บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] หน้าต่างที่ ๒ / ๓. บทว่า โพธิสตฺโต คือ สัตว์ผู้ฉลาด สัตว์ผู้ตรัสรู้. อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ผู้ฝักใฝ่ คือมีใจจดจ่ออยู่ในมรรค ๔ กล่าวคือโพธิ ชื่อว่าโพธิสัตว์. ในบทว่า สโต สมฺปชาโน นี้ บทว่า สโต คือ สตินั้นเอง. บทว่า สมฺปชาโน คือญาณ. อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทรงกระทำสติให้มั่น กำหนดด้วยญาณเสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา. บทว่า โอกฺกมิ ท่านแสดงความที่พระโพธิสัตว์เสด็จลง ด้วยบทนี้ในบาลีไม่ได้แสดงถึงลำดับแห่งการก้าวลง ก็เพราะลำดับแห่งการก้าวนั้น ท่านยกขึ้นสู่ จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ทรงบริจาคมหาบริจาค ๕ ทรงบรรลุที่สุดแห่งญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธจริยา ทรงดำรงอยู่ในอัตภาพที่ ๓ เช่น พระเวสสันดรทรงให้มหาทาน ๗ ครั้ง ทรงยังแผ่นดินให้หวั่นไหว ๗ ครั้ง ทรงกระทำกาละแล้วทรงอุบัติในภพดุสิต ในวาระแห่งจิตที่ ๒. แม้พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสีก็ทรงกระทำกาละเหมือนอย่างนั้น ทรงอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงประดิษฐานอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นตลอด ๕๗ โกฏิปี ยิ่งด้วย ๖ ล้านปี. ก็ในกาลอื่น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงอุบัติในเทวโลกที่สัตว์มีอายุยืน ย่อมไม่ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุนั้น. เพราะเหตุไร. เพราะทำบารมีให้เต็มได้ยากในที่นั้น. พระโพธิสัตว์เหล่านั้นกระทำอธิมุตตกาลกิริยา จึงบังเกิดในถิ่นของมนุษย์นั้นแล. ก็บารมีทั้งหลายของพระวิปัสสีโพธิสัตว์นั้น สามารถจะยังพระสัพพัญญุตญาณให้เกิดโดยอัตภาพเดียวในบัดนี้ได้ฉันใด ในครั้งนั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้ดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น ตราบเท่าอายุเพราะบารมีเต็มแล้วด้วยประการทั้งปวงฉันนั้น. ก็พวกเทวดาจักจุติโดย ๗ วัน ด้วยการคำนวณของพวกมนุษย์ ดังนั้น บุพนิมิต ๕ ย่อมเกิดขึ้น คือ ดอกไม้เหี่ยว ผ้าเศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ทั้งสอง ผิว ในบทเหล่านั้น บทว่า มาลา ได้แก่ ดอกไม้ที่ประดับในวันถือปฏิสนธิ. นัยว่า ดอกไม้เหล่านั้นไม่เหี่ยวมาตลอด ๕๗ โกฏิปี ยิ่งด้วย ๖ ล้านปี แต่ในตอนนั้นเหี่ยว. แม้ในผ้าทั้งหลายก็มีนัยนี้แหละ. ก็ตลอดกาลประมาณเท่านี้ พวกเทวดาไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกร้อน. ในกาลนั้น เหงื่อไหลจากสรีระเป็นหยดๆ ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ในสรีระของเทวดาเหล่านั้นย่อมไม่ปรากฏวรรณต่างกันด้วยสามารถฟันหักและผมหงอก เป็นต้น. เทพธิดาปรากฏเหมือนมีอายุ ๑๖ เทพบุตร อนึ่ง ตลอดกาลประมาณเท่านี้ เทพบุตรเหล่านั้นไม่มีความกระสันในเทวโลก. แต่ในเวลาจะตาย หายใจไม่ออก กระสับกระส่าย ไม่ยินดีในอาสนะของตน. ก็บุพนิมิต ๕ เหล่านี้ ย่อมปรากฏแก่เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่เท่านั้น ไม่ปรากฏแก่เทวดาทั้งปวง เหมือนนิมิตมีอุกกาบาตแผ่นดินไหวและจันทคราสเป็นต้น ย่อมปรากฏแก่พระราชาและอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้นผู้มีบุญมากเท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนทั้งปวงฉะนั้น. เหมือนอย่างมีนักโหราศาสตร์ย่อมรู้บุพนิมิตในมนุษย์ทั้งหลาย คนทั้งปวงไม่รู้ฉันใด ทวยเทพทั้งปวงย่อมไม่รู้ แม้นิมิตเหล่านั้น แต่บัณฑิตเท่านั้นรู้ได้ฉันนั้น. เทพบุตรเหล่าใดเกิดในเทวโลกนั้นด้วยกุศลกรรมน้อย เมื่อเทพบุตรเหล่านั้นเกิด เขากลัวว่า บัดนี้ ใครจะรู้พวกเราเกิดที่ไหน เทพบุตรที่มีบุญมากย่อมไม่กลัวว่า พวกเราอาศัยทานที่เราให้ ศีลที่เรารักษา ภาวนาที่เราเจริญ จักเสวยสมบัติในเทวโลกเบื้องบน. แม้พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี ทรงเห็นบุพนิมิตเหล่านั้นแล้ว ไม่ทรงกลัวว่า บัดนี้ เราจักเป็นพระพุทธเจ้าในอัตภาพถัดไป. เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อนิมิตเหล่านั้นปรากฏแก่พระองค์ ทวยเทพในหมื่นจักรวาฬพากันมาประชุม ทูลวิงวอนว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ มิได้ทรงปรารถนาสักกสมบัติ มารสมบัติ พรหมสมบัติ สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ แต่พระองค์ทรงปรารถนาความเป็นพุทธะ ทรงบำเพ็ญเพื่อถอนสัตว์ออกจากโลก บัดนี้ กาลนั้นมาถึงพระองค์แล้ว เป็นสมัยเพื่อความเป็นพุทธะแล้ว. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ทรงรับปฏิญญาของเทวดาเหล่านั้น ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการ ด้วยสามารถทรงกำหนด กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และอายุของพระมารดา. ในมหาวิโลกนะ ๕ นั้น พระมหาสัตว์ทรงตรวจดูกาลก่อนว่า ถึงเวลาหรือยัง. กาลเมื่ออายุของสัตว์เจริญมากกว่าแสนปี ก็ยังไม่ใช่กาล. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะในกาลนั้น ชาติชราและมรณะจะไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่าพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันจะทำให้พ้นจากพระไตรลักษณ์ ก็จะไม่มี. เมื่อพระ แม้กาลเมื่อสัตว์มีอายุถอยลงไปกว่า ๑๐๐ ปี ก็ไม่ใช่กาล. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนา. โอวาทที่ให้แก่สัตว์ที่มีกิเลสหนา ย่อมไม่ดำรงอยู่ในฐานะเป็นโอวาท เหมือนไม้เท้าขีดลงไปในน้ำย่อมหายไปทันที เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่กาล. กาลเมื่ออายุสัตว์ตั้งแต่แสนปี ลงมาถึง ๑๐๐ ปี ชื่อว่ากาล. ก็ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี. ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ทรงเห็นว่าถึงกาลที่ควรจะเกิดแล้ว. จากนั้น พระมหาสัตว์ทรงตรวจดูทวีปทรงเห็นทวีป ๔ พร้อมด้วยบริวาร ทรงเห็นว่าใน ๓ ทวีป พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่บังเกิด บังเกิดในชมพูทวีปแห่งเดียว. ชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ทรงตรวจดูประเทศต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบังเกิดในประเทศไหนหนอ ทรงเห็นมัชฌิมประเทศ. ท่านกล่าวถึงมัชฌิมประเทศไว้ในวินัย โดยนัยเป็นต้นว่า ด้านทิศตะวันออกมีนิคมชื่อกชังคละ ประเทศนั้นโดยส่วนยาวประมาณ ๓๐๐ โยชน์ โดยส่วนกว้างประมาณ ๑๕๐ โยชน์ โดยรอบประมาณ ๙๐๐ โยชน์. จริงอยู่ ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธะทั้งหลาย พระอัครสาวก พระมหาสาวก ๘๐ พระเจ้าจักรพรรดิและกษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เศรษฐี ผู้มีศักดิ์ใหญ่เหล่าอื่นย่อมเกิด. อนึ่ง ในประเทศนี้มีนครชื่อพันธุมดี พระมหาสัตว์ทรงตัดสินพระทัยว่า เราควรไปเกิดในนครนั้น. จากนั้น ทรงตรวจดูตระกูล ทรงเห็นตระกูลแล้วว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบังเกิดในตระกูลที่ชาวโลกยกย่อง ก็บัดนี้ ตระกูลกษัตริย์อันชาวโลกยกย่องแล้ว เราจักเกิดในตระกูลนั้น พระราชาพระนามว่าพันธุมจักเป็นพระบิดาของเรา ดังนี้ จากนั้น ทรงตรวจดูมารดา ทรงเห็นแล้วว่า ธรรมดาพระพุทธมารดาไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ ไม่เป็นนักเลงสุรา บำเพ็ญบารมีมาแล้วถึงแสนกัป ตั้งแต่เกิดมาศีล ๕ ไม่ขาด ก็หญิงเช่นพระนางพันธุมดีเทวีนี้จักเป็นมารดาของเรา ดังนี้. ทรงรำพึงว่า พระนางพันธุมดีเทวีจะมีพระชนมายุเท่าไร ทรงเห็นแล้วจักมีพระชนมายุ ๗ วัน ต่อจาก ๑๐ เดือน. พระโพธิสัตว์ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ นี้ตรัสว่า ดูกรผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เป็นกาลอันสมควรของเราเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อจะทรงทำการสงเคราะห์แก่ทวยเทพ ประทานปฏิญญาว่า พวกท่านจงพากันกลับไปเถิด ทรงส่งเทวดาเหล่านั้นแล้ว แวดล้อมด้วยเทวดาชั้นดุสิตเสด็จเข้าไปยังสวนนันทวันในดุสิตเทวโลก. แม้ในเทวโลกทั้งหมดก็มีสวนนันทวันเหมือนกัน. เหล่าเทวดาพากันทูลเตือนว่า ขอพระองค์จงจุติจากเทวโลกนี้ไปสู่มนุษยสุคติเถิด แล้วทูลให้ระลึกถึงโอกาสที่ทรงบำเพ็ญกุศลกรรมมาในกาลก่อน. พระโพธิสัตว์นั้นแวดล้อมไปด้วยเหล่าเทวดาผู้ให้ระลึกถึงกุศลอย่างนี้ เสด็จไปอยู่ในสวนนันทวันนั้นทรงจุติแล้ว. ก็ครั้นจุติอย่างนี้แล้วย่อมรู้ว่าเราจุติ ไม่รู้จุติจิต แม้ถือปฏิสนธิแล้วจึงรู้ แต่ไม่รู้ปฏิสนธิจิตอีกนั้นแหละ แต่รู้อย่างนี้ว่าเราถือปฏิสนธิในที่นี้นั่นเอง. แต่พระเถระบางพวกกล่าวว่า ควรได้การนึกคิดโดยปริยาย พระโพธิสัตว์จักรู้วารจิตที่สองที่สาม. แต่พระมหาสิวเถระผู้ทรงพระไตรปิฏกกล่าวว่า ปฏิสนธิของพระมหาสัตว์ไม่เหมือนปฏิสนธิของสัตว์อื่น ด้วยว่าสติสัมปชัญญะของพระมหาสัตว์เหล่านั้นถึงที่สุดแล้ว แต่เพราะไม่สามารถกระทำจิตดวงนั้นด้วยจิตดวงนั้นได้ ฉะนั้น จึงไม่รู้จุติจิต แต่ในขณะจุตินั่นเองย่อมรู้ว่าเราจุติไม่รู้ปฏิสนธิจิต รู้เพียงว่าเราได้ถือปฏิสนธิ ณ ที่โน้นดังนี้. ในกาลนั้นหมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว. พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ เสด็จลงสู่ครรภ์มารดาทรงถือปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิต เช่นกับกุศลจิตอันเป็นอสังขาริกะ สหรคตด้วยโสมนัสสัมปยุตด้วยญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตาในปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง. อนึ่ง พระมหาสิวเถระยังกล่าวว่า จิตสหรคตด้วยอุเบกขา. พระโพธิสัตว์แม้พระองค์นั้นก็ได้ถือปฏิสนธิด้วยฤกษ์อุตตราสาฬหะในวันเพ็ญเดือน ๘ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายฉะนั้น. ได้ยินว่า ในครั้งนั้นจำเติมแต่วันที่ ๗ แห่งอาสาฬหะบูรณมี พระมารดาของพระ ในพระสุบินนั้นว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้ยกพระพุทธมารดาพร้อมด้วยพระแท่นที่บรรทม นำไปยังสระอโนดาด ให้สรงสนาน ให้ทรงนุ่งห่มด้วยผ้าทิพย์ ให้ทรงลูบไล้ด้วยของหอมทิพย์ ประดับดอกไม้ทิพย์ ไม่ไกลจากนั้นมีภูเขาเงิน ภายในภูเขาเงินนั้นมีวิมานทอง ให้พระพุทธมารดาหันพระเศียรไปทางทิศปาจีน บรรทม ณ วิมานทองนั้น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นช้างเผือกผ่อง ไม่ไกลจากนั้นมีภูเขาทองลูกหนึ่ง พระโพธิสัตว์เสด็จไปที่ภูเขาทองนั้นแล้ว เสด็จลงจากภูเขาทอง เสด็จขึ้นภูเขาเงิน แล้วเสด็จเข้าไปยังวิมานทอง กระทำประทักษิณพระมารดาแล้ว ได้เป็นคล้ายแหวกพระปรัศเบื้องขวาเสด็จเข้าไปสู่พระครรภ์. ทันทีนั้น พระเทวีทรงตื่น กราบทูลพระสุบินนั้นแด่พระราชา. ครั้นสว่างแล้ว พระราชารับสั่งให้เรียกหัวหน้าพราหมณ์ประมาณ ๖๔ คน ให้ลาด พระราชาตรัสบอกพระสุบินนั่นแก่พราหมณ์เหล่านั้นผู้เอิบอิ่มด้วยสิ่งปรารถนาทั้งปวง แล้วรับสั่งถามว่า พระสุบินนั้นจักเป็นอย่างไร. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย พระเทวีทรงพระครรภ์แล้ว พระเจ้าข้า อนึ่ง พระครรภ์นั้นเป็นบุรุษไม่ใช่สตรี พระองค์จักมีพระโอรส พระโอรสนั้น หากครองเรือนจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประกอบด้วยธรรม เป็นธรรมราชา หากออกบวช จักเป็นพระพุทธเจ้าผู้เปิดโลก. พึงทราบลำดับการพรรณนาเนื้อความในบทนี้ว่า พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาดังนี้ก่อน. บทว่า อยเมตฺถ ธมฺมตา ความว่า ข้อนี้เป็นธรรมดาในการเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดานี้. ท่านอธิบายว่า นี้เป็นความเป็นจริง นี้เป็นความแน่นอน ดังนี้. ชื่อว่านิยามนี้มี ๕ อย่าง คือ กรรมนิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตตนิยาม ธรรมนิยาม. ในนิยามทั้ง ๕ นั้น การให้ผลแห่งกุศลที่น่าปรารถนา การให้ผลแห่งอกุศลที่ไม่น่าปรารถนา นี้ชื่อกรรมนิยาม. เพื่อแสดงกรรมนิยามนั้นควรกล่าวถึงเรื่องในคาถาว่า น อนฺตลิกฺเข ดังนี้เป็นต้น. มีเรื่องเล่าว่า หญิงคนหนึ่งทะเลาะกับสามีประสงค์จะผูกคอตาย จึงสอดคอเข้าไปในบ่วงเชือก. บุรุษคนหนึ่งลับมีดอยู่เห็นหญิงนั้นประสงค์จะตัดเชือก จึงวิ่งไปปลอบหญิงนั้นว่า น้องอย่ากลัว น้องอย่ากลัว. เชือกกลายเป็นอสรพิษรัดคอหญิงอยู่. บุรุษนั้นกลัวรีบหนีไป. หญิงนั้นตาย ณ ที่นั้นเอง. ควรแสดงถึงเรื่องทั้งหลายเป็นต้นอย่างนี้ในที่นี้. ในชนบทนั้นๆ ในกาลนั้นๆ การเก็บดอกไม้และผลไม้เป็นต้น โดยตัดครั้งเดียวเท่านั้น ลมพัด ลมไม่พัด แดดกล้า แดดอ่อน ฝนตก ฝนไม่ตก ดอกบัวกลางวันแย้ม กลางคืนหุบ อย่างนี้เป็นต้น เป็นอุตุนิยาม. ผลข้าวสาลีย่อมเป็นผลจากพืชข้าวสาลีอย่างเดียว รสหวานย่อมเป็นผลจากน้ำหวาน รสขมย่อมเป็นผลจากพืชขม. นี้เป็นพีชนิยาม. ธรรม คือจิตและเจตสิกดวงก่อนๆ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสัยปัจจัยแห่งธรรม คือจิตและเจตสิกดวงหลังๆ เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นแห่งสัมปฏิจฉันนะเป็นต้นในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น. นี้เป็นจิตตนิยาม. ความเป็นไปแห่งความหวั่นไหวในหมื่นโลกธาตุ ในการเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย นี้ชื่อธรรมนิยาม. ในที่นี้ ท่านประสงค์ธรรมนิยาม. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า กุจฺฉึ โอกฺกมติ นี้ มีความว่า พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์. ก็เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นเสด็จลงแล้ว ย่อมเป็นอย่างนี้ หาใช่กำลังเสด็จลงไม่. บทว่า อปฺปมาโณ ความว่า มีประมาณเจริญ คือไพบูลย์. บทว่า อุฬาโร เป็นไวพจน์ของบทนั้น. ท่านกล่าวว่า มีรสอร่อยอย่างยิ่ง ในบทเป็นต้นว่า ชนทั้งหลายย่อมเคี้ยวกินของควรเคี้ยวอันมีรสอร่อยอย่างยิ่ง ท่านกล่าวว่าประเสริฐอย่างยิ่ง. ในบทมีอาทิว่า ได้ยินมาว่า เหล่ากอแห่งวัจฉะผู้เจริญย่อมสรรเสริญพระสมณโคดมด้วยความสรรเสริญอันยิ่ง. แต่ในบทนี้ ท่านประสงค์เอาความไพบูลย์. ในบทว่า เทวานํ เทวานุภาวํ นี้ มีความว่า อานุภาพของเทวดา ก็คือ ผ้านุ่งมีรัศมีสร้านไป ๑๒ โยชน์ ร่างกายก็เช่นนั้น เครื่องประดับก็เช่นนั้น วิมานก็เช่นนั้น พระโพธิสัตว์ล่วงเลยเทวานุภาพนั้น ดังนี้. บทว่า โลกนฺตริกา ความว่า ช่องว่างอันหนึ่งๆ ในระหว่างจักรวาฬทั้ง ๓ ย่อมมีในที่สุดโลก ดุจช่องว่างในท่ามกลางล้อเกวียน ๓ ล้อ หรือแผ่น ๓ แผ่นที่วางทับกันฉะนั้น. ก็โลกันตรนรกนั้นโดยส่วนกว้างถึง ๘,๐๐๐ โยชน์. บทว่า อฆา คือ เปิดเป็นนิจ. บทว่า อสํวุตา ความว่า แม้ข้างล่างก็ไม่มีตั้งไว้. บทว่า อนฺธการา คือ มืดมิด. บทว่า อนฺธการติมิสา ความว่า ประกอบด้วยหมอกอันทำความมืดพ้นจากจักขุวิญญาณ. นัยว่า จักขุวิญญาณย่อมไม่เกิด ณ ที่นั้น. บทว่า เอวํมหิทฺธิกา ความว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์ บทว่า อาภาย นานุโภนฺติ ความว่า แสงสว่างของตนไม่พอ. นัยว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้นแล่นไปท่ามกลางจักรวาฬบรรพต. ก็โลกันตรนรกเลยจักรวาฬบรรพตไป เพราะฉะนั้น พระจันทร์และพระอาทิตย์ เหล่านั้นจึงมีแสงสว่างไม่พอในที่นั้น. บทว่า เยปิ ตตฺถ สตฺตา ความว่า แม้สัตว์เหล่าใดเกิดแล้วในโลกันตรมหานรกนั้น. ถามว่า ก็สัตว์เหล่านั้นกระทำกรรมอะไรไว้ จึงเกิดในโลกันตรมหานรกนั้น. ตอบว่า ทำกรรมหนัก คือหยาบช้า. สัตว์เหล่านั้นกระทำความผิดต่อมารดาบิดาและสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม และกรรมร้ายกาจมีฆ่าสัตว์เป็นต้นทุกวันๆ ย่อมเกิดในโลกันตรนรกนั้น ดุจอภยโจรและนาคโจรเป็นต้นในตามพปัณณิทวีป ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นสูง ๓ คาวุต มีเล็บยาวเหมือนเล็บค้างคาว สัตว์เหล่านั้นเกาะอยู่บนจักรวาลบรรพด้วยเล็บ เหมือนค้างคาวเกาะอยู่บนต้นไม้ฉะนั้น เมื่อใดสัตว์เหล่านั้นคลานไปถูกฝ่ามือของกันและกันเข้า เมื่อนั้นก็สำคัญว่า เราพบอาหารแล้วจึงวิ่งหมุนไปรอบๆ แล้วก็ตกไปบนน้ำหนุนโลก เมื่อลมปะทะก็ขาดตกลงไปในน้ำเหมือนผลมะทราง พอตกลงไปแล้วก็ละลาย เหมือนก้อนแป้งตกลงไปในน้ำที่เค็มจัด. บทว่า อญฺเญปิ กิร โภ สนฺติ สตฺตา ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเห็นกันในวันนั้นว่า โอ้โฮ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็เกิดในที่นี้ เพื่อเสวยทุกข์เหมือนอย่างพวกเราเสวยทุกข์ยิ่งใหญ่ฉะนั้น. ก็แสงสว่างนี้ไม่ตั้งอยู่นาน ตั้งอยู่เพียงดื่มข้าวยาคูครั้งเดียว เปล่งออกไปเหมือนแสงสายฟ้าเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายพูดว่านี้อะไรก็หายไป. บทว่า สํกมฺปติ คือ หวั่นไหวไปโดยรอบ. สองบทต่อไปเป็นไวพจน์ของบทก่อนนั้นแล. บทว่า ปุน อปฺปมาโณ จ เป็นต้น ท่านกล่าวความสรุปต่อไป. บทว่า จตฺตาโร ในบทนี้ว่า เทวบุตร ๔ องค์ เข้าไปรักษาทิศทั้ง ๔ ท่านกล่าวหมายถึงท้าวมหาราช ๔ องค์. ก็ในหมื่นจักรวาฬแบ่งเป็นอย่างละ ๔ ก็เป็นสี่หมื่นจักรวาฬ. ในสี่หมื่นจักรวาฬนั้นในจักรวาฬนี้ ท้าวมหาราชถือพระขรรค์เข้าไปคอยอารักขาพระโพธิสัตว์เข้าไปสู่ห้องสิริ ยังหมู่ยักษ์เป็นต้นว่าพวกปีศาจเล่นฝุ่นที่กีดขวาง ตั้งแต่ประตูห้องให้หลีกออกไปแล้ว ถือการอารักขาตลอดจักรวาฬ. ก็การรักษานี้เพื่อประโยชน์อะไร แม้หากว่า จำเดิมแต่กาลแห่งกลละในขณะปฏิสนธิ พวกมารแสนโกฏิ ยกเขาสิเนรุแม้แสนโกฏิ พึงมาเพื่อทำอันตรายพระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์ อันตรายทั้งหมดพึงหายไปมิใช่หรือ. แม้เรื่องนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้แล้วในทำพระโลหิตให้ห้อว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะพึงปลงพระชนม์ตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลายไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไปตามที่อยู่เถิด ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตทั้งหลายไม่ควรที่จะอารักขา. เพราะฉะนั้น อันตรายถึงชีวิตของพระตถาคตเหล่านั้นย่อมไม่มีด้วยความเพียรของผู้อื่นอย่างนี้แหละ. พวกเทพบุตรได้ถืออารักขาเพื่อป้องกันภัยก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี อันพึงเกิดแก่พระมารดาของพระโพธิ อีกประการหนึ่ง พวกเทพบุตรเกิดความเคารพด้วยเดชแห่งบุญของพระโพธิ ก็ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เหล่านี้ เข้าไปยืนภายในห้องแสดงตนหรือไม่แสดงตนแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์. ไม่แสดงในเวลาทรงอาบน้ำ ทรงตกแต่งพระวรกาย ทรงบริโภคพระกระยาหารเป็นต้นและเวลาถ่าย แต่จะแสดงในเวลาพระมารดาเสด็จเข้าห้องสิริแล้วบรรทมบนพระที่สิริไสยาศน์. ณ ที่นั่น ชื่อว่าการเห็นอมนุษย์ย่อมเป็นภัยเฉพาะหน้าของมนุษย์ ก็จริง แต่ถึงดังนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์เห็นอมนุษย์เหล่านั้นด้วยบุญญานุภาพของตน และของพระโอรสจึงไม่ทรงกลัว. พระทัยของพระมารดานั้นย่อมเกิดในอมนุษย์เหล่านั้น เหมือนผู้ดูแลภายในพระนครตามปกติ. บทว่า ปกติยา สีลวตี ความว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลโดยสภาวะนั่นเอง. ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ พวกมนุษย์นั่งกระหย่งไหว้รับศีลในสำนักของพวกดาบสและปริพาชก. แม้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายก็ทรงรับศีลในสำนักของฤษีกาลเทวิล. แต่เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จสู่พระครรภ์ ใครๆ อื่นไม่สามารถจะนั่ง ณ บาทมูลได้. แม้นั่งรับศีลบนอาสนะเสมอกันก็เป็นอาการดูหมิ่น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระมารดาพระโพธิ บทว่า ปุริเสสุ ความว่า จิตประสงค์ในบุรุษ ในมนุษย์ไรๆ เริ่มด้วยพระ บทว่า ปญฺจนฺนํ กามคุณานํ ความว่า ในบทก่อน ท่านกล่าวถึงการห้ามวัตถุด้วยสามารถความประสงค์ในบุรุษ ด้วยบทนี้ว่า กามคุณูปสญฺหิตํ ในบทนี้ ท่านแสดงถึงการได้อารมณ์. ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระราชาทั้งหลายโดยรอบสดับว่า พระโอรสเห็นปานนี้ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี ทรงส่งบรรณาการอันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีในทวารห้า ด้วยสามารถอาภรณ์มีค่ามากและดนตรีเป็นต้น. ชื่อว่าการกำหนดปริมาณแห่งลาภและสักการะไม่มีแก่พระโพธิสัตว์ และแก่มารดาของพระโพธิสัตว์ เพราะสั่งสมกรรมที่ทำไว้. บทว่า อกิลนฺตกายา ความว่า พระมารดาพระโพธิสัตว์นั้นมิได้มีความลำบากไรๆ อย่างที่หญิงทั้งหลายอื่นลำบากด้วยหนักครรภ์ มือและเท้าย่อมถึงการบวมเป็นต้น. บทว่า ติโรกุจฺฉิคตํ คือ เสด็จอยู่ภายในพระครรภ์. บทว่า ปฺสสติ ความว่า พระมารดาพระโพธิสัตว์ ครั้นล่วงกาลมีกลละเป็นต้น ทรงเห็นพระโพธิสัตว์เข้าถึงความเป็นผู้มีอวัยวะน้อยใหญ่ และพระอินทรีย์สมบูรณ์เกิดแล้ว. ถามว่า ทรงเห็นเพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่ออยู่อย่างสบาย. เหมือนอย่างว่า มารดานั่งหรือนอนกับบุตร ยกมือหรือเท้าของบุตรนั้นห้อยลงคิดว่า เราจักให้บุตรแข็งแรง มองดูบุตรเพื่ออยู่อย่างสบายฉันใด แม้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็ฉันนั้น คิดว่า ทุกข์ใดเกิดแก่ครรภ์ในขณะที่มารดายืนเดินเคลื่อนไปมาและนั่งเป็นต้น และใน เหมือนอย่างว่า สัตว์เหล่าอื่นอยู่ภายในท้องบีบพุงแขวนกะเพาะทำแผ่นท้องไว้ข้างหลัง อาศัยกระดูกสันหลังวางคางก้มไว้บนกำมือทั้งสอง นั่งเจ่าเหมืองลิงที่โพรงไม้เมื่อฝนตกฉันใด พระโพธิสัตว์มิได้เป็นอย่างนั้น. พระโพธิสัตว์กระทำกระดูกสันหลังไว้ข้างหลังนั่งขัดสมาธิ ก็บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกดุจพระธรรมกถึกนั่งธรรมาศน์. ก็กรรมที่พระองค์ทรงกระทำมาในกาลก่อน จึงทำให้วัตถุของพระโพธิสัตว์บริสุทธิ์. เมื่อวัตถุบริสุทธิ์ พระลักษณะ คือพระฉวีละเอียดย่อมบังเกิดขึ้น. พระตโจในพระอุทรไม่สามารถจะปกปิดพระฉวีนั้นได้. เมื่อพระมารดาทรงแลดูย่อมปรากฏเหมือนตั้งอยู่ภายนอก. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำเนื้อความนั้นให้แจ่มแจ้งด้วยอุปมา จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้. ก็พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภายในพระครรภ์ย่อมไม่ทรงเห็นพระมารดา เพราะจักขุวิญญาณย่อมไม่เกิดขึ้นภายในท้อง. บทว่า กาลํ กโรติ ความว่า มิใช่โดยสิ้นอายุเพราะการคลอดเป็นปัจจัย ด้วยว่าที่ที่พระโพธิสัตว์ประทับอยู่เป็นเช่นกับเจดีย์และกุฏี ไม่ควรที่ผู้อื่นจะร่วมใช้สอย. อนึ่ง ใครๆ ไม่สามารถจะนำพระมารดาพระโพธิสัตว์ไปดำรงในฐานะเป็นอัครมเหสีผู้อื่นได้ ดังนั้น พระชนมายุของพระมารดาพระโพธิสัตว์จึงมีประมาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระนางจึงเสด็จทิวงคตในกาลนั้น. ถามว่า ก็พระมารดาพระโพธิสัตว์เสด็จทิวงคตในวัยไหน. ตอบว่า ในมัชฌิมวัย. เพราะว่า ในอัตตภาพของสัตว์ทั้งหลายในปฐมวัย ฉันทราคะย่อมมีกำลัง เพราะเหตุนั้น หญิงที่ตั้งครรภ์ในตอนนั้น จึงไม่สามารถจะรักษาครรภ์ไว้ได้ ครรภ์ย่อม วาศัพท์ในบทนี้ว่า นว วา ทส วา พึงทราบด้วยสามารถเป็นเครื่องกำหนด พึงทราบการสงเคราะห์แม้คำเป็นต้นอย่างนี้ว่า ๗ เดือน ๘ เดือน ๑๑ เดือน หรือ ๑๒ เดือน. ในบทเหล่านั้น ทารกเกิดใน ๘ เดือน ยังมีชีวิตอยู่แต่ทนหนาวและร้อนไม่ได้ เกิดใน ๗ เดือนย่อมไม่มีชีวิต ที่เหลือยังมีชีวิตอยู่ได้. บทว่า เทวา ปฐมํ ปฏิคฺคณฺหนฺติ ความว่า พรหมชั้นสุทธาวาสผู้เป็นพระขีณาสพย่อมรับ. ถามว่า อย่างไร. ตอบว่า อาจารย์บางพวกกล่าวว่า รับเครื่องแต่งตัวในตอนประสูติ. แต่ข้อนั้นถูกคัดค้านแล้ว จึงกล่าวข้อนี้ว่า ในกาลนั้น พระมารดาพระโพธิสัตว์ทรงนุ่งผ้าประด้วยทองคำ เช่นกับตาปลามีสองชั้นคลุมตลอดพระบาทได้ประทับยืน ขณะนั้น พระมารดาพระโพธิสัตว์ได้ประสูติพระโอรสคลอดเช่นกับน้ำไหลออกจากธมกรก ลำดับนั้น เหล่าเทวดามีเพศเป็นพรหมตามปกติเข้าไปรับด้วยข่ายทองคำก่อน ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้เอาเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือเหลืองรับจากหัตถ์ของพรหมเหล่านั้น จากนั้น พวกมนุษย์จึงรับด้วยผ้ารองสองชั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เทวดาทั้งหลายรับก่อน พวกมนุษย์รับภายหลัง ดังนี้. บทว่า จตฺตาโร นํ เทวปุตฺตา ความว่า มหาราช ๔ องค์. บทว่า ปฏิคฺคเหตฺวา ความว่า รับด้วยเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือเหลือง. บทว่า มเหสกฺโข ความว่า มีเดชมาก มียศมาก ถึงพร้อมด้วยลักษณะ. บทว่า วิสุทฺโธว นิกฺขมติ ความว่า ไม่เสด็จออกเหมือนสัตว์เหล่าอื่น มักติดอยู่ที่ช่องคลอดข่มแล้วข่มอีกจึงคลอด. อธิบายว่า เสด็จออกไม่ติดขัด. บทว่า อุทฺเทน แปลว่า ด้วยน้ำ. บทว่า เกนจิ อสุจินา ความว่า พระโพธิสัตว์มิเป็นเหมือนสัตว์เหล่าอื่น ถูกลมเบ่งซัดมีเท้าขึ้น มีหัวลงที่ช่องคลอด เหมือนตกลงไปสู่เหว จริงอยู่ ลมเบ่งไม่สามารถทำพระโพธิสัตว์ให้มีเท้าขึ้น มี บทว่า อุทกธารา คือ สายน้ำ. ในสายน้ำนั้น น้ำเย็นไหลจากหม้อทอง น้ำร้อนไหลจากหม้อเงิน. อนึ่ง ท่านกล่าวบทนี้เพื่อแสดงน้ำดื่มและน้ำบริโภค และสายน้ำเป็นที่เล่นไม่ทั่วไปด้วยน้ำเหล่าอื่นของสายน้ำเหล่านั้น อันไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิอย่างใด บทว่า สมฺปติชาโต คือ ประสูติได้ครู่หนึ่ง. แต่ในบาลี ท่านแสดงดูเหมือนพอเสด็จออกจากพระครรภ์ของพระมารดา แต่ก็ไม่ควรเห็นเป็นอย่างนั้น. เพราะพรหม พระโพธิสัตว์พ้นจากมือมนุษย์ทั้งหลายแล้วประดิษฐานบนแผ่นดิน. บทว่า เสตมฺหิ ฉตฺเต อนุธาริยมาเน ความว่า เมื่อเทวดากั้นเศวตฉัตรทิพย์ตามเสด็จอยู่. ในบทนี้ แม้เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ มีพระขรรค์ เป็นต้นอันเป็นบริวารของฉัตรนั้นก็ปรากฏขึ้นทันที. แต่ในบาลี ท่านกล่าวถึงฉัตรดุจพระราชาในขณะเสด็จพระราชดำเนิน. ในเบญจราชกุกกุฏภัณฑ์นั้น ฉัตรเท่านั้นปรากฏ คนถือฉัตรไม่ปรากฏ. เช่นเดียวกัน พระขรรค์ พัดใบตาล แซ่หางนกยูง พัดวาลวิชนี และกรอบพระพักตร์ย่อมปรากฏ คนถือไม่ปรากฏ. นัยว่า เทวดาทั้งหลายไม่ปรากฏรูปถือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด. แม้ข้อนี้ ท่านก็กล่าวไว้ว่า พวกเทวดากั้นฉัตรมีก้านไม่น้อย มีมณฑลพันหนึ่ง บนอากาศ ไม้เท้าทองคำ พัดจามรโบกสะบัดไปมา แต่ไม่เห็นคนถือพัดจามรและฉัตร๑- ดังนี้. ____________________________ ๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๘๘ บทว่า สพฺพา จ ทิสา นี้ ท่านกล่าวดุจพระโพธิสัตว์ประทับยืนหลังจากเสด็จย่างพระบาท ๗ ก้าวแล้ว ทรงเหลียวมองดูทิศทั้งหมด ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย. ความจริง พระโพธิสัตว์ทรงพ้นจากมือของพวกมนุษย์แล้วประดิษฐานบนแผ่นดิน ทรงแลดูทิศตะวันออก. หลายพันจักรวาฬได้เป็นเนินเดียวกัน. ณ ที่นั้น พวกเทวดาและมนุษย์ต่างบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ ในโลกนี้แม้คนเช่นพระองค์ก็ไม่มี จะ พระโพธิสัตว์ทรงเหลียวแลดูทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔ ทิศเบื้องล่างเบื้องบน ไม่ทรงเห็นแม้คนเช่นพระองค์ทรงดำริว่า นี้ทิศเหนือ แล้วทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางเหนือได้เสด็จโดยอย่างพระบาท ๗ ก้าว. พึงทราบความในบทนี้อย่างนี้. บทว่า อาสภึ คือ สูงสุด. บทว่า อคฺโค คือ เป็นที่หนึ่งของชนทั้งหมดด้วยคุณธรรมทั้งหลาย. อีก ๒ บทเป็นไวพจน์ของบทนี้. พระโพธิสัตว์ทรงพยากรณ์พระอรหัตอันพระองค์พึงบรรลุในอัตตภาพนี้ด้วยบททั้งสองว่า นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา บัดนี้ ภพใหม่ของเราไม่มีอีกแล้ว ดังนี้. ก็ในบทนี้ พึงทราบว่า การประดิษฐานบนแผ่นดินด้วยพระบาทเสมอกันเป็นบุพนิมิตแห่งการได้อิทธิ จริงอยู่ ในวันพระมหาบุรุษประสูติ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เทวดาในหมื่นโลก แม้ในข้อนี้ พึงทราบดังนี้ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เป็นบุพนิมิตของการได้สัพพัญญุตญาณของพระมหาบุรุษนั้น. การประชุมในจักรวาฬเดียวกันของเทวดาทั้งหลาย เป็นบุพนิมิตแห่งการประชุมโดยทำนองเดียวนี้แล ในกาลยังธรรมจักรให้เป็นไป แล้วรับพระธรรม. การรับของพวกเทวดาครั้งแรกเป็นบุพนิมิตแห่งการได้รูปาวจรฌาน ๔. การรับของพวกมนุษย์ภายหลังเป็นบุพนิมิตแห่งการได้อรูปฌาน ๔. พิณที่ขึงสายดีดเองเป็นบุพนิมิตแห่งการได้อนุปุพพ ผู้มีเวรกันได้เมตตจิตต่อกันเป็นบุพนิมิตของการได้พรหม นี้ชื่อสัมพหุลวาระ. ในเรื่องนี้ ชนทั้งหลายถามปัญหาว่า ตอนที่พระมหาบุรุษประทับยืนบนแผ่นดินแล้ว ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ เสด็จไปได้ทรงเปล่งอาสภิ ก็ปัญหานี้ตั้งขึ้นภายใต้โลหปราสาท พระจูฬาภยเถระผู้ทรงพระไตรปิฏกได้แก้ไว้แล้ว. มีเรื่องเล่ามาว่า ในเรื่องนี้ พระเถระกล่าวถึงข้อนั้นไว้มาก ด้วยสามารถการกล่าวถึงโชคดีโชคร้าย กรรมเก่าและการไม่ถือตัวเพราะความเป็นใหญ่แล้ว ในที่สุด ได้พยากรณ์อย่างนี้ว่า พระมหาบุรุษเสด็จไปบนแผ่นดิน แต่ได้ปรากฏแก่มหาชนเหมือนเสด็จไปทางอากาศ พระองค์เสด็จไปแต่เหมือนไม่ โลกันตริกวาระมีนัยดังที่ได้กล่าวไว้แล้วแล. ก็แลธรรมดานี้ ท่านกล่าวไว้แล้วตั้งแต่ต้น. พึงทราบว่า ธรรมดาทั้งหมดย่อมมีแด่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์. ทวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณวณฺณนา บทว่า มหาปุริสสฺส ความว่า แห่งบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ด้วยสามารถ ชาติ โคตร ตระกูล ประเทศเป็นต้น. บทว่า เทฺว คติโย คือ ความสำเร็จสองอย่าง. ก็ศัพท์ว่า คติ นี้ย่อมเป็นไปในคติ อันสัตว์ทั้งหลายพึงไปโดยประเภทมีนรกเป็นต้น ในบาลีนี้ว่า ดูกรสารีบุตร คติ ๕ เหล่านี้แล๑- ดังนี้. ย่อมเป็นไปในอัธยาศัย ในบาลีนี้ว่า เราไม่รู้อคติหรืออัธยาศัยของภิกษุทั้งหลายผู้ศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ได้เลย.๒- ย่อมเป็นไปในที่พึงอาศัย ในบาลีนี้ว่า พระนิพพานเป็นที่พึงอาศัยของพระอรหัตต์.๓- อีกอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นไปในความสำเร็จ ในบาลีนี้ว่า ดูก่อนพรหม เราย่อมรู้ความสำเร็จจุติและอุปัติของท่าน ท่านเป็นท้าวพกพรหมผู้มีฤทธิมากอย่างนี้.๔- พึงทราบคติศัพท์นั้นแม้ในบทนี้ว่า ย่อมเป็นไปในความสำเร็จ. ____________________________ ๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๗๐ ๒- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๖๐ ๓- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๐๔๔ ๔- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๕๔ บทว่า อนญฺญา ความว่า ชื่อว่าความสำเร็จในคติอื่น ย่อมไม่มี. บทว่า ธมฺมิโก ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยกุศลธรรม ๑๐ เว้นการถึงอคติ. บทว่า ธมฺมราชา นี้เป็นไวพจน์ของบทก่อนนั้นแล. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นพระธรรมราชา เพราะได้ราชสมบัติโดยธรรม. บทว่า จาตุรนฺโต ความว่า ความเป็นผู้มีอิสระในผืนแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขตด้วยสามารถสมุทร ๔ มีสมุทรด้านทิศตะวันออกเป็นต้น. บทว่า วิชิตาวี คือ มีชัยชนะสงคราม. อธิบายว่า ชนบทถึงความเป็นชนบทที่ยั่งยืนมั่นคง เพราะฉะนั้น พระกุมารจึงถึงความเป็นผู้มีพระราชอาณาจักรมั่นคง. จริงอยู่ เมื่อพระราชาดุร้ายเบียดเบียนโลกด้วยเสียภาษีและลงอาชญาเป็นต้น พวกมนุษย์พากันละทิ้งมัชฌิมชนบทไปอาศัยอยู่ตามภูเขาและฝั่งสมุทรเป็นต้น เลี้ยง ก็เมื่อพระกุมารนี้เสวยราชสมบัติ ชนบทของพระองค์จักมั่นคง เหมือนวางแผ่นหินไว้หลังแผ่นดินแล้วล้อมด้วยแผ่นเหล็ก พราหมณ์ผู้ทำนายทั้งหลาย เมื่อชี้แจงดังนี้ จึงกล่าวว่า พระกุมารจึงถึงความเป็นผู้มีพระราชอาณาจักรมั่นคงดังนี้. รตนะในบทว่า ประกอบด้วยรตนะ ๗ นี้ โดยอรรถ คือยังความยินดีให้เกิด. อีกอย่างหนึ่ง รตนะทำความชื่นชม มีค่ามากหาเปรียบมิได้ หาดูได้ยาก เป็นของใช้ของสัตว์ผู้วิเศษ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่ารตนะ อนึ่ง จำเดิมแต่กาลที่จักรรตนะเกิด ไม่มีเทวสถานอื่น ชนทั้งปวงย่อมทำการบูชาจักรรตนะนั้นนั่นแล ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น และกระทำการกราบไหว้เป็นต้น เพราะฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปโดยอรรถว่าน่าชื่นชม. การตีราคาว่าชื่อว่าทรัพย์มีประมาณเท่านี้ ย่อมเป็นค่าของจักรรตนะนั้นแลดังนี้ไม่มี เพราะฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปแม้โดยอรรถว่ามีค่ามาก. อนึ่ง จักรแก้วไม่เหมือนรตนะอย่างอื่นที่มีอยู่ในโลก เพราะฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปแม้โดยอรรถว่าหาเปรียบมิได้. ก็เพราะพระเจ้าจักรพรรดิอุบัติในกัปที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติ. ก็แต่ว่า พระ รตนะนั้นย่อมเกิดแก่สัตว์ผู้วิเศษ ยิ่งด้วยชาติรูปตระกูลและความเป็นใหญ่เป็นต้น ไม่เกิดแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปแม้โดยอรรถ คือเป็นของใช้ของสัตว์ผู้วิเศษ. อนึ่ง แม้รตนะที่เหลือก็เหมือนจักรแก้วนั่นแล พระมหาบุรุษทรงประกอบด้วยรตนะ ๗ เหล่านี้ โดยความเป็นของสมทบและโดยความเป็นอุปกรณ์แห่งโภคะทั้งปวง เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษจึงชื่อว่าทรงสมบูรณ์ด้วยรตนะ ๗. บัดนี้ เพื่อแสดงรตนะเหล่านั้นโดยสรุปจึงตรัสว่า ตสฺสิมานิ เป็นต้น. ในรตนะเหล่านั้นนี้เป็นอธิบายโดยย่อ ในบทว่า จักรแก้วเป็นต้น จักรแก้วย่อมปรากฏสามารถยึดสิริสมบัติของทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีป ๒,๐๐๐ เป็นบริวารได้. ช้างแก้วเหาะไปบนเวหาสามารถดิ่งลงสู่แผ่นดินมีสาครเป็นที่สุด ก่อนอาหารทีเดียว. ม้าแก้วก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน. เมื่อความมืดประกอบด้วยองค์ ๔ แก้วมณีสามารถกำจัดความมืดประมาณโยชน์หนึ่งแล้วเห็นแสงสว่างได้. นางแก้วผู้มีความประพฤติเป็นที่พอใจเว้นโทษ ๖ อย่าง. คหบดีแก้วสามารถเห็นขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในแผ่นดินประมาณโยชน์หนึ่งได้. ปริณายกแก้วกล่าวคือบุตรผู้เจริญที่สุด สามารถเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีแล้วครองราชสมบัติได้ทั้งหมด ย่อมปรากฏ. บทว่า ปโรสหสฺสํ คือ พันกว่า. บทว่า สุรา คือ กล้าหาญ. บทว่า วีรงฺครูปา คือ มีรูปทรงสมเป็นวีรบุรุษ. บทนี้เป็นชื่อของความเพียร. ชื่อวีรงฺครูปา เพราะมีรูปทรงสมเป็นวีรบุรุษ. มีรูปทรงสมเป็นวีรบุรุษ คือมีความเพียรเป็นที่เกิด มีความเพียรเป็นสภาวะ สำเร็จด้วยความเพียร เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน. ท่านอธิบายว่า แม้รบตลอดวันก็ไม่เหนื่อย. บทว่า สาครปริยนฺตํ ความว่า มีมหาสมุทรเป็นที่สุดกระทำภูเขาจักรวาฬให้เป็นเขตแดนตั้งอยู่. บทว่า อทณฺเฑน ความว่า ผู้ใดปรับผู้ไม่ได้ทำความผิด ๑๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ผู้นั้นชื่อว่าใช้อำนาจด้วยอาชญาคือทรัพย์. ผู้ใดออกคำสั่งให้ประหารและทิ่มแทง ผู้นั้นชื่อว่า ใช้อำนาจด้วยอาชญาคือศัสตรา. แต่พระราชาพระองค์นี้ทรงละอาชญาแม้ทั้งสองนั้น ทรงปกครองไม่ต้องใช้อาชญา. บทว่า อสตฺเถน ความว่า ผู้ใดใช้ศัสตรามีคมข้างเดียวเป็นต้น เบียดเบียนผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่าใช้อำนาจด้วยศัสตรา. แต่ก็พระราชาพระองค์นี้ไม่ทรงทำโลหิตของใครๆ เพียงแมลงวันตัวเล็กดื่มได้ให้เกิดขึ้นด้วยศัสตรา ทรงได้รับการต้อนรับจากพระราชาผู้เป็นศัตรูอย่างนี้ว่า ข้าแต่ อธิบายว่า ทรงยึดแผ่นดินดังกล่าวแล้ว ทรงปกครอง ทรงปราบปราม จนได้เป็นเจ้าของครอบครอง. ครั้นบอกถึงความสำเร็จอย่างที่หนึ่งอย่างนี้แล้ว เพื่อจะบอกความสำเร็จอย่างที่สอง จึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า สเจ โข ปน ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า พระกุมารนี้มีหลังคา คือกิเลสเปิดแล้ว เพราะมีเครื่องปกปิดกีดขวาง กล่าวคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ กิเลสตัณหาเปิดแล้ว คือกำจัดได้แล้ว. ปาฐะว่า วิวฎฺฎจฺฉโท ดังนี้บ้าง. อธิบายอย่างนี้เหมือนกัน. ครั้นบอกความสำเร็จอย่างที่สองอย่างนี้แล้ว เพื่อแสดงลักษณะอันเป็นนิมิตแห่งคติเหล่านั้น จึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า อยญฺหิ เทว กุมาโร ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สุปติฎฺฐิตปาโท ความว่า พระกุมารไม่เป็นเหมือนคนอื่น เมื่อคนอื่นวางเท้าลงบนแผ่นดิน ปลายฝ่าเท้า ส้นเท้า หรือข้างเท้าย่อมจดก่อน ก็แต่ว่ายังปรากฏช่องในตอนกลาง แม้เมื่อยกขึ้นส่วนหนึ่งในปลายฝ่าเท้าเป็นต้นนั่นแหละก็ยกขึ้นก่อน. ฝ่าพระบาททั้งสิ้นของพระกุมารนั้น ย่อมจดพื้นโดยทรงเหยียบพระบาทครั้งหนึ่ง ดุจพื้นรองเท้าทองคำฉะนั้น ทรงยกพระบาทขึ้นจากพื้นก็โดยทำนองเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระกุมารนี้จึงเป็นผู้มีพระบาทเรียบเสมอกัน. บทว่า จกฺกานิ ท่านกล่าวไว้ในบาลีว่า ณ พื้นพระบาททั้ง ๒ มีจักร ๒ เกิดขึ้น จักรเหล่านั้นมีซี่มีกงและดุม. ก็พึงทราบความวิเศษนี้ด้วยบทนี้ว่า บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง. ได้ยินว่า ดุมของจักรเหล่านั้นปรากฎ ณ ท่ามกลางพื้นพระบาท. ลวดลายวงกลม นี้มาในบาลีก่อนแล้ว. แต่สัมพหุลวาระยังไม่มา. สัมพหุลวาระนั้น พึงทราบอย่างนี้. รูปหอก รูปแว่นส่องพระฉาย รูปดอกพุดซ้อน รูปสายสร้อย รูปสังวาล รูปถาดทอง รูปมัจฉาคู่ รูปตั่ง รูปขอ รูปปราสาท รูปเสาระเนียด รูปเศวตฉัตร รูปพระขรรค์ รูปพัดใบตาล รูปหางนกยูง รูปพัดวาลวิชนี รูปมงกุฎ รูปแก้วมณี รูปบาตร รูปพวงดอกมะลิ รูป บทว่า อายตปณฺหิ ความว่า มีส้นพระบาทยาว คือมีส้นพระบาทบริบูรณ์. อธิบายว่า ส้นพระบาทของพระมหาบุรุษไม่เป็นเหมือนปลายเท้าของคนอื่นที่ยาว ลำแข้งตั้งอยู่สุดส้นเท้าเป็นเหมือนตัดส้นเท้าตั้งอยู่ฉะนั้น. แต่ของพระมหาบุรุษ พระบาทมี ๔ ส่วน ปลายพระบาทมี ๒ ส่วน ลำพระชงฆ์ตั้งอยู่ในส่วนที่ ๓ ส้นพระบาทในส่วนที่ ๔ เป็นเช่นกับลูกคลีหนัง ทำด้วยผ้ากัมพลสีแดง ดุจม้วนด้วยปลายเข็มแล้วตั้งไว้. บทว่า ทีฆงฺคุลิ ความว่า นิ้วพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษไม่เป็นเหมือนนิ้วของคนอื่นที่บางนิ้วยาว บางนิ้วสั้น. แต่ของพระมหาบุรุษนิ้วพระหัตถ์และพระบาทยาวเหมือนของวานร ข้างโคนใหญ่แล้วเรียวไปโดยลำดับถึงปลายนิ้ว เช่นเดียวกับแท่งหรดาลที่ขยำด้วยน้ำมันยางแล้วปั้นไว้. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีนิ้วพระหัตถ์ยาว ดังนี้. บทว่า มุทุตลุนหตฺถปาโท ความว่า มีพระหัตถ์และพระบาทอ่อนดุจปุยฝ้ายที่ยีได้ ๑๐๐ ครั้ง เอารวมตั้งไว้ในเนยใส. แม้ในเวลาพระชนม์เจริญ พระหัตถ์และพระบาทก็จักอ่อนนุ่มเหมือนเมื่อพอประสูติ. พระหัตถ์และพระบาทของพระโพธิสัตว์นั้นอ่อนนุ่ม เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงมีพระหัตถ์และพระบาทอ่อนนุ่ม. บทว่า ชาลหตฺถปาโท ความว่า ระหว่างพระองคุลี หนังไม่ติดกัน. เพราะผู้มีมือติดกันเป็นพืดเช่นนี้ ถูกกำจัดโดยบุรุษโทษ แม้บวชก็ไม่ได้. ก็พระมหาบุรุษมีนิ้วพระหัตถ์ ๔ นิ้ว พระบาท ๕ ชิดสนิทเป็นอันเดียวกัน. ก็เพราะพระองคุลีทั้งหลายชิดสนิทเป็นอันเดียวกัน พระองคุลีทั้งหลายจึงติดกันและกัน มีลักษณะเป็นข้าวเหนียวตั้งอยู่. พระหัตถ์และพระบาทของพระโพธิสัตว์นั้นเป็นเช่นกับหน้าต่างตาข่ายอันช่างผู้ฉลาดดีประกอบแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย. เพราะข้อพระบาทตั้งอยู่เบื้องบน พระบาทของพระโพธิสัตว์นั้นจึงเหมือนสังข์คว่ำ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงมีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ. จริงอยู่ ข้อเท้าของคนอื่นอยู่ที่หลังเท้า เพราะฉะนั้น เท้าของคนเหล่านั้นจึงติดกัน เหมือนติดด้วยสลัก กลับกลอกไม่ได้ตามสะดวก เมื่อเดินไปฝ่าเท้าไม่ปรากฏ. แต่ข้อพระบาทของพระมหาบุรุษขึ้นไปตั้งอยู่เบื้องบน. เพราะฉะนั้น พระวร บทว่า เอณิชงฺโฆ คือ มีพระชงฆ์เรียวดุจเนื้อทราย. อธิบายว่า มีพระชงฆ์บริบูรณ์ด้วยหุ้มพระมังสะเต็ม ไม่ใช่เนื้อตะโพกติดโดยความเป็นอันเดียว ประกอบด้วยพระชงฆ์เช่นกับ บทว่า อโนนมนฺโต คือ ไม่น้อมลง. ท่านแสดงความที่พระมหาบุรุษนั้นไม่ค่อมไม่แคระด้วยบทนี้. ก็คนที่เหลือเป็นคนค่อมหรือเป็นคนแคระ. คนค่อมกายส่วนบนไม่บริบูรณ์ คนแคระกายส่วนล่างไม่บริบูรณ์. คนเหล่านั้นเพราะกายไม่บริบูรณ์ เมื่อก้มลงจึงไม่สามารถลูบคลำเข่าได้. แต่พระมหาบุรุษ เพราะพระวรกายทั้งส่วนบน |