ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2124 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2142 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2153 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา สัตติคุมพชาดก
ว่าด้วย พี่น้องก็ยังต่างใจกัน

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระคทายวิหาร ใกล้ถ้ำมัททกุจฉิ ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า มิคลุทฺโท มหาราช ดังนี้.
               ความย่อว่า เมื่อพระเทวทัตกลิ้งศิลา สะเก็ดแตกมากระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็เกิดทุกขเวทนาเป็นกำลัง ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมากมาประชุมกันเพื่อเฝ้าเยี่ยมพระตถาคตเจ้า
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นพุทธบริษัทมาประชุมกันแล้ว มีพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะนี้คับแคบนัก จักมีการประชุมใหญ่ พวกเธอจงนำเราขึ้นคานหามไปที่ถ้ำมัททกุจฉิเถิด. ภิกษุทั้งหลายพากันกระทำตามพุทธดำรัส. หมอชีวกโกมารภัจได้จัดการรักษาพระบาทของพระตถาคตเจ้าให้ผาสุก.
               ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในสำนักของพระศาสดาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัต แม้ตนเองก็ลามก แม้บริษัทของเธอก็ลามก พระเทวทัตนั้นเป็นคนลามก มีบริวารลามกอยู่อย่างนี้.
               พระศาสดาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนาอะไรกัน? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็เป็นคนลามก มีบริวารลามกเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า ปัญจาละ เสวยราชสมบัติอยู่ในอุตตรปัญจาลนคร
               กาลนั้น พระมหาสัตว์บังเกิดเป็นลูกพญานกแขกเต้าตัวหนึ่ง สองตัวพี่น้องอยู่ที่สิมพลีวันใกล้สานุบรรพตแห่งหนึ่งในแนวป่า. ก็ในด้านเหนือของภูเขาลูกนั้น มีบ้านโจรเป็นที่อยู่อาศัยของโจร ๕๐๐ ในด้านใต้เป็นอาศรมสถานที่อยู่ของหมู่ฤาษี ๕๐๐ ตน.
               ในกาลเมื่อสุวโปดกสองพี่น้องนั้นกำลังสอนบิน บังเกิดลมหัวด้วนขึ้น สุวโปดกตัวหนึ่งถูกลมพัดไปตกระหว่างอาวุธของพวกโจรในโจรคาม เพราะสุวโปดกตกลงในระหว่างกองอาวุธ พวกโจรจับได้จึงตั้งชื่อว่า สัตติคุมพะ.
               ส่วนสุวโปดกตัวหนึ่งลมพัดไปตกระหว่างกองดอกไม้ที่เนินทรายใกล้อาศรมพระฤาษี เพราะสุวโปดกนั้นตกลงในระหว่างกองดอกไม้ พระฤาษีทั้งหลายจึงพากันตั้งชื่อนกนั้นว่า ปุปฺผกะ.
               สัตติคุมพสุวโปดกเจริญเติบโตในระหว่างพวกโจร บุปผกสุวโปดกเจริญเติบโตในระหว่างพระฤาษีทั้งหลาย.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชประดับตกแต่งองค์ด้วยเครื่องสรรพาลังการ เสด็จทรงรถพระที่นั่งอันประเสริฐ เสด็จสู่ชายป่าอันเป็นรมณียสถานมีดอกไม้ผลไม้ผลิดอกออกผลงามดี ณ ที่ใกล้พระนคร โดยทรงประสงค์จะล่ามฤค พร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมาก แล้วทรงประกาศว่า มฤคหนีออกได้โดยด้านหน้าที่ของผู้ใด อาชญาจะพึงมีแก่ผู้นั้น แล้วเสด็จลงจากราชรถ ทรงธนูศรประทับยืนซ่อนพระองค์อยู่ในซุ้มที่ราชบุรุษจัดทำถวาย.
               เมื่อพวกราชบุรุษพากันตีเคาะที่ละเมาะพุ่มไม้ เพื่อที่จะให้มฤคทั้งหลายลุกขึ้น เนื้อทรายตัวหนึ่งลุกขึ้น แลดูทางที่จะไป เห็นสถานที่ด้านพระราชาประทับยืนอยู่สงัดเงียบ จึงบ่ายหน้าตรงทิศนั้นเผ่นหนีไป. อำมาตย์ทั้งหลายร้องถามกันว่า มฤคหนีไปทางด้านหน้าที่ของใคร รู้ว่าทางด้านหน้าที่ของพระราชาแล้วพากันทำการยิ้มเยาะพระราชา.
               พระเจ้าปัญจาลราชทรงกลั้นการเย้ยหยันของเหล่าอำมาตย์ไม่ได้ ด้วยอัสมิมานะ เสด็จขึ้นสู่รถพระที่นั่งตรัสสั่งว่า เราจักจับมฤคนั้นให้ได้เดี๋ยวนี้ แล้วตรัสสั่งบังคับนายสารถีว่า จงขับรถไปโดยเร็ว เสด็จไปตามทางที่มฤคหนีไป. ราชบริษัทไม่สามารถจะติดตามรถพระที่นั่งซึ่งกำลังวิ่งไปโดยเร็วได้
               พระราชาสองคนกับนายสารถีเสด็จไปจนถึงเวลาเที่ยงวัน ไม่พบเนื้อจึงเสด็จกลับมา ทอดพระเนตรเห็นลำธารอันเป็นรมณียสถานใกล้โจรคามนั้น แล้วเสด็จลงจากราชรถทรงเสวยแล้วเสด็จขึ้น. ลำดับนั้น นายสารถีจึงเลิกเครื่องปูรถ แต่งให้เป็นที่บรรทมที่ภายใต้ร่มไม้. พระราชาทรงบรรทม ณ ที่นั้น ฝ่ายนายสารถีก็นั่งถวายงานนวดพระบาทยุคลของพระราชาอยู่. พระราชาทรงบรรทมหลับๆ ตื่นๆ ในระยะติดๆ กัน.
               ฝ่ายพวกโจรชาวโจรคามเข้าป่าเพื่อถวายอารักขาพระราชากันหมด.
               โจรคามวาสิโน โจราปิ รญฺโญ อารกฺขณตฺถาย อรญฺญเมว ปวิสึสุ ฯ.
               ในโคจรคามจึงเหลืออยู่แต่สัตติคุมสุวโปดก กับบุรุษพ่อครัวชื่อปติโกลุมพะ สองคนเท่านั้น. ขณะนั้น สัตติคุมพสุวโปดกบินออกจากบ้านไปเห็นพระราชา จึงคิดว่า เราจักฆ่าพระราชาผู้กำลังหลับนี้เสีย เก็บเอาเครื่องประดับไปเสีย แล้วบินกลับไปยังสำนักของนายปติโกลุมพะ แจ้งเหตุนั้นให้ทราบ.
               พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๕ คาถาความว่า
               พระมหาราชาผู้เป็นจอมแห่งชนชาวปัญจาลรัฐ เป็นดุจนายพรานเนื้อ เสด็จออกมาสู่ป่าพร้อมด้วยเสนา พลัดจากหมู่เสนาไป.
               ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นกระท่อมที่เขาทำไว้เป็นที่อาศัยของโจรทั้งหลายในป่านั้น สุวโปดกออกจากกระท่อมนั้นไปแล้ว กลับมาพูดแข็งขันกับพ่อครัวว่า มีบุรุษหนุ่มน้อย มีรถม้าเป็นพาหนะ มีกุณฑลเกลี้ยงเกลาดี มีกรอบหน้าแดง งดงามเหมือนพระอาทิตย์ ส่องแสงสว่างในกลางวัน ฉะนั้น.
               เมื่อถึงเที่ยงวัน พระราชากำลังบรรทมหลับพร้อมกับนายสารถี (สุวโปดกป่าวร้องว่า) เอาซิพวกเรา จงรีบไปชิงเอาทรัพย์ทั้งหมดของท้าวเธอเสีย เวลานี้ก็เงียบสงัดดุจกลางคืน พระราชากำลังบรรทมหลับพร้อมกับนายสารถี พวกเราจงไปแย่งเอาผ้าและกุณฑลแก้วมณี แล้วฆ่าเสียเอากิ่งไม้กลบไว้.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคลุทฺโท ความว่า พระเจ้าปัญจาลราชมีพระอาการดุจนายพรานเนื้อ เพราะทรงแสวงหาเนื้อเหมือนนายพราน. บทว่า โอคโณ ความว่า ทรงล้าหลัง พลัดไปจากหมู่เสนา.
               บทว่า ตกฺการานํ กุฏีกตํ ความว่า พระราชานั้นได้ทอดพระเนตรเห็นหมู่บ้าน ซึ่งเขาทำไว้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกโจรในป่านั้น. บทว่า ตสฺส ความว่า ออกจากกระท่อมของโจรนั้น. บทว่า ลุทฺทานิ ภาสติ ความว่า นกสุวโปดกกล่าวถ้อยคำหยาบคายกับพ่อครัวชื่อปติโกลุมพะนั้น.
               บทว่า สมฺปนฺนวาหโน แปลว่า มีม้าเป็นพาหนะอันสมบูรณ์.
               บทว่า โลหิตุณฺหีโส ความว่า ถึงพร้อมแล้วด้วยกรอบหน้าอันแดง งดงาม. บทว่า สมฺปติเก ได้แก่ บัดเดี๋ยวนี้ คือบัดนี้ ได้แก่ ในเวลาที่พระอาทิตย์ตั้งอยู่ในท่ามกลาง. บทว่า สหสา ความว่า สุวโปดกกล่าวว่า พวกเรามาช่วยกันทำอาการข่มขู่ แย่งชิงเอาโดยเร็วพลัน.
               บทว่า นิสฺสิเวปิ รโหทานิ ความว่า แม้บัดนี้เป็นที่ลับเหมือนค่ำคืน คือ นกสุวโปดกกล่าวคำนี้ว่า ในเวลาค่ำคืน คือในสมัยกึ่งรัตติกาล มนุษย์ทั้งหลายเล่นหัวอยู่ย่อมพากันนอน ย่อมชื่อว่าเป็นที่ลับได้ฉันใด บัดนี้ คือในเวลาที่พระอาทิตย์ตั้งอยู่ในท่ามกลางเห็นปานนี้ ย่อมเป็นฉันนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า หนฺตฺวาน ความว่า ครั้นพวกเราปลงพระชนม์พระราชา ถือเอาผ้าผ่อนอาภรณ์พรรณแล้ว แต่นั้นจึงฉุดพระบาทท้าวเธอลากมา เอากิ่งไม้ปิดบังหมกไว้ในที่ส่วนข้างหนึ่ง.

               สัตติคุมพสุวโปดกนั้น ครั้นบินออกไปโดยเร็วครั้งหนึ่ง แล้วก็บินกลับไปยังสำนักของนายปติโกลุมพะ อีกครั้งหนึ่งด้วยประการฉะนี้. พ่อครัวปติโกลุมพะได้ฟังถ้อยคำของสุวโปดกนั้นแล้ว จึงออกไปดูรู้ว่าเป็นพระราชาแล้ว ก็สะดุ้งตกใจกลัว
               กล่าวคาถา ความว่า
               ดูก่อนสุวโปดกสัตติคุมพะ เจ้าเป็นบ้าไปกระมังจึงได้พูดอย่างนั้น เพราะว่า พระราชาทั้งหลายถึงจะเสด็จมาแต่ไกล ก็ย่อมทรงเดชานุภาพเหมือนดังไฟสว่างไสว ฉะนั้น.


               ลำดับนั้น สุวโปดกได้กล่าวตอบพ่อครัวปติโกลุมพะ โดยวจนประพันธ์คาถา ความว่า
               ดูก่อนปติโกลุมพะ ท่านเมาแล้วย่อมเก่งกาจมากมิใช่หรือ เมื่อมารดาของเราเปลือยกายอยู่ ไยท่านจึงเกลียดการโจรกรรมเล่า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อถ ตฺวํ มีความเท่ากับ นนุ ตฺวํ.
               บทว่า มตฺโต ความว่า เมื่อก่อนท่านได้ดื่มสุราเหลือเดนของพวกโจรเมาแล้ว ย่อมเก่งกาจคุกคามมากมิใช่หรือ? สุวโปดกกล่าว.
               บทว่า ภรรยา หมายเอาภรรยาหัวหน้าโจร. ได้ยินว่า ครั้งนั้นภรรยาหัวหน้าโจรนั้น นุ่งผ้ากรองด้วยกิ่งไม้เที่ยวอยู่.
               บทว่า วิชิคุจฺฉเส ความว่า เมื่อมารดาของเราเปลือยกายอยู่ บัดนี้ไยท่านจึงรังเกียจการโจรกรรม คือไม่อยากทำโจรกรรมเล่า.

               พระเจ้าปัญจาลราชทรงตื่นพระบรรทมได้ทรงสดับคำของสุวโปดกกล่าวกับพ่อครัวโดยภาษามนุษย์ ทรงดำริว่าสถานที่นี้มีภัยเฉพาะหน้า เมื่อจะทรงปลุกนายสารถีให้ลุกขึ้น จึงตรัสพระคาถา ความว่า
               ดูก่อนนายสารถีเพื่อนยาก จงลุกขึ้นเทียมรถ เราไม่ชอบใจนก เราจงไปอาศรมอื่นกันเถิด.


               ฝ่ายนายสารถีก็ลุกขึ้นโดยด่วน เทียมราชรถแล้ว กล่าวคาถากราบทูลว่า
               ข้าแต่มหาราชเจ้า ราชรถได้เทียมแล้ว และม้าราชพาหนะมีกำลังก็ได้จัดเทียมแล้ว เชิญพระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด จะได้เสด็จไปยังอาศรมอื่นพระเจ้าข้า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลวาหโน ได้แก่พาหนะที่มีกำลัง คือม้าที่สมบูรณ์ด้วยกำลังมาก.

               เมื่อพระเจ้าปัญจาลราชเสด็จขึ้นประทับบนราชรถเท่านั้น ม้าสินธพทั้งคู่ก็วิ่งไปโดยเร็วดังลมพัด. สัตติคุมพสุวโปดกเห็นราชรถกำลังวิ่งไปถึงความเคียดแค้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
               พวกโจรในอาศรมนี้พากันไปเสียที่ไหนหมดเล่า พระเจ้าปัญจาลราชนั้นหลุดพ้นไปได้ เพราะพวกโจรเหล่านั้นไม่เห็น ท่านทั้งหลายจงจับเกาทัณฑ์ หอกและโตมร พระเจ้าปัญจาลราชกำลังหนีไป ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้เลย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนุเม เท่ากับ กุหึ นุ อิเม แปลว่า โจรในอาศรมนี้ไปไหนเสียหมดเล่าหนอ. บทว่า อสฺมึ ความว่า ในอาศรมนี้. บทว่า ปริจาริกา ได้แก่ โจรทั้งหลาย.
               บทว่า อทสฺสนา ความว่า พระเจ้าปัญจาลราชหนีพ้นไปได้ เพราะพวกโจรเหล่านั้นไม่ได้เห็น. บทว่า เอส คจฺฉติ ความว่า พระเจ้าปัญจาลราชหนีรอดเงื้อมมือพวกโจรเหล่านี้ เสด็จไปได้ เพราะไม่เห็น.
               บทว่า ชีวิตํ ความว่า เมื่อพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าได้ปล่อยไปเสีย ทุกคนจงจับอาวุธ วิ่งตามไปจับพระราชาให้ได้.

               เมื่อสัตติคุมพสุวโปดกนั้นร้องพลางบินตามพระราชาไปอยู่อย่างนี้ พระราชาก็เสด็จถึงอาศรมของฤาษีทั้งหลาย ขณะนั้นหมู่ฤาษีไปแสวงหาผลาผล มีปุปผกสุวโปดกตัวเดียวเท่านั้นอยู่ในอาศรม. มันเห็นพระราชาแล้ว บินออกมารับเสด็จ ได้ทำการปฏิสันถาร.
               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๔ คาถาความว่า
               ขณะนั้น ปุปผกสุวโปดก ตัวมีจะงอยปากแดงงาม ยินดีต้อนรับพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้ทรงอิสรภาพ เสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ ของสิ่งใดมีอยู่ในอาศรมนี้ ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยของสิ่งนั้น
               ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง ผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้มีรสหวานเล็กน้อย ขอพระองค์จงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ ข้าแต่พระมหาราชา น้ำนี้เย็นนำมาแต่ซอกภูเขา ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มถ้าทรงปรารถนา
               ฤาษีทั้งหลายในอาศรมนี้พากันไปป่าเพื่อแสวงหาผลาผล เชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้นไปทรงเลือกหยิบเอาเองเถิด เพราะข้าพระองค์ไม่มีมือจะทูลถวายได้.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏินนฺทิตฺถ ความว่า พอเห็นพระราชาแล้ว ก็ชื่นชมยินดี.
               บทว่า โลหิตตุณฺฑโก แปลว่า มีจะงอยปากแดง คือถึงส่วนแห่งความงาม. บทว่า มธุเก ได้แก่ ผลาผลที่มีรสหวาน.
               บทว่า กาสมาริโย ความว่า ขอพระองค์โปรดเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเม่า ซึ่งมีชื่ออย่างนี้ๆ. บทว่า ตโต ปิว ความว่า โปรดทรงดื่มน้ำ จากโรงน้ำดื่มนั้นเถิด.
               บทว่า เย อสฺมึ ปริจาริกา ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระฤาษี เหล่าใดเที่ยวไปอยู่ในอาศรมนี้ พระฤาษีเหล่านั้นไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผลาผล. บทว่า คณฺหวโห ความว่า พระองค์โปรดหยิบเอาผลาผลน้อยใหญ่. บทว่า ทาตเว แปลว่า เพื่อจัดถวาย.

               พระราชาทรงเลื่อมใสในการปฏิสันถารของปุปผกสุวโปดก
               เมื่อจะทรงทำการชมเชย จึงตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
               นกแขกเต้าตัวนี้เจริญดีหนอ ประกอบด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง ส่วนนกแขกเต้าตัวโน้นพูดคำหยาบคายว่า จงจับมัดพระราชานี้ฆ่าเสียอย่าให้รอดชีวิตไปได้เลย เมื่อนกแขกเต้าตัวนั้นรำพันเพ้ออยู่อย่างนี้ เราได้มาถึงอาศรมนี้โดยสวัสดี.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิตโร ได้แก่ นกแขกเต้าในบ้านโจร.
               บทว่า อิจฺเจวํ ความว่า ส่วนเรา เมื่อนกแขกเต้าตัวนั้นเพ้อรำพันอยู่อย่างนี้ มาถึงอาศรมนี้แล้ว โดยสวัสดี.

               ปุปผกสุวโปดกฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
               ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ได้เจริญเติบโตที่ต้นไม้เดียวกัน แต่ต่างพลัดกันไปอยู่คนละเขตแดน สัตติคุมพะเจริญอยู่ในสำนักของพวกโจร ส่วนข้าพระองค์เจริญอยู่ในสำนักของฤาษีในอาศรมนี้ สัตติคุมพะนั้นเข้าอยู่ในสำนักของอสัตบุรุษ ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของสัตบุรุษ ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสองจึงต่างกันโดยธรรม.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาตโรสฺมา ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า สัตติคุมพะนั้นกับข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน. บทว่า โจรานํ ความว่า สัตติคุมพะนั้นเจริญในสำนักพวกโจร ข้าพระพุทธเจ้าเจริญในสำนักพวกฤาษี. บทว่า อสตํ โส สตํ อหํ ความว่า สัตติคุมพะเข้าอยู่สำนักอสัตบุรุษผู้ทุศีล ข้าพระพุทธเจ้าเข้าอยู่สำนักสัตบุรุษผู้มีศีล.
               บทว่า เตน ธมฺเมน โน วินา ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โจรทั้งหลายแนะนำสั่งสอนสัตติคุมพะนั้นด้วยธรรมของโจร และกิริยาโจร พระฤาษีทั้งหลายแนะนำสั่งสอนข้าพระพุทธเจ้าด้วยธรรมของฤาษี และอาจาระมรรยาทของฤาษี เพราะเหตุนั้น แม้สัตติคุมพะนั้นจึงแตกต่างจากข้าพระพุทธเจ้าโดยโจรธรรมนั้น ส่วนข้าพระพุทธเจ้าก็แตกต่างจากเขาโดยอิสิธรรม.

               บัดนี้ ปุปผกสุวโปดก เมื่อจะจำแนกธรรมนั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
               การฆ่าก็ดี การจองจำก็ดี การหลอกลวงด้วยของปลอมก็ดี การหลอกลวงด้วยอาการตรงๆ ก็ดี การปล้นฆ่าชาวบ้านก็ดี การกระทำกรรมอันแสนสาหัสก็ดี มีอยู่ในที่ใด สัตติคุมพะนั้นย่อมศึกษาสิ่งเหล่านั้นในที่นั้น
               ข้าแต่พระองค์ผู้ภารตวงศ์ ในอาศรมของฤาษีนี้มีแต่สัจจธรรม ความไม่เบียดเบียน ความสำรวมและความฝึกอินทรีย์ ข้าพระองค์เป็นผู้เจริญแล้วบนตักของฤาษีทั้งหลายผู้มีปกติให้อาสนะและน้ำ.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกตี ได้แก่ การหลอกลวงด้วยของปลอม.
               บทว่า วญฺจนานิ ได้แก่ การหลอกลวงกันตรงๆ (ซึ่งๆ หน้า).
               บทว่า อาโลปา ได้แก่ การปล้นฆ่าชาวบ้านในเวลากลางวัน.
               บทว่า สหสาการา ได้แก่ การเข้าไปสู่เรือนแล้วจับเจ้าทรัพย์ ทำให้บอบช้ำแสนสาหัส โดยคุกคามขู่เข็ญด้วยความตาย.
               บทว่า สจฺจํ ได้แก่ สภาวธรรม. บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สุจริตธรรม.
               บทว่า อหึสา ได้แก่ ความไม่เบียดเบียน มีเมตตาธรรมเป็นบุรพภาค.
               บทว่า สํยโม ได้แก่ ความสำรวมระวังในศีล. บทว่า ทโม ได้แก่ การทรมานอินทรีย์.
               บทว่า อาสนูทกทายีนํ ความว่า แห่งพระฤาษีทั้งหลายผู้มีปกติ ให้อาสนะและอุทกวารีแก่ชนทั้งหลายผู้มาถึงเฉพาะหน้า. ปุปผกสุวโปดกเรียกพระราชาว่า "ภารตา".

               บัดนี้ เมื่อปุปผกสุวโปดก จะแสดงธรรมแก่พระราชาสืบไป ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
               ข้าแต่พระราชา บุคคลคบคนใดๆ เป็นสัตบุรุษ อสัตบุรุษ มีศีล หรือไม่มีศีล บุคคลนั้นย่อมไปสู่อำนาจของบุคคลนั้นนั่นแล
               บุคคลคบคนเช่นใดเป็นมิตร หรือเข้าไปซ่องเสพคนเช่นใด ก็ย่อมเป็นเช่นคนนั้น เพราะการอยู่ร่วมกันเป็นเช่นนั้น
               อาจารย์คบอันเตวาสิกย่อมทำอันเตวาสิกผู้ยังไม่แปดเปื้อนให้แปดเปื้อนได้
               อาจารย์ถูกอันเตวาสิกพาแปดเปื้อนแล้วย่อมพาอาจารย์อื่นให้เปื้อนอีก
               เหมือนลูกศรที่เปื้อนยาพิษแล้ว ย่อมทำแล่งลูกศรให้เปื้อน ฉะนั้น
               นักปราชญ์ไม่พึงมีสหายลามกเลยทีเดียว เพราะกลัวแต่การแปดเปื้อนด้วยบาปธรรม นรชนใดห่อปลาเน่าด้วยใบหญ้าคา แม้ใบหญ้าคาของนรชนนั้นก็ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไปฉันใด การเข้าไปเสพคนพาลก็ฉันนั้นเหมือนกัน
               นรชนใดห่อกฤษณาด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนนั้นก็ย่อมหอมฟุ้งไปฉันใด การเข้าไปเสพนักปราชญ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของตน ดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่ควรเข้าไปเสพอสัตบุรุษ ควรเสพแต่สัตบุรุษ ด้วยว่า อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมพาให้ถึงสุคติ.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ วา ยทิ วา อสํ ความว่า จะเป็นสัตบุรุษ หรืออสัตบุรุษก็ตาม.
               บทว่า เสวมาโน เสวมานํ ความว่า เมื่ออาจารย์คบหาอันเตวาสิกย่อมทำอันเตวาสิกผู้ที่ตนคบ.
               บทว่า สมฺผุฏฺโฐ ความว่า อาจารย์ถูกอันเตวาสิกพาแปดเปื้อนแล้ว.
               บทว่า สมฺผุสํ ปรํ ความว่า อันเตวาสิกไปแตะต้องอาจารย์คนอื่นเข้า.
               บทว่า อลิตฺตํ ความว่า อาจารย์นั้นย่อมทำอันเตวาสิกนั้น ผู้ยังไม่แปดเปื้อนด้วยบาปธรรมให้แปดเปื้อนได้ เหมือนลูกศรที่เปื้อนยาพิษแล้วย่อมทำแล่งลูกศรที่เหลือให้แปดเปื้อนฉะนั้น.
               บทว่า เอวํ พาลูปเสวนา ความว่า แท้จริง ผู้ชอบคบหาคนพาล แม้จะไม่ได้กระทำความชั่วเลย ย่อมได้รับคำติเตียน และความเสื่อมเสียชื่อเสียง เหมือนห่อปลาเน่าไว้ด้วยใบหญ้าคา (ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป) ฉะนั้น.
               บทว่า ธีรูปเสวนา ความว่า บุคคลผู้คบหาธีรชนก็ย่อมเป็นเหมือนใบไม้อันห่อคันธชาติ มีกฤษณาเป็นต้นฉะนั้น ถึงยังไม่อาจเป็นบัณฑิตได้ ก็ยังได้รับเกียรติคุณว่าคบกัลยาณมิตร.
               บทว่า ปตฺตปูฏสฺเสว ความว่า เหมือนดังใบไม้ที่ห่อของมีกลิ่นเหม็นและกลิ่นหอมฉะนั้น. บทว่า สมฺปากมตฺตโน ความว่า บัณฑิตรู้ความที่ญาณของตนแก่กล้า คือสุกงอมแล้วด้วยอำนาจการเกี่ยวข้องกับกัลยาณมิตร.
               บทว่า ปาเปนฺติ สุคตึ ความว่า ปุปผกสุวโปดกนั้นยังเทศนาให้ถึงอนุสนธิตามลำดับว่า สัตบุรุษคือสัมมาทิฏฐิบุคคลทั้งหลายย่อมยังหมู่สัตว์ที่อาศัยตน ให้ถึงสวรรค์อย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้.

               พระเจ้าปัญจาลราชทรงเลื่อมใสในธรรมกถาของปุปผกสุวโปดกนั้น.
               ฝ่ายหมู่พระฤาษีกลับมาจากป่า พระราชาทรงนมัสการพระฤาษีทั้งหลายแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้าทั้งหลายจะอนุเคราะห์ข้าพเจ้า โปรดพากันไปอยู่ในสถานที่อยู่ของข้าพเจ้าเถิด ทรงรับปฏิญญาของฤาษีทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว เสด็จไปพระนคร ได้พระราชทานอภัยแก่สุวโปดกทั้งหลาย.
               ฝ่ายพวกฤาษีก็ได้พากันไปในพระนครนั้น พระราชาทรงนิมนต์หมู่พระฤาษีให้อยู่ในพระราชอุทยาน ทรงอุปัฏฐากบำรุงตลอดพระชนมายุแล้วเสด็จสู่สวรรคาลัย.
               ฝ่ายพระราชโอรสของท้าวเธอโปรดให้ยกเศวตฉัตรเสวยราชสมบัติสืบต่อมา ทรงปฏิบัติหมู่พระฤาษี เสมือนพระราชบิดา. ในราชสกุลต่อมานั้น ได้ยังทานให้เป็นไปแก่หมู่พระฤาษี ชั่วพระราชาเจ็ดพระองค์
               พระมหาสัตว์ เมื่ออยู่ในอรัญประเทศตามสมควรก็ไปตามยถากรรมของตน.

               พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อนพระเทวทัตก็เป็นคนลามก มีบริวารลามกเหมือนกันอย่างนี้
               แล้วทรงประชุมชาดกว่า
                         สัตติคุมพสุวโปดกในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต นี้
                         โจรทั้งหลายได้มาเป็น บริษัทบริวารของพระเทวทัต
                         พระราชาได้มาเป็น พระอานนท์
                         หมู่แห่งฤาษีได้มาเป็น พุทธบริษัท
                         ส่วนปุปผกสุวโปดกได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.


               จบอรรถกถาสัตติคุมพชาดกที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สัตติคุมพชาดก ว่าด้วย พี่น้องก็ยังต่างใจกัน จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2124 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2142 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2153 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=8466&Z=8533
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=41&A=1568
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=41&A=1568
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๗  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :