บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอกระสันอยาก ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าตัมพราช ครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระอัครมเหสีของพระเจ้าตัมพราชนั้น พระนามว่าสุสันธี ทรงพระรูปโฉมอันล้ำเลิศ. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดสุบรรณพิภพ. ในกาลนั้น ได้มีเกาะนาคชื่อว่า เสรุม วันหนึ่ง ทรงแต่งองค์แล้วเสด็จมายังสนามเล่นสกา ประทับยืนอยู่ในระหว่างพวกนางปริจาริกา ทรงแลดูมาณพนั้น. ฝ่ายมาณพนั้นก็แลดูพระเทวี ชนทั้งสองต่างมีจิตปฏิพัทธ์ ชื่อว่า คนผู้จะรู้สถานที่ที่พระนางสุสันธีเสด็จไป มิได้มีเลย. พระยาสุบรรณนั้นอภิรมย์อยู่กับพระนางสุสันธีนั้น ไปเล่นสกากับพระราชา ก็พระ ครั้งนั้น พ่อค้าชาวภารุกัจฉาจะแล่นเรือไปยังสุวรรณภูมิ. คนธรรพ์นั้นจึงเข้าไปหาพ่อค้าเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นคนธรรพ์นักขับร้องจักทำการขับร้องให้แก่พวกท่าน โดยหักเป็นค่าเรือ ขอท่านทั้งหลายจงพาข้าพเจ้าไปด้วย. พ่อค้าเหล่านั้นรับว่าได้ แล้วให้เขาขึ้นไปยังเรือแม้นั้นแล้วออกเรือไป. เมื่อเรือแล่นไปแล้ว พ่อค้าเหล่านั้นจึงเรียกคนธรรพ์นั้นมาแล้วกล่าวว่า จงทำการขับร้องให้แก่พวกเรา. คนธรรพ์กล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าจะทำการขับร้องไซร้ ก็เมื่อกำลังขับร้องอยู่ฝูงปลาทั้งหลายจักเคลื่อนไหว เมื่อเป็นเช่นนั้น เรือของท่านทั้งหลายจักแตก. พวกพ่อค้ากล่าวว่า เมื่อกระทำการขับร้องอยู่ในทางของมนุษย์ ชื่อว่าพวกปลาจะเคลื่อนไหวย่อมไม่มี ท่านจงขับร้องเถอะ. คนธรรพ์จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายอย่าโกรธข้าพเจ้า แล้วแก้พิณออกทำการขับร้องให้เสียงดีดพิณเข้ากับเสียงขับและให้เสียงขับเข้ากับเสียงดีดพิณ. ปลาทั้งหลาย ครั้งนั้น มังกร (ชนิดของปลา) ตัวหนึ่งกระโดดตกลงไปในเรือทำให้เรือแตก. นายอัคคะนั้นนอนอยู่ในแผ่นกระดานลอยไปตามลมจนถึงแหล่งของต้นไทรอันเป็นสุบรรณพิภพ ณ เกาะนาคทวีป. ฝ่ายพระนางสุสันธีเทวี ในเวลาที่พระยาสุบรรณไปเล่นสกากับพระราชา ก็ลงจากวิมานเดินเที่ยวไปที่ชายฝั่ง เห็นคนธรรพ์ชื่อว่าอัคคะนั้น ทรงจำได้ จึงถามว่า ท่านมาได้อย่างไร? คนธรรพ์นั้นจึงทูลให้ทราบทั้งหมด. พระนางสุสันธีจึงปลอบโยนคนธรรพ์นั้นว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านอย่ากลัวไปเลย แล้วเอาแขนทั้งสองโอบอุ้มขึ้นไปยังวิมาน ให้นอนบนที่นอน ในเวลาที่นายอัคคะกระปรี้กระเปล่าขึ้นแล้ว ก็ให้โภชนาหารทิพย์ ให้อาบน้ำหอมทิพย์ ให้นุ่งห่มผ้าทิพย์ ประดับด้วยของหอมและดอกไม้ทิพย์ แล้วกลับให้นอนบนที่นอนทิพย์อีก. พระนางปฏิบัติคนธรรพ์นั้นด้วยประการอย่างนี้ เวลาพระยาสุบรรณมาก็ปกปิดไว้เสีย เวลาพระยาสุบรรณไปก็อภิรมย์ด้วยอำนาจกิเลสกับคนธรรพ์นั้น. จากนั้นล่วงไปได้กึ่งเดือน พ่อค้าชาวเมืองพาราณสีมาถึงที่โคนต้นไทร ในเกาะนั้น เพื่อต้องการจะเอาฟืนและน้ำ. นายอัคคะนั้นนั่งเรือไปยังนครพาราณสีกับพระเทวีนั้น ได้เฝ้าพระราชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครั้นในเวลาพระยาสุบรรณนั้นมาเล่น เมื่อจะขับร้องถวายพระราชา จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า กลิ่นดอกติมิระฟุ้งตลบไป น้ำทะเลก็กึกก้องคะนองลั่น พระนางสุสันธีอยู่ห่างไกลนครนี้แท้ ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช กามทั้งหลายเสียบแทงหัวใจข้าพระบาทอยู่. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติมิรานํ ได้แก่ ดอกของต้นติมิระ. เขาว่า มีต้นติมิระล้อมรอบต้นไทรนั้น. นาย บทว่า กุสมุทฺโท ได้แก่ น้ำทะเล. บทว่า โฆสวา แปลว่า มีเสียงดังลั่น. นายอัคคคนธรรพ์กล่าวอย่างนั้น โดยเอาทะเลใกล้ๆ ต้นไทรนั้นเท่านั้น. บทว่า อิโต หิ แปลว่า จากนครนี้. นายอัคคคนธรรพ์เรียกพระราชาว่าตมฺพ. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า ตมฺพกามา นี้ท่านแสดงว่า กามที่พระเจ้าตัมพราชทรงใคร่ ชื่อว่าตัมพกาม กามนั้นเสียบแทงหัวใจข้าพระบาทอยู่. พระยาสุบรรณได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- ท่านข้ามทะเลไปได้อย่างไร ท่านได้เห็นเกาะเสรุมะได้อย่างไร ดูก่อนนายอัคคะ ความสมาคมของนางและท่านได้มีขึ้นอย่างไร. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสรุมํ ได้แก่ เกาะชื่อเสรุมะ. ลำดับนั้น อัคคคนธรรพ์ได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า : - เมื่อพวกพ่อค้าผู้แสวงหาทรัพย์ออกไปจากท่าชื่อภรุกัจฉา พวกมังกรทำให้เรือแตก เราได้ลอยไปกับแผ่นกระดาน พระนางสุสันธีมีกลิ่นกายหอมดังแก่นจันทน์อยู่เป็นนิจ ผู้น่าดูน่าชม ทรงเห็นข้าพระบาทผู้ข้ามห้วงมหรรณพได้เพราะแผ่นกระดานแล้ว ปลอบโยนด้วยวาจาอันอ่อนหวาน ทรงอุ้มข้าพระบาทด้วยแขนทั้งสอง ประหนึ่งมารดาอุ้มบุตรผู้เกิดจากอกฉะนั้น. พระนางผู้มีพระเนตรอ่อนหวาน ทรงบำรุงบำเรอข้าพระบาทด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน และแม้ด้วยตัวพระองค์เอง ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้เถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สา มํ สณฺเหน มุทุนา ความว่า พระนางทรงเที่ยวไปที่ฝั่งสมุทร ทรงเห็นข้าพระบาทผู้ข้ามขึ้นฝั่งด้วยแผ่นกระดานอย่างนี้แล้ว ทรงปลอบโยนด้วยวาจาอันไพเราะอ่อนหวานว่าอย่ากลัวเลย. ด้วยบทว่า องฺเคน นี้ แขนทั้งคู่ท่านเรียกว่าอังเคนะ ในที่นี้. บทว่า ภทฺทา ได้แก่ น่าดู น่าพิศมัย. บทว่า สา มํ อนฺเนน ความว่า พระนางบำเรอข้าพระบาทให้อิ่มหนำด้วยข้าวเป็นต้นนี้. บทว่า อตฺตนาปิ จ นี้ ท่านแสดงว่า มิใช่แต่ข้าวเป็นต้นอย่างเดียวเท่านั้น แม้ตัวพระองค์เองก็ทรงบำเรอให้อิ่มหนำอภิรมย์อยู่. บทว่า มทฺทกฺขี แปลว่า มีนัยน์ตาอ่อนหวาน ท่านอธิบายว่า มีการแลดูด้วยอาการอ่อนโยนเป็นปกติธรรดา. บาลีว่า มตฺตกฺขี ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า ประกอบด้วยดวงตาประหนึ่งว่ามัวเมาด้วยความเมา ดวงตาหยาดเยิ้ม. บทว่า เอวํ ตมฺพ ความว่า ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช ขอพระองค์โปรดทรงทราบอย่างนี้. เมื่อคนธรรพ์กล่าวคาถาอยู่นั้นแหละ พระยาสุบรรณมีความร้อนใจคิดว่า เราแม้อยู่ในสุบรรณ พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึกได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ส่วนพระยาสุบรรณในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. มณิกุณฑลชาดก ว่าด้วย ผู้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๒. สุชาตชาดก ว่าด้วย คำคมของคนฉลาด ๓. เวนสาขชาดก ว่าด้วย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๔. อุรคชาดก ว่าด้วย เปรียบคนตายเหมือนงูลอกคราบ ๕. ธังกชาดก ว่าด้วย การร้องไห้ไม่มีประโยชน์ ๖. การันทิยชาดก ว่าด้วย การทำที่เหลือวิสัย ๗. ลฏุกิกชาดก ว่าด้วย คติของคนมีเวร ๘. จุลลธรรมปาลชาดก ว่าด้วย ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ๙. สุวรรณมิคชาดก ว่าด้วย เนื้อติดบ่วงนายพราน ๑๐. สุสันธีชาดก ว่าด้วย นางผิวหอม ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สุสันธีชาดก จบ. |