บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องปัจจุบันนิทานนั้นได้กล่าวไว้พิสดารแล้ว ในสีวิราชชาดก ในอัฏฐกนิบาตนั้นเอง. ก็ในกาลนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงถวายบริขารครบทุกอย่างในวันที่ ๗ แล้วทูลขออนุ พระราชาเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วเสด็จไปยังพระวิหาร ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงทำอนุโมทนา พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร เพราะบริษัทไม่บริสุทธิ์ แล้วทรงแสดงพระธรรม แปลว่า คนตระหนี่ทั้งหลาย ย่อมไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย ดังนี้. พระราชาทรงเลื่อมใส ทรงบูชาพระตถาคตด้วยผ้าอุตราสงค์ สีเวยยกพัสตร์มีราคาแสนหนึ่ง แล้วเสด็จกลับพระนคร. ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเจ้าโกศลราชทรงถวายอสทิสทาน แล้วยังไม่อิ่มด้วยการถวายทานแม้ขนาดนั้น เมื่อพระทศพลทรงแสดงธรรมแล้ว ได้ถวายผ้าสีเวยยกพัสตร์อันมีค่าแสนหนึ่งอีก อาวุโสทั้งหลาย ตลอดเวลาที่ท้าวเธอทรงถวายทาน ยังไม่รู้สึกอิ่มพระทัยเลย. พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าพาหิรภัณฑ์ บุคคลจะให้ได้ง่ายก็หาไม่ โบราณกบัณฑิตทั้งหลายกระทำชมพูทวีปทั้งสิ้นให้เป็นเนินสูงแล้ว ให้ทานบริจาคทรัพย์วันละหกแสนทุกๆ วัน ยังไม่อิ่มด้วยพาหิรกทานเลย ผู้ให้ของรักย่อมได้ของรัก ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงได้ควักดวงตาทั้งสองให้ทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้า. แล้วทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าสีวิมหาราชเสวยราชสมบัติในอริฏฐปุรนคร แคว้นสีวิรัฐ พระมหาสัตว์เจ้าบังเกิดเป็นพระราชโอรสของท้าวเธอ พระประยูรญาติทั้งหลายขนานพระนามของพระกุมารนั้นว่า สีวิราชกุมาร. พระราชกุมารเจริญวัยแล้วไปยังพระนครตักกสิลา ศึกษาศิลปศาสตร์จบแล้ว กลับมาแสดงศิลปศาสตร์ถวายพระชนกทอดพระเนตร จนได้รับพระราชทานยศเป็นมหาอุปราช ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้วก็ได้เป็นพระราชา ละการลุอำนาจแก่อคติเสีย ไม่ยังทศพิธราชธรรมให้กำเริบ เสวยราชสมบัติโดยธรรม ให้สร้างศาลาโรงทานไว้ ๖ แห่งคือ ที่ประตูพระนคร ๔ แห่ง ท่ามกลางพระนคร ๑ แห่ง และที่ประตูพระราชนิเวศน์อีก ๑ แห่ง แล้วทรงยังมหาทานให้เป็นไป ด้วยทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๖ แสนทุกๆ วัน และในวันอัฏฐมี จาตุททสี และปัณณรสี คือวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ท้าวเธอเสด็จลงสู่โรงทาน ตรวจตราการให้ทานเป็นราชกรณียกิจประจำ. คราวหนึ่งเป็นวันปูรณมี ดิถีที่ ๑๕ ค่ำ เวลาเช้าพระเจ้าสีวิราชประทับเหนือราชบัลลังก์ ภายใต้สมุสสิตเศวตฉัตร ทรงรำพึงถึงทานที่พระองค์ทรงบริจาค มิได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิรวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชื่อว่าพระองค์ยังไม่เคยบริจาค จึงทรงพระดำริว่า พาหิรวัตถุที่ชื่อว่าเรายังไม่เคยบริจาคไม่มีเลย พาหิรกทานหาได้ยังเราให้ยินดีไม่ เราประสงค์จะให้อัชฌัตติกทาน โอหนอ เวลาที่เราไปในโรงทานวันนี้ ยาจกคนใดอย่าได้ขอพาหิรวัตถุเลย พึงเอ่ยออกชื่อขอแต่อัชฌัตติกทานเถิด ก็ถ้าหากว่าใครๆ จะเอ่ยปากขอดวงหทัยของเราไซร้ เราจะเอาหอกแหวะอุรประเทศนำดวงหทัย ซึ่งมีหยาดโลหิตไหลอยู่ออกให้ ดุจถอนปทุมชาติทั้งก้านขึ้นจากน้ำอันใสฉะนั้น ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอเนื้อในสรีรกายของเรา เราจะเถือเนื้อในสรีระให้ ดุจคนขูดจันทน์แดงด้วยศาสตราสำหรับขูดฉะนั้น ถ้าหากว่าใครเอ่ยปากขอโลหิต เราจะวิ่งเข้าไปในปากแห่งยนต์ ให้คนนำภาชนะเข้าไปรองรับจนเต็มแล้วจึงจักให้โลหิต หรือว่าถ้าใครจะพึงพูดกะเราว่า การงานในเรือนของเราไม่เรียบร้อย ท่านจงเป็นทาสทำการงานในเรือนของเราดังนี้ เราจักละเพศกษัตริย์เสีย กระทำตนให้อยู่นอกตำแหน่ง แล้วประกาศตนทำการงานของทาส ถ้าใครเอ่ยปากขอดวงตาของเรา เราจักควักดวงตาทั้งคู่ออกให้เหมือนดังควักจาวตาลฉะนั้น. ท้าวเธอทรงดำริต่อไปว่า วัตถุทานซึ่งเป็นของมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เรายังไม่ได้บริจาคไม่มีเลย แม้ยาจกคนใดจะพึงขอดวงตากะเรา เราจะไม่หวั่นไหวให้ดวงตาแก่ยาจกนั้นทีเดียว ดังนี้แล้ว ทรงสรงสนานด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อทรงประดับตกแต่งองค์ ด้วยเครื่องสรรพ ท้าวสักกะทรงทราบอัธยาศัยของพระองค์ จึงทรงดำริว่า วันนี้พระเจ้าสีวิราชทรงพระดำริว่า จักควักดวงพระเนตรออกพระราชทานแก่ยาจกผู้มาถึง ท้าวเธอจักอาจเพื่อพระราชทานหรือหาไม่หนอ เมื่อจะทดลองพระเจ้าสีวิราช จึงทรงแปลงเป็นพราหมณ์แก่ชราตาบอด ในเวลาที่พระราชาเสด็จไปสู่โรงทาน ได้ไปยืนอยู่ที่เนินแห่งหนึ่ง ยื่นพระหัตถ์ออกถวายชัยมงคล. พระราชาทรงไสช้างพระที่นั่งมุ่งเข้าไปหาพราหมณ์นั้น แล้วตรัสถามว่า ดูก่อน ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า โลกสัน เมื่อจะทูลขอดวงพระเนตร จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนชรา ไม่แลเห็นในที่ไกล มาเพื่อจะทูลขอพระเนตร ข้าพระพุทธเจ้ามีนัยน์ตาข้างเดียว ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูเร ความว่า อยู่ไกลจากที่นี่. บทว่า เถโร ความว่า เป็นดุจผู้เฒ่าผู้เข้าถึงความคร่ำคร่าเพราะชรา. บทว่า เอกเนตฺตา ความว่า ขอพระองค์จงทรงพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด ข้าพระพุทธเจ้าผู้มีนัยน์ตาข้างเดียว จักมีสองข้างได้ด้วยวิธีนี้. พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้วทรงดำริว่า เรานั่งนึกอยู่ในปราสาท มาเดี๋ยวนี้ทีเดียว เป็นลาภใหญ่ของเรา มโนรถของเราจักถึงที่สุดในวันนี้ทีเดียว เราจักบริจาคทานที่ยังไม่เคยบริจาค แล้วทรงมีพระหฤทัยชื่นชมโสมนัส. ตรัสพระคาถาที่ ๒ ความว่า ดูก่อนวณิพก ใครเป็นผู้แนะนำท่านให้มาขอดวงตาเรา ณ ที่นี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวดวงตาใดว่ายากที่บุรุษจะสละได้ ท่านมาขอดวงตานั้นอันเป็นอวัยวะเบื้องสูง ยากที่จะสละได้ง่ายๆ. ในพระคาถานั้น พระเจ้าสีวิราชตรัสเรียกท้าวสักกเทวราชว่า "วณิพก". บทว่า จกฺขุปถานิ นี้เป็นชื่อของจักษุทั้งสองข้าง. บทว่า ยมาหุ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวดวงตาใดอันบุรุษสละได้โดยยาก. เบื้องหน้าแต่นี้ไป พึงทราบสัมพันธคาถาง่ายๆ โดยนัยอันมาแล้วในพระบาลีดังต่อไปนี้ พราหมณ์ทูลตอบว่า ในเทวโลกเขาเรียกท่านผู้ใดว่า สุชัมบดี ในมนุษยโลกเขาเรียกท่านผู้นั้นว่า มฆวา ข้าพระพุทธเจ้าเป็นวณิพก ท่านผู้นั้นแนะนำให้มาขอพระเนตร ณ ที่นี้ ข้า พระเจ้าสีวิราชทรงสดับแล้ว ตรัสตอบว่า ท่านมาด้วยประโยชน์อันใด ปรารถนาประโยชน์สิ่งใด ความดำริเหล่านั้นเพื่อประโยชน์นั้นๆ ของท่านจงสำเร็จเถิด ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงได้ดวงตาเถิด เมื่อท่านขอข้างเดียว เราจะให้ทั้งสองข้าง ขอท่านจงมีจักษุด้วยจักษุของเราไปเถิด ท่านปรารถนาสิ่งใดจากเราผู้มุ่งหมายอยู่ ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จแก่ท่านเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วนิพฺพโก ได้แก่ ยาจก. บทว่า ยาจโต ความว่า แก่ข้าพระองค์ผู้มาขออยู่. บทว่า วณึ แปลว่า การขอ. บทว่า เต ความว่า ความมุ่งหมาย คือความดำริเพื่อต้องการสิ่งนั้นของท่านเหล่านั้น (จง บทว่า สจกฺขุมา ความว่า ท่านนั้นจงเป็นผู้มีจักษุด้วยจักษุของเราไปเถิด. บทว่า ยทจฺฉสิ ตฺวํ ตํ เต สมิชฺฌตุ ความว่า ท่านยังปรารถนาสิ่งใดจากสำนักของเรา ขอสิ่งนั้นจงสำเร็จแก่ท่านเถิด. พระราชาตรัสเพียงเท่านี้แล้วทรงพระดำริว่า การที่เราจักควักนัยน์ตาให้แก่พราหมณ์ในที่นี้ทีเดียว เป็นการไม่เหมาะสม จึงพาพราหมณ์ไปสู่ภายในพระราชฐาน แล้วประทับบนราชอาสน์ ตรัสสั่งให้เรียกหมอชื่อว่าสีวิกะมาตรัสว่า เจ้าจงชำระนัยน์ตาของเราให้สะอาด. ได้มีเสียงเอิกเกริกโกลาหลเป็นอันเดียวกันทั่วทั้งพระนครว่า ได้ยินว่า พระราชาของพวกเรามีพระราชประสงค์จะควักพระเนตรทั้งสอง พระราชทานแก่พราหมณ์ ลำดับนั้น ข้าราชการมีเสนาบดีเป็นต้น ราชวัลลภ ชาวพระนครและนางสนมทั้งหลาย มาประชุมพร้อมกัน เมื่อจะกราบทูลทัดทานพระราชา ได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์อย่าทรงพระราชทานดวงพระเนตรเลย อย่าทรงทอดทิ้งข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงเลย ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์พระราชทานทรัพย์เถิด แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ มีเป็นอันมาก ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์จงทรงพระราชทานรถทั้งหลายที่เทียมแล้ว ม้าอาชาไนย ช้างตัวประเสริฐที่ตบแต่งแล้ว ที่อยู่และเครื่องบริโภคที่ทำด้วยทองคำเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงทรงพระราชทานเหมือนกับชาวสิพีทั้งปวงที่มีเครื่องใช้สอย มีรถเฝ้าแหนพระองค์อยู่โดยรอบ ทุกเมื่อฉะนั้นเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรกฺกริ แปลว่า ทอดทิ้ง. อธิบายว่า ชาวสีพีทั้งหลายพากันกราบทูลด้วยความประสงค์อย่างเดียวเท่านั้นว่า ก็เมื่อพระองค์พระราชทานดวงพระเนตรแล้ว พระองค์จักครอบครองราชสมบัติไม่ได้ คนอื่นจักเป็นพระราชาแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจักชื่อว่าเป็นผู้ถูกพระองค์ทรงสละเสียแล้ว. บทว่า ปริกเรยฺยุํ แปลว่า พึงแวดล้อม. บทว่า เอวํ เทหิ ความว่า ชาวสีพีทั้งหลายจะพึงได้เฝ้าแหนพระองค์ผู้มีพระเนตรไม่บกพร่องอยู่ตลอดกาลนานโดยวิธีใด พระองค์จงทรงพระราชทานโดยวิธีนั้นเถิด คือพระองค์จงทรงพระราชทานแต่เพียงทรัพย์แก่พราหมณ์เท่านั้นอย่าได้ ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า ผู้ใดแลพูดว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเหมือนกับสวมบ่วงที่ตกลงยังพื้นดินไว้ที่คอ ผู้ใดแลพูดว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นเป็นคนลามกยิ่งกว่าผู้ที่ลามก ทั้งจะต้องเข้าถึงสถานที่ลงอาญาของพญายม ความจริงผู้ขอได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็ควรจะให้สิ่งนั้นแหละ ผู้ขอยังไม่ได้ขอสิ่งใดไว้ ผู้ให้ก็ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิมุญฺจติ แปลว่า สวมใส่. บทว่า ปาปา ปาปตโร ความว่า ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ที่เลวทรามกว่าผู้ที่เลวทราม. บทว่า สมฺปตฺโต ยมสาธนํ ความว่า ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าถึงอุสสุทนรก อันเป็นสถานที่ลงอาญาแห่งพญายมโดยแท้. บทว่า ยํ หิ ยาเจ ความว่า พระเจ้าสีวิราชตรัสว่า ก็ยาจกขอสิ่งใดแม้ทายกก็ต้องให้สิ่งนั้นทีเดียว ก็พราหมณ์ผู้นี้ขอจักษุกะเรา หาใช่ขอทรัพย์เช่นแก้วมุกดาเป็นต้นไม่ เรานั้นจักให้จักษุแก่เขาเท่านั้น. ลำดับนั้น เมื่ออำมาตย์ทั้งหลายจะทูลถามท้าวเธอว่า พระ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชา พระองค์ทรงปรารถนาพระชนมายุ วรรณะ สุขะ และพละอะไรหรือ จึงทรงพระราชทานพระเนตร พระองค์ทรงเป็นราชาแห่งชาวสีพี ไม่มีใครประเสริฐยิ่งไปกว่า ทรงพระราชทานพระเนตร เพราะเหตุปรโลกหรืออย่างไร. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรโลกเหตุ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเช่นพระองค์จำต้องละอิสริยยศส่วนปัจจุบันแล้ว พระราชทานดวงพระเนตร เพราะเหตุแห่งปรโลกหรืออย่างไร? ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัสตอบอำมาตย์เหล่านั้น จึงตรัสพระคาถาความว่า เราให้ดวงตาเป็นทานนั้น เพราะยศก็หาไม่ เราจะได้ปรารถนาบุตร ทรัพย์หรือแว่นแคว้น เพราะผลแห่งการให้ดวงตานี้ก็หาไม่ อีกประการหนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ท่านได้ประพฤติกันมาแล้วแต่โบราณ เพราะเหตุนี้แหละ ใจของเราจึงยินดีในทาน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นวาหํ ตัดบทเป็น น เว อหํ. บทว่า ยสสา ความว่า เพราะเหตุแห่งยศอันเป็นทิพย์ หรือเป็นของมนุษย์ก็หามิได้. บทว่า น ปุตฺตมิจฺเฉ ความว่า ใช่ว่าเราอยากจะได้บุตร ทรัพย์สมบัติ แว่นแคว้น เพราะผลแห่งการให้จักษุเป็นทานนี้ก็หามิได้ ก็แต่ว่าข้อนี้ ชื่อว่าเป็นโบราณมรรค คือเป็นการบำเพ็ญบารมี อันสัตบุรุษคือบัณฑิตได้แก่พระโพธิสัตว์ผู้สัพพัญญูสั่งสมมาดีแล้ว ด้วยว่าพระโพธิสัตว์ไม่บำเพ็ญบารมีให้เต็มแล้ว ชื่อว่าจะมีความสามารถที่จะบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิบัลลังก์ก็หามิได้ อนึ่ง เราบำเพ็ญบารมีไว้ ก็ใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้า. บทว่า อิจฺเจว ทาเน นิรโต มโน ความว่า เพราะเหตุนี้ ใจของเราจึงได้ยินดีเฉพาะในทาน แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงแสดงจริยาปิฎก แก่พระธรรมเสนา จึงตรัสว่า ดวงตาทั้งสองข้างจะได้เป็นที่เกลียดชังของเราก็หาไม่ ตนของตนเองก็หาได้เป็นที่เกลียดชังของเราไม่ พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงได้ให้ดวงตา. ก็เมื่ออำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่อาจจะทูลทัดทาน จำต้องนิ่งเฉยอยู่. พระมหาสัตว์เจ้าได้ตรัสกำชับสีวิกแพทย์ด้วยพระคาถาว่า ดูก่อนสีวิกะ ท่านเป็นมิตรสหายของเรา ท่านเป็นคนศึกษามาดีแล้ว จงกระทำตามคำของเราให้ดี จงควักดวงตาทั้งสองของเราผู้ปรารถนาอยู่ แล้ววางลงในมือของพราหมณ์วณิพกเถิด. พระคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า ดูก่อนสีวกแพทย์ผู้สหาย เธอเป็นทั้งสหายและมิตรของเรา ได้ศึกษามาในศิลปะของแพทย์เป็นอย่างดีโดยแท้ จงทำตามคำของเราให้สำเร็จประโยชน์ เมื่อเราปรารถนาพิจารณาแลดูนั่นแล เธอจงควักดวงตาทั้งคู่ของเราออกดังถอนหน่อตาล แล้ววางไว้ในมือของยาจกผู้นี้เถิด ดังนี้. ลำดับนั้น สีวกแพทย์ทูลเตือนท้าวเธอว่า ขึ้นชื่อว่าการให้จักษุเป็นทาน เป็นกรรมหนัก ขอเดชะพระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์จงใคร่ครวญให้ดี. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสีวิกแพทย์ เราใคร่ครวญดีแล้ว ท่านอย่ามัวชักช้าร่ำไรอยู่เลย อย่าพูดกับเราให้มากเรื่องไปเลย. สีวิกแพทย์คิดว่า การที่นายแพทย์ผู้ศึกษามาดีเช่นเรา จะเอาศาสตรา เขากราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงกำหนด พระราชาตรัสว่า พ่อหมอ เธอจงหลีกไป อย่ามัวทำช้าอยู่เลย. เขาจึงปรุงโอสถน้อมเข้าไปให้ทรงถูพระเนตรซ้ำอีก พระเนตรก็หลุดออกจากหลุมพระเนตร บังเกิดทุกขเวทนาเหลือประมาณ. เขากราบทูลว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงกำหนดพระทัยดูเถิด การทำพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า หลีกไปเถอะพ่อหมอ อย่าทำชักช้าอยู่เลย. ในวาระที่ ๓ เขาปรุงโอสถให้แรงขึ้นกว่าเดิมน้อมเข้าไปถวาย ด้วยกำลังพระโอสถ พระเนตรก็หมุนหลุดออกจากเบ้าพระเนตร ลงมาห้อยอยู่ด้วยเส้นเอ็น. เขาจึงกราบทูลซ้ำอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมนรชน ขอพระองค์จงทรงกำหนดพระทัยดูเถิด การทำพระเนตรให้เป็นปกติ เป็นภาระของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสว่า เธออย่าทำการชักช้าอยู่เลย. ทุกขเวทนาบังเกิดขึ้นเหลือที่จะประมาณ พระโลหิตก็ไหลออก พระภูษาทรงเปียกชุ่มไปด้วย พระราชาทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสว่า พ่อหมอ เธออย่าทำการชักช้าอยู่เลย. เขารับพระบรมราชโองการแล้ว ประคองพระเนตรด้วยมือซ้าย จับศาสตราตัดเอ็นที่ติดพระเนตรด้วยมือขวา แล้วรับพระเนตรไปวางไว้ในพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์. พระองค์ทอดพระเนตรเบื้องขวาด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย ทรงอดกลั้นทุกขเวทนา ตรัสเรียกพราหมณ์ว่า มาเถิดพราหมณ์ แล้วตรัสว่า สัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็นที่รักกว่านัยน์ตาของเรานี้ตั้งร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ผลที่เราบริจาคดวงตานี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณนั้นเถิด. แล้วได้พระราชทานดวงพระเนตร พราหมณ์รับพระเนตรนั้นประดิษฐานไว้ในดวงตาของตน ด้วยอานุภาพของพระเจ้าสีวิราชนั้นดวงพระเนตรก็ประดิษฐานอยู่ เป็นเหมือนดอกอุบลเขียวที่แย้มบาน. พระมหาสัตว์เจ้าทอดพระเนตรดูนัยน์ตาของพราหมณ์นั้น ด้วยพระเนตรเบื้องซ้าย แล้วทรงดำริว่า โอ อักขิทาน เราได้ให้ดีแล้ว ทรงเสวยปิติอันซ่านไปภายในพระหฤทัย ท้าวสักกเทวราชทรงประดิษฐาน แม้พระเนตรเบื้องซ้ายนั้นไว้ในดวงพระเนตรของพระองค์ แล้วเสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อมหาชนกำลังแลดูอยู่นั่นแล ได้ออกจากพระนครไปสู่เทวโลกทันที. พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาหนึ่งคาถาครึ่ง ความว่า พระเจ้าสีวิราชทรงเตือนให้หมอสีวิกะ กระทำตามพระราชดำรัสแล้ว หมอสีวิกะควักดวงพระเนตรของพระราชาออกแล้ว ทรงพระราชทานแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็เป็นคนตาดี พระราชาก็เข้าถึงความเป็นคนตาบอด. ไม่สู้นานนัก มังสะพระเนตรทั้งคู่ของพระราชาก็งอกขึ้น และเมื่องอกขึ้นก็หาถึงความเป็นหลุมไม่ ได้เต็มบริบูรณ์ด้วยก้อนพระมังสะอันนูนขึ้นเหมือนปมผ้ากัมพล หลุมพระเนตรทั้งสองเป็น ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ประทับอยู่บนปราสาทสอง-สามวัน ทรงดำริว่าประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่คนตาบอด เพราะฉะนั้น เราจักมอบราชสมบัติแก่อำมาตย์ทั้งหลายไปสู่พระราชอุทยาน บวชบำเพ็ญสมณ ส่วนอำมาตย์ทั้งหลายไม่ให้พระองค์เสด็จด้วยรถ นำเสด็จไปด้วยพระสุวรรณสีวิกา แล้วให้ประทับอยู่ใกล้ฝั่งสระโบกขรณี จัดแจงวางกำลังพิทักษ์รักษาแล้วจึงหลีกไป. พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ ทรงรำพึงถึงทานของพระองค์. ขณะนั้นได้ร้อนไปถึงอาสนะของท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกะทรงรำพึงดู เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ทรงดำริว่า เราจักให้พรแก่พระเจ้าสีวิมหาราช แล้วทำพระเนตรให้เป็นปกติ ดังนี้แล้วจึงเสด็จมาที่ฝั่งสระโบกขรณีนั้น เสด็จดำเนินไปๆ มาๆ ไม่ไกลพระมหา พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า นับแต่นั้นมาสองสามวัน เมื่อพระเนตรทั้งสองมีเนื้องอกขึ้นเต็มแล้ว พระราชาผู้บำรุงสีพีรัฐจึงตรัสเรียกนายสารถีผู้เฝ้าอยู่นั้นว่า ดูก่อนสารถี ท่านจงเทียมยานเถิด เสร็จแล้วจงบอกให้เราทราบ เราจะไปยังอุทยาน จะไปยังสระโบกขรณี และราวป่า พอพระเจ้าสีวิราชเข้าไปประทับนั่งขัดสมาธิ ริมขอบสระโบกขรณีแล้ว ท้าวสุชัมบดีสักกเทวราชก็เสด็จมาเฝ้าท้าวเธอ. ฝ่ายท้าวสักกเทวราช อันพระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเสียงแห่งพระบาท แล้วตรัสถามว่า นั่นใคร? จึงตรัสพระคาถาความว่า หม่อมฉันเป็นท้าวสักกะจอมแห่งเทพ มาในสำนักของพระองค์แล้ว ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระองค์จงทรงเลือกเอาพรตามที่พระทัยปรารถนาเถิด. เมื่อท้าวสักกเทวราชตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาจึงตรัสพระคาถาความว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช ทรัพย์ก็ดี กำลังก็ดี ของหม่อมฉันมีเพียงพอแล้ว อนึ่ง คลังของหม่อมฉันก็มีเป็นอันมาก บัดนี้ หม่อมฉันเป็นคนตาบอด พอใจความตายเท่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรณญฺเญว รุจฺจติ ความว่า ข้าแต่เทวราช บัดนี้ความตายอย่างเดียวเท่านั้นที่ข้าพเจ้าพอใจเพราะความเป็นคนตาบอด ขอพระองค์จงให้ความตายแก่ข้าพเจ้าเถิด. ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสกะท้าวเธอว่า ดูก่อนพระเจ้าสีวิราช ก็พระ พระเจ้าสีวิราชทูลตอบว่า ข้าพเจ้าอยากสิ้นพระชนม์เพราะเป็นคนตาบอด. ท้าวสักกเทวราชตรัสข้อสนทนาต่อไปว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่าทานจะให้ผลในสัมป ดูก่อนบรมกษัตริย์ผู้เป็นจอมนรชน พระองค์จงตรัสถ้อยคำที่เป็นสัจจะ เมื่อพระองค์ตรัสแต่ถ้อยคำที่เป็นสัจจะ พระเนตรจักเกิดขึ้นอีก. พระมหาสัตว์เจ้าทรงสดับเช่นนั้นแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท้าวสักกเทวราช แม้ เมื่อท้าวสักกะตรัสว่า เราเป็นท้าวสักกเทวราชไม่สามารถจะให้จักษุแก่คนอื่นได้ จักษุจักเกิดขึ้นด้วยกำลังแห่งทานอันพระองค์บริจาคอย่างเดียว จึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นทานอันข้าพเจ้าบริจาคด้วย เมื่อจะทรงทำสัจจกิริยา จึงตรัสพระคาถาความว่า บรรดาวณิพกทั้งหลายผู้มีโคตรต่างๆ กัน มาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกคนใดมาขอหม่อมฉัน แม้วณิพกนั้นก็เป็นที่รักแห่งใจของหม่อมฉัน ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอจักษุ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสปิ เม ความว่า วณิพกเหล่าใดมาขอเรา วณิพกเหล่านั้นก็เป็นที่รักของเรา เมื่อพวกเขาพากันมาขอ ผู้ใดขอจักษุเรา ถึงผู้นั้นก็เป็นที่รักใคร่ด้วยใจของเรา. บทว่า เอเตน ความว่า ถ้าคำว่า ยาจกทั้งมวลล้วนเป็นที่รักของเรา นี้เป็นสัจจ ลำดับนั้น พระจักษุอันเป็นปฐมก็เกิดขึ้นในระหว่างแห่งพระดำรัสของพระราชานั่นเอง แต่นั้นเพื่อจะให้พระจักษุข้างที่สองเกิดขึ้น ท้าวเธอจึงตรัสหมวดสองแห่งคาถา ความว่า พราหมณ์ผู้ใดมาขอหม่อมฉันว่า ขอพระราชทานพระเนตรเถิด หม่อมฉันได้ให้ดวงตาทั้งสองแก่พราหมณ์ผู้นั้นซึ่งเป็นวณิพก ปีติ และโสมนัสเป็นอันมากเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันยิ่งนัก ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่หม่อมฉันเถิด ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ มํ ความว่า พราหมณ์ใดมาขอเรา. บทว่า โส ความว่า พราหมณ์นั้นมีจักษุพิการมาขอเราว่า ขอพระองค์โปรดพระราชทานแก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด. บทว่า วนิพฺพโต ความว่า แก่พราหมณ์ผู้มาขอ. บทว่า ภิยฺโย มํ อาวิสิ ความว่า ครั้นให้จักษุทั้งสองแก่พราหมณ์แล้ว นับ บทว่า เอเตน ความว่า ถ้าหากปิติโสมนัสมิใช่น้อยเกิดขึ้นแก่เราในกาลนั้นไซร้ นี้เป็นสัจจ ในทันใดนั้นเอง พระเนตรดวงที่สองก็เกิดขึ้น แต่พระเนตรของพระเจ้าสีวิราชนั้น จะว่าเป็นพระเนตรปกติก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นพระเนตรทิพย์ก็ไม่ใช่ เพราะ ในกาลที่พระเนตรเหล่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกันนั่นเอง ราชบริษัททั้งปวงต่างก็มาประชุมพร้อมกันด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช. ลำดับนั้น เมื่อท้าวสักกเทวราชจะทรงทำการชมเชยพระเจ้าสีวิราชในท่าม ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงบำรุงสีพีรัฐ พระองค์ตรัสพระคาถาแล้วโดยธรรม พระเนตรทั้งสองของพระองค์จะปรากฏเป็นตาทิพย์เห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอกกำแพงและภูเขาตลอดร้อยโยชน์ โดยรอบ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ภาสิตา ความว่า ข้าแต่มหาราช คาถาเหล่านี้พระองค์ตรัสแล้วตามธรรม คือตามสภาพ. บทว่า ทิพฺยานิ ความว่า ประกอบด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์. บทว่า ปฏิทิสฺสเส แปลว่า จักปรากฏ. บทว่า ติโรกุฑฺฑํ ความว่า ข้าแต่มหาราช พระเนตรเหล่านี้ของพระองค์ จงเสวยผล คือผ่องใส ทอดพระเนตรเห็นรูปได้ทะลุล่วงนอกฝานอกกำแพง และแม้ภูเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง ราวกะว่าจักษุแห่งเหล่าเทพยดา ตลอด ๑๐๐ โยชน์ทั่วสิบทิศโดยรอบ. ท้าวสักกเทวราชประทับยืนขึ้นบนอากาศ ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ในท่าม ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าแวดล้อมด้วยมหาชน เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยสักการะใหญ่ แล้วเสด็จขึ้น ลำดับนั้น ประชาชนชาวสีวีรัฐทั้งสิ้นต่างถือเอาเครื่องบรรณาการมาถวายเป็นอันมาก เมื่อต้องการจะเข้าเฝ้าชมพระบารมีพระเจ้าสีวิราช พระมหาสัตว์เจ้าทรงดำริว่า เมื่อมหาชนนี้ประชุมกันแล้ว เราจักพรรณนาทานของเรา จึงตรัสสั่งให้สร้างมณฑปใหญ่ที่ประตูพระราชนิเวศน์ ประทับนั่งบนราชบัลลังก์ภายใต้ เมื่อจะทรงแสดงธรรมได้ตรัสพระคาถา ๔ คาถา ความว่า ใครหนอในโลกนี้ ถูกขอทรัพย์อันน่าปลื้มใจแล้ว แม้จะเป็นของพิเศษ แม้จะเป็นของที่รักอย่างดีของตน จะไม่พึงให้ เราขอเตือนท่านทั้งหลายผู้เป็นชาวแคว้นสีพีทุกๆ คน ที่มาประชุมกัน จงดูดวงตาทั้งสองอันเป็นทิพย์ของเราในวันนี้ ตาทิพย์ของเราเห็นได้ทะลุภายนอกฝา ภายนอกกำแพง และภูเขาตลอด ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ในโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลายนี้ ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่าการบริจาคทาน เราได้ให้จักษุที่เป็นของมนุษย์แล้ว กลับได้จักษุทิพย์ ดูก่อนชาวแคว้นสีพีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้เห็นจักษุทิพย์ที่เราได้นี้แล้ว จงให้ทานเสียก่อน จึงค่อยบริโภคเถิด บุคคลผู้ให้ทานและบริโภคแล้วตามอานุภาพของตน ไม่มีใครจะติเตียนได้ ย่อมเข้าถึงสุคติสถานดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนีธ ตัดบทเป็น โก นุ อิธ แปลว่า ใครหนอในโลกนี้. บทว่า อปิ วิสิฏฺฐํ ความว่า แม้จะเป็นของสูงสุด. บทว่า จาคมตฺตา ความว่า ขึ้นชื่อว่าจักษุอื่นที่จะยอดเยี่ยมกว่า ประมาณการบริจาคไม่มี. บทว่า อิธ ชีวิเต ความว่า ในชีวโลกนี้. ปาฐะว่า อิธ ชีวิตํ ดังนี้ก็มี. ความก็ว่า เป็นอยู่ในชีวโลกนี้. บทว่า อมานุสึ ความว่า จักษุทิพย์อันเราได้แล้วด้วยเหตุนี้จึงควรทราบความข้อนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่จะสูงสุดกว่าการบริจาคไม่มี. บทว่า เอตํปิ ทิสฺวา ความว่า ท่านทั้งหลายแม้เห็นแล้วซึ่งจักษุอันเป็นทิพย์ อันเราได้แล้วนี้ (จง ครั้นพระเจ้าสีวิราชทรงแสดงธรรมด้วยคาถา ๔ คาถาเหล่านี้ด้วยประการฉะนี้แล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ในวันกึ่งเดือนและวันปัณณรสีอุโบสถ ก็รับสั่งให้มหาชนประชุมกัน ทรงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้เป็นประจำ มหาชนสดับธรรมนั้นแล้วพากันทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ได้ไปสู่เทว พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ไม่ยินดีด้วยทานในภายนอก ได้ควักดวงตาทั้งสองของตนบริจาคทานแก่ยาจกผู้มาถึงเฉพาะหน้าด้วยอาการอย่างนี้ แล้วทรงประกาศจตุรา ทรงประชุมชาดกว่า สีวิกแพทย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็น พระอนุรุทธะ ราชบริษัทที่เหลือได้มาเป็น พุทธบริษัท ส่วนพระเจ้าสีวิราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สีวิราชชาดก จบ. |