บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า เมื่อภิกษุนั้นมรณภาพไปอย่างนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงโทษมิใช่คุณของภิกษุรูปนั้นในโรงธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุโน้นไม่รู้ประมาณท้องของตน บริโภคมากเกินไป ไม่สามารถทำอาหารให้ย่อยจึงมรณภาพ. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุนี้ก็ตายเพราะบริโภคมากเป็นปัจจัย ดังนี้แล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิ ได้ยินว่า นกแขกเต้าทั้งหลายมีกำลังบินเร็ว ด้วยเหตุนั้นในเวลานกแขกเต้าเหล่านั้นแก่ตัวลง จักษุนั่นแลจึงทุรพลไปก่อน ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น ให้บิดามารดาอยู่เฉพาะในรัง แล้วนำอาหารมาเลี้ยงดู. วันหนึ่ง ลูกนกแขกเต้านั้นไปยังที่หากินแล้วจับอยู่บนยอด ครั้นวันหนึ่ง ลูกนกแขกเต้าดื่มรสมะม่วงเป็นอันมากแล้วคาบเอามะม่วงสุกมาเพื่อ เมื่อลูกนกแขกเต้านั้นไม่มาตามเวลาที่เคยมา พระโพธิสัตว์ก็รู้ได้ว่า เห็นจะตก พระศาสดา ครั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกแล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :- ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น รู้ประมาณในการบริโภคอยู่เพียงใด ก็ได้สืบอายุ และได้เลี้ยงดูบิดามารดาอยู่เพียงนั้น. อนึ่ง ในกาลใด ลูกนกแขกเต้านั้นกลืนกินโภชนะมากเกินไป ในกาลนั้น ก็ได้ชื่อว่าไม่รู้จักประมาณในการบริโภค จึงจมลงในมหาสมุทรนั่นเอง. เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้รู้ประมาณ ความไม่หลงติดในโภชนะเป็นความดี ด้วยว่า บุคคลผู้ไม่รู้จักประมาณ ย่อมจมลงในอบายทั้ง ๔ บุคคลผู้รู้จักประมาณเท่านั้น ย่อมไม่จมลงในอบาย ๔. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาว โส ความว่า นกนั้นได้รู้ประมาณในโภชนะอยู่เพียงใด. บทว่า ตาว อทฺธานมาปาทิ ความว่า ให้ถึงความเป็นอยู่นาน คือได้อายุ ตลอดกาลเพียงนั้น. บทว่า มาตรญฺจ นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนา. อธิบายว่า ได้เลี้ยงดูบิดามารดา. บทว่า ยโต จ โข แปลว่า ก็ในกาลใดแล. บทว่า โภชนํ อชฺฌวาหริ ความว่า กลืนกินรสมะม่วง. บทว่า ตโต แปลว่า ในกาลนั้น. บทว่า ตตฺเถว สํสีทิ ความว่า จมลง คือดำลงในสมุทรนั้นนั่นแหละ ถึงความเป็นอาหารของปลา. บทว่า ตสฺมา มตฺตญฺญุตา สาธุ ความว่า เพราะเหตุที่นกแขกเต้าไม่รู้ประมาณในโภชนะ จึง อีกอย่างหนึ่ง แม้ความเป็นผู้รู้ประมาณก็เป็นความดี ซึ่งท่านพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้วกลืนกินอาหาร มิใช่เพื่อเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา ฯลฯ ด้วยการอยู่อย่างผาสุก. และว่า :- ภิกษุบริโภคของสดหรือของแห้ง ไม่ควรให้อิ่มเกินไป เป็นผู้มีท้องพร่อง รู้จักประมาณ เวทนาของภิกษุนั้น ผู้เป็นมนุษย์ มีสติอยู่ทุกเวลา ผู้ได้โภชนะแล้วรู้จักประมาณ ย่อมเป็นเวทนาที่เบา อาหารที่บริโภคย่อมค่อยๆ ย่อยไป เลี้ยงอายุ แม้ความเป็นผู้ไม่ติดก็เป็นความดี ซึ่งท่านพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า :- บุคคลไม่ติดรสย่อมกลืนกินอาหาร เพื่อต้องการยังอัตภาพให้เป็นไป เหมือนบริโภค แต่ในบาลีท่านเขียนว่า อคิทฺธิตา ปาฐะในอรรถกถานี้ไพเราะกว่าพระบาลีนั้น. บทว่า อมตฺตญฺญู หิ สีทนฺติ ความว่า ด้วยว่าบุคคลผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ กระทำกรรมอันลามกด้วยอำนาจความอยากในรส ย่อมจมลงในอบายทั้ง ๔. บทว่า มตฺตญฺญูว น สีทเร ความว่า ส่วนชนเหล่าใดย่อมรู้จักประมาณในโภชนะ ชนเหล่านั้นย่อมไม่จมลงทั้งในทิฏฐธรรม ทั้งในสัมปรายภพ. พระศาสดา ครั้นทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ๔ แล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจ ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันบ้าง พระสกทา ภิกษุผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะได้เป็น ลูกของพระยานกแขกเต้า ในกาลนั้น ส่วนพระยานกแขกเต้า คือ เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาสุกชาดกที่ ๕ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สุกชาดก จบ. |