ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 707 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 712 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 717 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เวนสาขชาดก
ว่าด้วย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

               พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยตำบลสุงสุมารคีรี ในแขวงภัคคชนบท ประทับอยู่ในเภสกฬาวัน ทรงปรารภโพธิราชกุมาร จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้.
               มีคำเริ่มต้นว่า นยิทํ นิจฺจํ ภวิตพฺพํ ดังนี้
               ครั้งนั้น พระโอรสของพระเจ้าอุเทนนามว่า โพธิราชกุมาร ประทับอยู่ ณ สุงสุมารคีรี รับสั่งให้เรียกช่างไม้ผู้ชำนาญศิลปะคนหนึ่งมาให้สร้างปราสาทชื่อโกกนุท โดยสร้างไม่ให้เหมือนกับพระราชาอื่นๆ ก็แหละครั้นให้สร้างเสร็จแล้ว มีพระทัยตระหนี่ว่า ช่างไม้คนนี้จะพึงสร้างปราสาทเห็นปานนี้แก่พระราชาแม้องค์อื่น จึงให้ควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของช่างไม้นั้นเสีย. เพราะเหตุนั้น แม้ความที่พระโพธิราชกุมารให้ควักนัยน์ตาของช่างไม้นั้น ก็เกิดปรากฎในหมู่ภิกษุสงฆ์.
               เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า โพธิราชกุมารรับสั่งให้ควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของนายช่างไม้เห็นปานนั้น โอ! ช่างกักขฬะหยาบช้า สาหัสนัก.
               พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า.
               จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน โพธิราชกุมารนี้ก็เป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า สาหัส เหมือนกันและในบัดนี้เท่านั้นยังไม่สิ้นเชิง แม้ในกาลก่อน โพธิราชกุมารนี้ก็ให้ควักพระเนตรของกษัตริย์ ๑,๐๐๐ องค์ ให้ปลงพระชนม์ทำพลีกรรมด้วยเนื้อของกษัตริย์ ๑,๐๐๐ องค์นั้น.
               แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์อยู่ในเมืองตักกสิลา. ขัตติยมาณพและพราหมณ์มาณพในพื้นชมพูทวีป พากันเรียนศิลปะในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้นเอง.
               พระโอรสแม้ของพระเจ้าพาราณสี นามว่าพรหมทัตกุมาร ก็เรียนพระเวททั้ง ๓ ในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น. แต่ตามปกติ พรหมทัตกุมารนั้นได้เป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า ทารุณ. พระโพธิสัตว์รู้ว่าพรหมทัตกุมารนั้นเป็นผู้กักขฬะหยาบช้าทารุณ ด้วยอำนาจวิชาดูอวัยวะ ได้กล่าวสอนว่า ดูก่อนพ่อ เธอเป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ความเป็นใหญ่ที่ได้ด้วยความหยาบช้าย่อมไม่ดำรงอยู่นาน เมื่อความเป็นใหญ่พินาศไป คนผู้หยาบช้านั้นย่อมไม่ได้ที่พึ่ง เหมือนคนเรือแตกไม่ได้ที่พึ่งพำนักในสมุทรฉะนั้น เพราะฉะนั้น เธออย่าได้เป็นผู้เห็นปานนั้น ดังนี้.
               จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
               ดูก่อนพรหมทัตกุมาร ความเกษมสำราญ ๑ ภิกษาหารที่หาได้ง่าย ๑ ความเป็นผู้สำราญกายนี้ ๑ ไม่พึงมีตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อประโยชน์ของตนสิ้นไป ท่านอย่าได้เป็นผู้ล่มจมเลย เหมือนคนเรือแตกไม่ได้ที่พึ่งอาศัย จมอยู่ในท่ามกลางทะเลฉะนั้น.
               บุคคลทำกรรมใด ย่อมเห็นกรรมนั้นในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้ผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ผลย่อมงอกขึ้นเช่นนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขตา จ กาเย ความว่า ดูก่อนพ่อพรหมทัต ความเกษมสำราญก็ตาม ความมีภิกษาที่หาได้ง่ายก็ตาม หรือความสบายกายก็ตาม ทั้งหมดนี้ ย่อมไม่มีเป็นนิตย์ คือตลอดกาลทั้งปวงแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ความเกษมสำราญเป็นต้นนี้เป็นของไม่เที่ยงมีความไม่มีเป็นธรรมดา.
               บทว่า อตฺถจฺจเย ความว่า ท่านนั้น ในเมื่อความเป็นใหญ่ปราศจากไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง คือเพราะประโยชน์ของตนล่วงไป อย่าได้เป็นผู้ล่มจมเหมือนคนเรือแตก. เมื่อไม่ได้ที่พึ่งอาศัยในท่ามกลางสาคร ย่อมเป็นผู้จมลงฉะนั้น.
               บทว่า ตานิ อตฺตนิ ปสฺสติ ความว่า บุคคลผู้ประสบผลของกรรมเหล่านั้น ชื่อว่าเห็นกรรมในตน.

               พรหมทัตกุมารนั้นไหว้อาจารย์แล้วไปถึงนครพาราณสี แสดงศิลปะแก่พระบิดา แล้วดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบัติ. ท้าวเธอมีปุโรหิตชื่อว่าปิงคิยะ เป็นคนกระด้างหยาบช้า เพราะความโลภในยศ เขาจึงคิดว่า ถ้ากระไร เรายุให้พระราชานี้จับพระราชาทุกองค์ในชมพูทวีปทั้งสิ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ พระราชานี้จักเป็นพระราชาแต่พระองค์เดียว แม้เราก็จะได้เป็นปุโรหิตแต่ผู้เดียว.
               ปุโรหิตนั้นทำให้พระราชานั้นเชื่อถือถ้อยคำของตน.
               พระราชาจึงยกกองทัพใหญ่ออก ล้อมนครของพระราชาองค์หนึ่งแล้วจับพระราชาองค์นั้น. พระราชานั้นยึดราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ด้วยอุบายนี้นั่นแหละ ห้อมล้อมด้วยพระราชา ๑,๐๐๐ องค์ ได้ไปด้วยหวังว่า จักยึดราชสมบัติในนครตักกสิลา.
               พระโพธิสัตว์ปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมพระนคร กระทำให้เป็นนครที่คนอื่นกำจัดไม่ได้.
               ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีให้วงม่านที่โคนต้นไทรใหญ่ ริมแม่น้ำคงคา แล้วทำให้เพดานข้างบนลาดที่บรรทมแล้วพักอยู่. ท้าวเธอแม้จะพาเอาพระราชา ๑,๐๐๐ องค์ ในพื้นชมพูทวีปออกรบอยู่ ก็ไม่อาจยึดเมืองตักกสิลาได้ จึงตรัสถามปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์ พวกเรามาพร้อมกับพระราชาเหล่านี้ ไม่สามารถยึดเมืองตักกสิลาได้ ควรจะทำอย่างไรดี.
               ปุโรหิตกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เราทั้งหลายจงควักนัยน์ตาของพระราชา ๑,๐๐๐ พระองค์แล้วปลงพระชนม์เสีย ผ่าท้องถือเอาเนื้ออร่อย ๕ ชนิด กระทำพลีกรรมแก่เทวดาผู้บังเกิดอยู่ที่ต้นไทรนี้ แล้ววงรอบต้นไทรด้วยเกลียวพระอันตะแล้วเจิมด้วยโลหิต ชัยชนะจักมีแก่พวกเราอย่างเร็วพลันทีเดียว ด้วยอุบายอย่างนี้.
               พระราชาทรงรับว่า ดีละ แล้ววางคนปล้ำผู้มีกำลังมากไว้ภายในม่าน ให้เรียกพระราชามาทีละองค์ แล้วให้ทำให้สลบด้วยการบีบรัด แล้วควักเอานัยน์ตาแล้วฆ่าให้ตาย เอาแต่เนื้อไว้ ลอยซากศพไปในแม่น้ำคงคา ให้ทำพลีกรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ให้ตีกลองบวงสรวงแล้วเสด็จไปรบ.
               ครั้งนั้น ยักษ์ตนหนึ่งชื่ออัชชิสกตะ มาควักพระเนตรเบื้องขวาของพระเจ้าพาราณสีนั้นแล้วก็ไป. เวทนาใหญ่หลวงเกิดขึ้นแล้ว ท้าวเธอได้รับเวทนา จึงเสด็จไปบรรทมหงายบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ ณ โคนต้นไทร. ขณะนั้น แร้งตัวหนึ่งคาบเอากระดูกชิ้นหนึ่งซึ่งมีปลายคมกริบมาจับอยู่บนยอดไม้ กินเนื้อหมดแล้วทิ้งกระดูกลงมา ปลายกระดูกลอยมาตกลงที่พระเนตรซ้ายของพระราชา ทำพระเนตรทั้งสองแตกไป เหมือนหลาวเหล็กแทงฉะนั้น.
               ขณะนั้น ท้าวเธอจึงกำหนดได้ถึงถ้อยคำของพระโพธิสัตว์ พระองค์จึงทรงบ่นเพ้อว่า อาจารย์ของเรากล่าวไว้ว่า สัตว์เหล่านี้ย่อมเสวยวิบากอันสมควรแก่กรรม เหมือนบุคคลเสวยผลอันสมควรแก่พืช ดังนี้ เห็นจะเป็นเหตุนี้จึงกล่าวไว้ แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
               ปาจารย์ได้กล่าวคำใดไว้ว่า ท่านอย่าได้ทำบาปกรรม ที่ทำแล้วจะทำให้เดือดร้อนในภายหลัง คำนั้นเป็นคำสอนของอาจารย์เรา.
               ปิงคิยปุโรหิตนั้นมาบ่นเพ้อแสดงต้นไทรนี้ว่า มีกิ่งแผ่ไพศาล มีเดชานุภาพสามารถให้ความชนะได้ เราได้ให้ฆ่ากษัตริย์ผู้ประกอบด้วยราชอลังการ ลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์แดง ถึงพันพระองค์ ที่ต้นไม้ใด บัดนี้ ต้นไม้นั้นไม่อาจทำการป้องกันอะไรแก่เราได้ ความทุกข์อันนั้นแหละกลับมาสนองเวรแล้ว.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ ตทาจริยวโจ ความว่า คำนี้นั้นเป็นคำของอาจารย์. พระเจ้าพาราณสีตรัสเรียกอาจารย์นั้นโดยโคตรว่า ปาจารย์.
               บทว่า ปจฺฉา กตํ ความว่า อาจารย์ได้ให้โอวาทว่า บาปใดที่เธอกระทำไว้ บาปนั้นจะทำเจ้าให้เดือดร้อนลำบากในภายหลัง เธออย่าทำบาปนั้นเลย ดังนี้ แต่เราไม่ได้กระทำตามคำของอาจารย์นั้น. ปิงคิยปุโรหิตบ่นเพ้อแสดงต้นไทรว่า อยเมว แปลว่า ต้นนี้แหละ.
               บทว่า เวนสาโข ได้แก่ มีกิ่งแผ่กว้างไป.
               บทว่า ยมฺหิ จ ฆาตฺยึ ความว่า ให้ปลงพระชนม์กษัตริย์ ๑,๐๐๐ องค์ที่ต้นไม้ใด.
               บทว่า อลงฺกเต จนฺทนสารลิตฺเต นี้ ท่านแสดงว่า เราให้ฆ่ากษัตริย์เหล่านั้นผู้ประดับด้วยราชอลังการลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์แดง ที่ต้นไม้ใด ต้นไม้นั้นคือต้นนี้ บัดนี้ ไม่สามารถกระทำการต้านทานอะไรแก่เรา.
               บทว่า ตเมว ทุกฺขํ ความว่า พระเจ้าพาราณสีทรงร่ำไรว่า ทุกข์อันเกิดจากควักนัยน์ตาของคนอื่นอันใด ที่เรากระทำแล้วทุกข์นี้กลับมาถึงเราเหมือนอย่างนั้นแหละ บัดนี้ คำของอาจารย์เราถึงที่สุดแล้ว.

               ท้าวเธอเมื่อทรงคร่ำครวญอยู่อย่างนี้แล ทรงหวนระลึกถึงพระอัครมเหสี จึงกล่าวคาถาว่า :-
               พระนางอุพพรีอัครมเหสีของเรา มีพระฉวีวรรณดังทองคำ ลูบไล้ทาตัวด้วยแก่นจันทน์แดง งดงามเจริญตา ยามเมื่อเยื้องกราย เหมือนกิ่งไม้สิงคุ ยามเมื่อต้องลมอ่อนๆ ไหวสะเทือนอยู่ฉะนั้น เรามิได้เห็นพระนางอุพพรีแล้ว เพราะตาบอด จักตายแน่ การที่เราไม่ได้เห็นพระนางอุพพรีนั้นจักเป็นทุกข์ยิ่งกว่ามรณทุกข์นี้เสียอีก.


               คำที่เป็นคาถานั้นมีความว่า
               พระนางอุพพรีอัครมเหสีเรามีพระฉวีวรรณงามดังทองคำ ยามเมื่อกระทำอิตถีวิลาศกิริยาเยื้องกรายของหญิงย่อมงดงาม เหมือนกิ่งไม้สิงคุที่ชี้ไปตรงๆ ยามถูกลมอ่อนรำเพยพัดไหวโอนงามอยู่ฉะนั้น. บัดนี้ เราไม่ได้เห็นพระนางอุพพรีนั้น เพราะนัยน์ตาทั้งสองข้างแตกไปแล้ว จักต้องตาย การที่เรามองไม่เห็นพระนางอุพพรีนั้น จักเป็นทุกข์ยิ่งกว่ามรณทุกข์นี้.

               พระเจ้าพาราณสีนั้นทรงบ่นเพ้ออยู่อย่างนี้ ตายแล้วบังเกิดในนรก. ปุโรหิตผู้อยากได้ความเป็นใหญ่ไม่อาจทำการต้านทานพระเจ้าพาราณสีนั้น ไม่อาจทำความเป็นใหญ่แก่ตน. เมื่อพระเจ้าพาราณสีนั้นพอสวรรคตเท่านั้น พลนิกายต่างพากันแตกสานซ่านเซ็นไป.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น โพธิราชกุมาร
               ปิงคิยปุโรหิตได้เป็น พระเทวทัต
               อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาเวนสาขชาดกที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เวนสาขชาดก ว่าด้วย ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 707 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 712 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 717 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=3385&Z=3406
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=8821
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=8821
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๗  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :