงค์. บทว่า อทาสหํ ตัดบทว่า อทาสึ อหํ. บทว่า พุทฺธธมฺมํ ได้แก่ ธรรมที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้า. อธิบายว่า บารมีธรรม. บทว่า สริตฺวา แปลว่า ตามระลึกถึง. บทว่า อนุพฺรูหยึ ได้แก่ ทำให้เจริญยิ่งแล้ว. บทว่า อาหริสฺสามิ แปลว่า จักนำมา. บทว่า ตํ ธมฺมํ ได้แก่ ความเป็นพระพุทธเจ้านั้น. บทว่า ยํ มยฺหํ อภิปตฺถิตํ ความว่า เราจักนำความเป็นพระพุทธเจ้าที่เรา ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเรวตพระองค์นั้น ทรงมีพระนครชื่อว่าสุธัญญวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าวิปุลราช พระชนนีพระนามว่าพระนางวิปุลา คู่พระอัคร ครั้งนั้น เปลวพระรัศมีแล่นออกจากพระวรกาย ของพระองค์ยอดเยี่ยม แผ่ไปโยชน์หนึ่งเป็นนิตย์ ทั้ง กลางวันทั้งกลางคืน. พระมหาวีระชินพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรง อนุเคราะห์สรรพสัตว์ ทรงอธิษฐานว่า ธาตุทั้งหลาย ของเราทั้งหมด จงเฉลี่ยให้ทั่วถึงกัน. พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้น อันมนุษย์และ เทวดาทั้งหลายบูชาแล้ว ดับขันธปรินิพพาน ณ พระ- ราชอุทยานมหานาควัน แห่งพระนครอันยิ่งใหญ่แล. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระเรวตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระ นครชื่อว่าสุธัญญวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าวิปุลราช พระชนนีพระนามว่าพระนางวิปุลา. พระอัครสาวก ชื่อว่าพระวรุณะและพระพรหมเทวะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระสัมภวะ. พระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระภัททาและพระสุภัททา พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอพระองค์นั้น ตรัสรู้ ณ โคนโพธิ พฤกษ์ ชื่อต้นนาคะ. อัครอุปัฏฐากชื่อว่าปทุมะและกุญชระ อัคร อุปัฏฐายิกาชื่อว่าปาลาและอุปปาลา.๑- พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยส่วนสูง ทรงสูง ๘๐ ศอก ทรงส่งพระรัศมีไปทุกทิศเหมือนดวงอาทิตย์อุทัย. เปลวพระรัศมีบังเกิดในพระสรีระ ของพระองค์ ยอดเยี่ยม แผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ทั้งกลางคืนกลางวัน. ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุหกหมื่นปี พระพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์เพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชน เป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร. พระเรวตพุทธเจ้าทรงแสดงกำลังของพระพุทธเจ้า ทรงประกาศอมตธรรมในโลก หมดเชื้อก็ดับขันธปรินิพพาน เหมือนไฟสิ้นเชื้อก็ดับไปฉะนั้น. พระวรกายดังรัตนะนั้นด้วย พระธรรมไม่มีธรรมอื่น เทียบได้นั้นด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่า แน่แท้. ____________________________ ๑- ม. ชื่อว่า สิริมาและยสวตี แก้อรรถ บทว่า อุคคโต แปลว่า ขึ้นไปแล้ว. บทว่า ปภามาลา ได้แก่ ขอบเขตพระรัศมี. บทว่า ยถคฺคิ ได้แก่ เหมือนกับไฟ. บทว่า อุปาทานสงฺขยา แปลว่า สิ้นเชื้อ. บทว่า โส จ กาโย รตนนิโภ ได้แก่ พระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีวรรณะเพียงดังทองนั้นด้วย. ปาฐะว่า ตญฺจ กายํ รตนนิภํ ดังนี้ก็มี ท่าน คาถาที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๕. เรวตพุทธวงศ์ จบ. |