ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 6อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 7อ่านอรรถกถา 33.2 / 8อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์
๖. โสภิตพุทธวงศ์

               พรรณนาวงศ์พระโสภิตพุทธเจ้าที่ ๖               
               ภายหลังสมัยของ พระเรวตพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อพระศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว พระโพธิสัตว์พระนามว่าโสภิตะ ทรงบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกำไรแสนกัป ก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงอยู่ตลอดอายุในที่นั้นแล้ว อันทวยเทพอ้อนวอนแล้วก็จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุธัมมาเทวี ในราชสกุลของพระเจ้าสุธัมมราช ในสุธัมมนคร.
               พระโพธิสัตว์นั้นถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ สุธัมมราชอุทยาน เหมือนดวงจันทร์ลอดออกจากหลืบเมฆ. ปาฏิหาริย์ในการปฏิสนธิและประสูติของพระองค์มีประการดังกล่าวมาก่อนแล้ว.
               พระโพธิสัตว์นั้นครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี เมื่อพระโอรสพระนามว่าสีหกุมาร ทรงถือกำเนิดในพระครรภ์ของพระนางมขิลาทวี๑- พระอัครมเหสียอดสนมนาฏเจ็ดหมื่นนางแล้ว.
____________________________
๑- บาลีเป็น มกิลา.

               ทรงเห็นนิมิต ๔ เกิดสลดพระหฤทัย ทรงผนวชในปราสาทนั่นเอง ทรงเจริญอานาปานัสสติสมาธิในปราสาทนั้นนั่นแหละ ทรงได้ฌาน ๔ ทรงบำเพ็ญเพียรในปราสาทนั้น ๗ วัน.
               ต่อนั้น เสวยข้าวมธุปายาสรสอร่อยอย่างยิ่ง พระนางมขิลามหาเทวีถวายแล้ว ทรงเกิดจิตคิดจะออกอภิเนษกรมณ์ว่า ขอปราสาทที่ประดับตกแต่งแล้วนี้ จงไปทางอากาศ ต่อหน้ามหาชนที่กำลังดูอยู่แล้ว ทำโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลาง แล้วลงเหนือแผ่นดิน และสตรีเหล่านี้ เมื่อเรานั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ ไม่ต้องมีคนบอก จงลงจากปราสาทกันเองเถิด พร้อมกับเกิดจิตดังนั้น ปราสาทก็เหาะจากพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุธัมมราช ขึ้นสู่อากาศเฉกเช่นอัญชันบรรพตสีเขียวคราม ปราสาทนั้น มีพื้นปราสาทประดับด้วยพวงดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวล เหมือนประดับประดาทั่วพื้นอัมพรรุ่งโรจน์ดั่งดวงทินกร กลุ่มที่กระทำความงามเสมือนธารน้ำทอง และดั่งดวงรัชนีกรในฤดูสารท มีข่ายขึงกระดิ่งงามวิจิตรนานาชนิดห้อยย้อย เมื่อต้องลมก็ส่งเสียงไพเราะน่ารักน่าใคร่ ดั่งดนตรีเครื่อง ๕ ที่ผู้ชำนาญบรรเลง.
               ด้วยเสียงไพเราะได้ยินมาแต่ไกล เสียงไพเราะนั้นก็หยั่งลงสู่โสตของสัตว์ทั้งหลาย ประหนึ่งถูกประเล้าประโลมทางอากาศ อันไม่ไกลชายวนะอันงามของต้นไม้ ไม่ต่ำนักไม่สูงนัก ในหมู่มนุษย์ที่ยืนเจรจาปราศรัยกันอยู่ในบ้านเรือน ทาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง และในถนนเป็นต้น ประหนึ่งดึงดูดสายตาชนด้วยสีที่แล่นเรืองรองรุ่งโรจน์ด้วยรัตนะต่างๆ คือกิ่งอันงามของต้นไม้ และประหนึ่งโฆษณาปุญญานุภาพก็ดำเนินไปตลอดพื้นคัคนานต์.
               แม้เหล่าสนมนาฎนารี ณ ที่นั้นก็ขับกล่อมประสานเสียงด้วยเสียงอันไพเราะแห่งดนตรีอย่างดีมีองค์ ๕ เขาว่าแม้กองทัพ ๔ เหล่าของพระองค์ ก็งดงามด้วยอาภรณ์คือดอกไม้หอมและผ้ามีสีสรรต่างๆ ร่วงรุ้งรุ่งโรจน์เกิดจากประกายเครื่องอลังการและอาภรณ์ประดับกาย ไปแวดล้อมปราสาททางภาคพื้นนภากาศ ดุจกองทัพทวยเทพ ดุจแผ่นธรณีที่งามน่าดูอย่างยิ่ง.
               แต่นั้น ปราสาทก็ไปทำต้นโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนาคะ ซึ่งสูง ๘๘ ศอกลำต้นตรงอวบกลม ประดับด้วยดอกใบอ่อนตูมไว้ตรงกลาง แล้วลงตั้งที่พื้นดิน. ส่วนเหล่าสนมนาฏนารี ใครๆ มิได้บอก ก็ลงจากปราสาทนั้นหลีกไป.
               เขาว่า แม้พระโสภิตมหาบุรุษผู้งามด้วยคุณสมบัติเป็นอันมากทำมหาชนเป็นบริวารอย่างเดียว ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓ แห่งราตรี.
               ส่วนกองกำลังแห่งมาร ก็ไปตามทางที่ไป โดยกำลังธรรมดาของพระมหาบุรุษนั้นนั่นเอง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว ก็ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ทรงยับยั้ง ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ทรงรับการอาราธนาธรรมของท้าวมหาพรหม.
               ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุว่าจะทรงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ก็ทรงเห็นอสมกุมารและสุเนตตกุมาร พระกนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระองค์ว่า กุมารทั้งสองพระองค์นี้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัย สามารถแทงตลอดธรรมอันละเอียดลุ่มลึกได้ เอาเถิด เราจะแสดงธรรมแก่กุมารทั้งสองนี้แล้ว เสด็จมาทางอากาศ ลง ณ สุธัมมราชอุทยาน โปรดให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานเรียกพระกุมารทั้งสองพระองค์มาแล้ว อันพระกุมารพร้อมทั้งบริวารแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางมหาชน.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         ต่อจากสมัยของพระเรวตพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
               พระนามว่า โสภิตะ ผู้นำโลก ผู้ตั้งมั่น จิตสงบ ไม่มีผู้
               เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ.
                         พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงกลับพระทัย
               ในพระนิเวศน์ของพระองค์แล้ว ทรงบรรลุพระโพธิญาณ
               สิ้นเชิง ประกาศพระธรรมจักรแล้ว.
                         บริษัทหมู่หนึ่ง ในระหว่างนี้ คือเบื้องล่างตั้งแต่
               อเวจีนรก เบื้องบนตั้งแต่ภวัคคพรหม ก็ได้มีในการ
               แสดงธรรม.
                         พระสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักร ณ
               ท่ามกลางบริษัทนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ กล่าวไม่ได้ด้วย
               จำนวนผู้ตรัสรู้.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกเคหมฺหิ ได้แก่ ในนิเวศน์ของตนนั่นเอง.
               อธิบายว่า ณ พื้นภายในปราสาทนั่นแล.
               บทว่า มานสํ วินิวตฺตยิ ได้แก่ กลับใจ.
               อธิบายว่า อยู่ในนิเวศน์ของพระองค์ เปลี่ยนจิตจากความเป็นปุถุชนภายใน ๗ วันเท่านั้น แล้วทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า.
               บทว่า เหฏฺฐา แปลว่า เบื้องต่ำ.
               บทว่า ภวคฺคา ได้แก่ แต่อกนิษฐภพ.
               บทว่า ตาย ปริสาย ได้แก่ ท่ามกลางบริษัทนั้น.
               บทว่า คณนาย น วตฺตพฺโพ ความว่า เกินที่จะนับจำนวนได้.
               บทว่า ปฐมาภิสมโย ได้แก่ ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑.
               บทว่า อหุ ความว่า บริษัทนับจำนวนไม่ได้. ปาฐะว่า ปฐเม อภิสฺมึสุเยว ดังนี้ก็มี.
               ความว่า ชนเหล่าใดตรัสรู้ในการแสดงธรรมของพระโสภิตพุทธเจ้านั้น ชนเหล่านั้นอันใครๆ กล่าวไม่ได้ด้วยการนับจำนวน.
               สมัยต่อมา พระโสภิตพุทธเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นจิตตปาฏลี ใกล้ประตูกรุงสุทัสนะ ประทับนั่งทรงแสดงอภิธรรม เหนือพื้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ โคนต้นปาริฉัตรในภพดาวดึงส์ อันเป็นภพที่สำเร็จด้วยนพรัตน์และทอง. จบเทศนา เทวดาเก้าหมื่นโกฏิตรัสรู้ธรรม นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                                   เมื่อพระโสภิตพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ต่อจากอภิสมัย
                         ครั้งที่ ๑ นั้น ณ ที่ประชุมเทวดาทั้งหลาย อภิสมัยครั้งที่ ๒
                         ก็ได้มีแก่เทวดาเก้าหมื่นโกฏิ.

               สมัยต่อมา พระราชกุมารพระนามว่าชัยเสนะ ในกรุงสุทัสสนะ ทรงสร้างวิหารประมาณโยชน์หนึ่ง ทรงสร้างพระอาราม ทรงเว้นไว้ระยะต้นไม้ดีเช่นต้นอโศก ต้นสน จำปา กะถินพิมาน บุนนาค พิกุลหอม มะม่วง ขนุน อาสนศาลา มะลิวัน มะม่วงหอม พุดเป็นต้น ทรงมอบถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำอนุโมทนาทาน ทรงสรรเสริญการบริจาคทานแล้วทรงแสดงธรรม.
               ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่หมู่สัตว์แสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓.
               ด้วยเหตุนี้ จึงตรัสว่า
                                   ต่อมาอีก เจ้าราชบุตรพระนามว่าชัยเสนะ ทรง
                         สร้างพระอาราม มอบถวายพระพุทธเจ้าครั้งนั้น.
                                   พระผู้มีพระจักษุ เมื่อทรงสรรเสริญการบริจาค
                         ทาน ก็ทรงแสดงธรรมโปรดเจ้าราชบุตรนั้น ครั้งนั้น
                         อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์พันโกฏิ.

               พระราชาพระนามว่าอุคคตะ ก็สร้างพระวิหารชื่อว่าสุนันทะ ในกรุงสุนันทะ ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. ในทานนั้น พระอรหันต์ร้อยโกฏิซึ่งบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาประชุมกัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์เหล่านั้น นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
               คณะธรรมในเมขลนคร สร้างมหาวิหารที่น่ารื่นรมย์อย่างดี ชื่อว่าธัมมคณาราม ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอีก แล้วได้ถวายทานพร้อมด้วยบริขารทุกอย่าง. ในสมาคมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในสันนิบาตการประชุมพระอรหันต์เก้าหมื่นโกฏิ ซึ่งบวชโดยเอหิภิกขุภาวะ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
               ส่วนสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาในภพของท้าวสหัสนัยน์ อันหมู่เทพแวดล้อมแล้ว เสด็จลงจากเทวโลก ในดิถีปวารณาพรรษา ทรงปวารณาพร้อมด้วยพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ ในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                                   พระโสภิตพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีสันนิบาต
                         ๓ ครั้ง ประชุมพระอรหันต์ขีณาสพผู้ไร้มลทินมีจิตสงบ คงที่.
                                   พระราชาพระองค์นั้นพระนามว่าอุคคตะ ถวายทาน
                         แด่พระผู้เป็นยอดแห่งนรชน ในกาลนั้น พระอรหันต์ร้อยโกฏิ
                         มาประชุมกัน (ครั้งที่ ๑).
                                   ต่อมาอีก หมู่ชนชาวเมืองถวายทานแด่พระผู้เป็นยอด
                         แห่งนรชน ครั้งนั้น พระอรหันต์เก้าสิบโกฏิประชุมกันเป็น
                         ครั้งที่ ๒.
                                   ครั้งพระชินพุทธเจ้า จำพรรษา ณ เทวโลก เสด็จลง
                         พระอรหันต์แปดสิบโกฏิประชุมกันเป็นครั้งที่ ๓.

               เล่ากันว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ชื่อว่าสุชาตะ เกิดดีทั้งสองฝ่าย ในกรุงรัมมวดี ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะแล้วตั้งอยู่ในสรณะ ถวายมหาทานตลอดไตรมาสแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
               แม้พระโสภิตพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์สุชาตพราหมณ์นั้นว่า ในอนาคตกาล จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ชื่อว่า สุชาตะ ใน
               ครั้งนั้น ได้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกให้
               อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ.
                         พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้นำโลกพระองค์นั้น ทรง
               พยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้ จักเป็นพระพุทธเจ้าในกัปที่
               หาประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป.
                         พระตถาคตตั้งความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อหน้า
               ของท่านผู้นี้.
                         เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ร่าเริง สลด
               ใจ ได้ทำความเพียรอย่างแรงกล้า เพื่อให้ประโยชน์
               นั้นเกิดขึ้น.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเมวตฺถมนุปตฺติยา ได้แก่ เพื่อให้เกิดความเป็นพระพุทธเจ้านั้น.
               อธิบายว่า ก็ครั้นฟังพระดำรัสของพระโสภิตพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า ในอนาคตกาล ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ดังนี้แล้วจึงปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่ผิด.
               บทว่า อุคฺคํ ได้แก่ แรงกล้า. บทว่า ธิตึ ได้แก่ ความเพียร.
               บทว่า อกาสหํ ตัดบทว่า อกาสึ อหํ แปลว่า ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะพระองค์นั้นมีพระนครชื่อว่าสุธัมมะ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุธัมมะ พระชนนีพระนามว่าพระนางสุธัมมา คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระสุเนตตะและพระอสมะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าอโนมะ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระนกุลาและพระสุชาดา โพธิพฤกษ์ชื่อว่าต้นนาคะ. พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัครมเหสีพระนามว่ามกิลา พระโอรสพระนามว่าสีหกุมาร. พระสนมนาฏนารีสามหมื่นเจ็ดพันนาง ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี ทรงออกอภิเนษกรมณ์โดยเสด็จไปพร้อมกับปราสาท. อุปัฏฐากพระนามว่า พระเจ้าชัยเสนะ.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         พระโสภิตพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระนคร
               ชื่อว่าสุธัมมะ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุธัมมะ พระชนนี
               พระนามว่าพระนางสุธัมมา.
                         พระโสภิตพุทธเจ้าผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่มีพระอัครสาวก
               ชื่อว่าพระอสมะและพระสุเนตตะ มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า
               พระอโนมะ.
                         มีพระอัครสาวิกาชื่อว่าพระนกุลาและพระสุชาดา.
               พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้ ณ โคนโพธิ
               พฤกษ์ชื่อว่าต้นนาคะ.
                         พระมหามุนี สูง ๕๘ ศอก ส่งรัศมีสว่างไปทุกทิศ
               ดังดวงอาทิตย์อุทัย.
                         ป่าใหญ่มีดอกไม้บานสะพรั่ง อบอวลด้วยกลิ่นหอม
               นานา ฉันใด. ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า ก็อบอวลด้วย
               กลิ่น คือศีลฉันนั้นเหมือนกัน.
                         ขึ้นชื่อว่ามหาสมุทร อันใครๆ ไม่อิ่มได้ด้วยการเห็น
               ฉันใด ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้าอันใครๆ ก็ไม่อิ่มด้วย
               การฟังฉันนั้นเหมือนกัน.
                         ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระโสภิตะพุทธ
               เจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงมีพระชนม์ยืนอย่างนั้น จึงทรงยัง
               หมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
                         พระองค์ทั้งพระสาวก ประทานโอวาทานุศาสน์แก่
               ชนที่เหลือแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟไหม้
               แล้วก็ดับฉะนั้น.
                         พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีผู้เสมอ
               พระองค์นั้นด้วย เหล่าพระสาวกผู้ถึงกำลังเหล่านั้นด้วย
               ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตรํสีว แปลว่า เหมือนดวงอาทิตย์. ความว่า ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ.
               บทว่า ปวนํ แปลว่า ป่าใหญ่.
               บทว่า ธูปิตํ ได้แก่ อบ ทำให้มีกลิ่น.
               บทว่า อตปฺปิโย ได้แก่ ไม่ทำความอิ่มหรือไม่เกิดความอิ่ม.
               บทว่า ตาวเท แปลว่า ในกาลนั้น. ความว่า ในกาลเพียงนั้น.
               บทว่า ตาเรสิ แปลว่า ให้ข้าม.
               บทว่า โอวาทํ ความว่า การสอนครั้งเดียว ชื่อว่าโอวาท.
               บทว่า อนุสิฏฺฐึ ความว่า การกล่าวบ่อยๆ ชื่อว่า อนุสิฏฐิ [อนุศาสน์].
               บทว่า เสสเก ชเน ได้แก่ แก่ชนที่เหลือ ซึ่งยังไม่บรรลุการแทงตลอดสัจจะ.
               บทว่า หุตาสโนว ตาเปตฺวา แปลว่า เหมือนไฟไหม้แล้ว.
               อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน เพราะสิ้นอุปาทาน.
               ในคาถาที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
               จบพรรณนาวงศ์พระโสภิตพุทธเจ้า               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๖. โสภิตพุทธวงศ์ จบ.
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 6อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 7อ่านอรรถกถา 33.2 / 8อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=7496&Z=7552
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=51&A=5433
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=51&A=5433
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :