ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2142 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2153 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2164 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา ภัลลาติยชาดก
ว่าด้วย อายุของกินนร

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภพระนางมัลลิกาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้
               มีคำเริ่มต้นว่า ภลฺลาติโก นาม อโหสิ ราชา ดังนี้.
               ได้ยินว่า วันหนึ่งอาศัยเหตุที่พระนางมัลลิกาเทวีบรรทมร่วมกับพระเจ้าโกศลราช จึงเกิดวิวาทบาดหมางกันขึ้น พระราชาทรงกริ้วถึงกับไม่ทอดพระเนตรเหลียวแลพระนางมัลลิกาอัครมเหสี. พระนางจึงทรงพระดำริว่า พระตถาคตเจ้าจะไม่ทรงทราบเรื่องที่พระราชาทรงกริ้วเราหรือหนอ?
               พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น จึงวันรุ่งขึ้น แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ทรงดำเนินไปถึงประตูพระราชวัง.
               พระราชาจัดการรับเสด็จ ทรงรับบาตรแล้วทูลเสด็จสู่ปราสาท อาราธนาภิกษุสงฆ์ให้นั่งโดยลำดับแล้ว ถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอังคาสด้วยพระกระยาหารอันประณีต เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
               พระศาสดาตรัสถามว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหตุไรหนอ พระนางมัลลิกาบรมราชเทวีจึงทรงหายไปไม่ปรากฏ.
               เมื่อท้าวเธอทูลตอบว่า เพราะพระนางเพลิดเพลินมัวเมาในความสุขส่วนตัวเสีย
               จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในชาติก่อนพระองค์ทรงบังเกิดในกำเนิดกินนร พลัดจากนางกินรีไปหนึ่งราตรี ต้องเที่ยวปริเทวนาการอยู่ถึงเจ็ดร้อยปีมิใช่หรือ?
               พระราชาทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าภัลลาติกราชเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ทรงพระดำริว่า เราจักบริโภคเนื้อย่างสุกด้วยถ่าน จึงทรงมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์ แล้วทรงสะพักราชปัญจาวุธ แวดล้อมด้วยหมู่โกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้ว เสด็จออกจากพระนครไปยังหิมวันตประเทศ เสด็จถึงแม่น้ำน้อยแห่งหนึ่ง ไม่สามารถจะข้ามฝั่งน้ำไปได้ ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำที่มีกระแสไหลผ่านลงคงคาแห่งหนึ่ง จึงพระราชดำเนินเลียบไปตามกระแสน้ำนั้น ทรงฆ่ามฤคและสุกรเป็นต้นแล้ว เสวยเนื้อย่างสุกด้วยถ่านเพลิง พลางเสด็จขึ้นยังที่เนินอันสูง ณ บนที่ราบสูงนั้นมีแม่น้ำน้อยๆ เป็นที่น่ารื่นรมย์. ยามที่น้ำเต็มบริบูรณ์ นทีธารนั้นจะมีส่วนลึกประมาณราวนมไหลผ่านอยู่เสมอ.
               ในเวลาอื่นจะมีน้ำลดลงประมาณแค่แข้งและเข่า มีปลาและเต่าแหวกว่ายไปมาอยู่ดาษดื่น ที่ชายหาดมีทรายสะอาดขาวราวกับแผ่นเงิน สองฟากฝั่งมีพรรณหมู่ไม้สะพรั่ง สล้างไปด้วยดอกแลผลนานาชนิด หมู่วิหคและภมรมากมายที่หลงใหลในดอกผลและรส ต่างพากันมาคลึงเคล้า ทั้งหมู่พิพิธมฤคามฤคีเล่าก็เข้าเสพอาศัย ร่มเงาต้นไม้ก็เย็นสนิท.
               ที่ฝั่งน้ำเหมวดีนทีน่ารื่นรมย์อย่างนี้ มีกินนรสองตัวผัวเมียคลอเคลียจุมพิตซึ่งกันและกัน แล้วร้องไห้คร่ำครวญอยู่โดยนานัปการ.
               เมื่อพระราชาเสด็จขึ้นภูเขาคันธมาทน์ ทางฝั่งนทีนั้น ทอดพระเนตรเห็นกินนรเหล่านั้นแล้วทรงพระดำริว่า เพราะเหตุไรเล่าหนอ กินนรทั้งคู่นี้จึงมาปริเทวนาการอยู่อย่างนี้ เราจักถามดู จึงดีดพระหัตถ์ ขึงพระเนตรดูหมู่สุนัขโกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้วทั้งหลาย พากันวิ่งเข้าซ่อนยังพุ่มไม้ หมอบราบติดดินอยู่โดยสัญญานั้น.
               พระราชาทรงทราบว่าสุนัขเหล่านั้นแอบซ่อนแล้ว ทรงวางแล่งธนูและอาวุธอื่นพิงไว้กับต้นไม้ ไม่ทำเสียงพระบาทให้ดัง ค่อยๆ เสด็จไปยังสำนักกินนรเหล่านั้น แล้วตรัสถามกินนรทั้งสองว่า เพราะเหตุไร เจ้าทั้งสองจึงพากันร้องไห้.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา
               ความว่า
               ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติยะ ทรงละรัฐสีมา เสด็จประพาสป่า ล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรี มีพรรณดอกไม้ บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ.
               กินนรสองผัวเมียยืนคลึงเคล้ากันอยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บแล่งธนูเสีย แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้นตรัสว่า
               ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว ไยเล่าเจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่งเหมวดีนทีนี้ เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนร่างมนุษย์ ชนทั้งหลายในมนุษยโลกรู้จักเจ้าทั้งสองว่าเป็นอะไร.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาลูรสงฺฆํ ได้แก่ หมู่แห่งสุนัข.
               บทว่า หิมจฺจเย ความว่า ล่วงเดือนในฤดูเหมันต์ทั้งสี่ไปแล้ว.
               บทว่า เหมวตาย ความว่า ที่ฝั่งแห่งแม่น้ำเหมวดีนี้.

               กินนรได้สดับพระราชดำรัสถามแล้วก็นิ่งเสีย ฝ่ายนางกินรีจึงกราบทูลโต้ตอบพระราชาว่า
               ข้าแต่ท่านพรานผู้สหาย เราทั้งสองเป็นมฤค มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนทีซึ่งมีน้ำใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็นกินนร.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มลฺลคิรึ ความว่า ท่านนายพรานผู้สหาย เราทั้งหลายเที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มัลลคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที.
               ปาฐะเป็น มาลาคิรึ ดังนี้ก็มี.
               บทว่า นิภาสวณฺณา ความว่า มีเพศผิวพรรณ คือมีอวัยวะร่างกายปรากฏ(เหมือนมนุษย์).

               ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า
               เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย
               เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์เสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกัน สมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย.
               เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงเศร้าโศกอยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุกิจฺฉรูปํ ความว่า มีอาการเหมือนมีทุกข์เดือดร้อนเหลือขนาด.
               บทว่า อาลิงฺคิโต จาสิ ปิโย ปิยาย ความว่า ความที่เจ้ารักกันก็เป็นอันได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว. ปาฐะว่า อาลงฺคิโย จาสิ ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างเดียวกันนี้.
               บทว่า กิมิธา วเน ความว่า เพราะเหตุไร เจ้าทั้งสองจึงคลึงเคล้าจุมพิตกัน กล่าววาจาน่ารักต่อกัน ในระหว่างๆ แล้วพากันร้องไห้ในป่านี้อีกมิได้สร่าง.

               ต่อจากนี้ไปเป็น คาถาแสดงการปราศรัยโต้ตอบกันระหว่างพระราชากับนางกินรีทั้งสอง
               ดังต่อไปนี้
               (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่ท่านนายพราน เราทั้งสองไม่อยากจะจากกัน ก็ต้องจากกัน แยกกันอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกัน ก็เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่งที่ล่วงไปนั้นว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก.
               (พระราชาตรัสถามว่า) เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงมารดาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป.
               (นางกินรีทูลว่า) ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสเชี่ยว ไหลมาในระหว่างหุบผา ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในฤดูฝน กินนรสามีสุดที่รักของดิฉันได้ข้ามแม่น้ำนั้นไปด้วยสำคัญว่า ดิฉันจะติดตามมาข้างหลัง.
               ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลำดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดค้าวที่บานสล้าง ด้วยคิดว่า สามีของเราจักได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
               อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
               อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลังบานสล้าง ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักสวมใส่พวงมาลัย ส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
               อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกำลังบานสล้าง แล้วร้อยทำเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า คืนวันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่ใด พวงมาลัยที่ทำไว้นี้แหละ จักเป็นเครื่องปูลาด สำหรับเราทั้งสอง ณ ที่นั้น.
               อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดกฤษณาดำและจันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้วจะเข้าไปนอนแนบชิดสามีที่รักนั้น.
               ครั้งนั้น น้ำมีกระแสเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอกสาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์ที่ดิฉันเก็บมาวางไว้ไปหมดสิ้น โดยกาลประมาณครู่เดียวเท่านั้น น้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็นดิฉันก็ข้ามไปไม่ได้.
               คราวนั้นเราทั้งสองอยู่กันคนละฝั่งน้ำ มองเห็นหน้ากันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง คืนนั้นได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก.
               ข้าแต่นายพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เราทั้งสองข้ามแม่น้ำอันยุบแห้งมาสวมกอดกันและกัน ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง.
               ข้าแต่นายพรานผู้ภูมิบาล เมื่อครั้งก่อนเราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี ชีวิตของท่านนี้มีกำหนดเพียง ๑๐๐ ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าหนอ ในที่นี้จะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักได้.
               (พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนสหาย อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ ก็จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้บิดพลิ้ว จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฒบุคคล หรือจากตำรับตำรา.
               (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่นายพราน อายุของเราทั้งสองประมาณ ๑,๐๐๐ ปี อนึ่ง ในระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังรักกันไม่จืดจางก็ต้องมาละทิ้งชีวิตไป.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเยกรตฺตํ ตัดบทเป็น มยํ เอกรตฺตํ ความว่า เราทั้งสองต้องจากกันชั่วราตรีหนึ่ง.
               บทว่า วิปฺปวสิมฺห ความว่า เราต้องพรากจากกันอยู่.
               บทว่า อนุตปฺปมาณา ความว่า ทั้งๆ ที่เราทั้งสองไม่ปรารถนาจะจากกัน ราตรีหนึ่งก็ได้ผ่านพ้นไป เราทั้งสองก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงราตรีเดียวนั้นอยู่.
               บทว่า ปุน น เหสฺสติ ความว่า ราตรีนั้นจักไม่มี คือจักไม่ย่างมาอีก.
               บทว่า ธนํว นฏฺฐฺ ปิตรญฺจ เปตํ ความว่า เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปแล้ว หรือคิดถึงมารดาบิดาที่ละโลกนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุไร จึงได้แยกกันตลอดราตรีหนึ่งนั้น จงบอกเหตุนั้นแก่เราเถิด.
               บทว่า ยมิมํ ตัดบทเป็น ยํ อิมํ แปลว่า นี้ใด.
               บทว่า เสลกุลํ ความว่า ไหลมาในระหว่างหุบผาทั้งสอง.
               บทว่า วสฺสกาเล ความว่า นางกินรีกล่าวว่า ในเวลาที่เมฆก้อนหนึ่งตั้งขึ้นฝนตก แม้ยามที่เราทั้งสองย่ำราตรี ท่องเที่ยวไปในไพรสณฑ์นี้ เมฆก้อนหนึ่งตั้งขึ้น ลำดับนั้น กินนรผู้สามีสุดที่รักของดิฉัน สำคัญว่าดิฉันตามมาข้างหลัง จึงข้ามนทีนี้ไป.
               บทว่า อหญฺจ ความว่า ก็ดิฉันหาได้ทราบว่า สามีของตนข้ามไปฝั่งโน้นแล้วไม่ มัวเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลายมีดอกปรูเป็นต้น ที่บานสะพรั่งอยู่แล้ว.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺตลิโยธิกญฺจ ความว่า ก็เมื่อข้าพเจ้าเลือกเก็บดอกลำดวน และดอกมะลิซ้อน ก็ด้วยเหตุที่ว่า สามีที่รักของเราจักทัดทรงระเบียบดอกไม้ ส่วนเราก็จักสอดแซมระเบียบดอกไม้นอนแนบสามีนั้น.
               บทว่า อุทฺทาลกา ปาตลี สินฺธุวาริตา ความว่า นางกินรีกล่าวว่า แม้ดอกไม้เหล่านี้ ก็เป็นอันข้าพเจ้าเลือกเก็บแล้วทีเดียว.
               บทว่า โอเจยฺย แปลว่า เลือกเก็บแล้ว.
               บทว่า อคฺคลุํ จนฺทนญฺจ ได้แก่ กฤษณาดำและจันทน์แดง.
               บทว่า โรสิตงฺโค ความว่า มีสรีระร่างกายลูบไล้แล้ว.
               บทว่า โรสิตา แปลว่า ประพรมสรีระแล้ว.
               บทว่า อชฺฌุเปสฺสํ ความว่า จักเข้าไปแนบชิดบนที่นอน.
               บทว่า นุทํ สาเล สลเล กณฺณิกาเร ความว่า พัดพาเอาดอกไม้เหล่านี้ ที่ดิฉันเลือกเก็บแล้ววางไว้ริมฝั่งไปจนหมด.
               บทว่า สุทุตฺตรา ความว่า ก็ในเวลาที่นางกินรีนั้นยืนอยู่ที่ฝั่งฟากนี้นั้นเอง น้ำในแม่น้ำท่วมท้นขึ้นมา ทั้งในขณะนั้นพระอาทิตย์ก็อัสดงคตไปแล้ว สายฟ้าก็แลบแปลบปลาบ ธรรมดาว่ากินนรทั้งหลายย่อมกลัวน้ำ เพราะฉะนั้น นางกินรีนั้นจึงไม่สามารถจะข้ามไปฝั่งโน้นได้ ด้วยเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่าในเวลายามเย็น ข้าพเจ้าข้ามน้ำไปไม่ได้.
               บทว่า สมฺปสฺสนฺตา ความว่า มองเห็นกันในเวลาฟ้าแลบ.
               บทว่า โรทาม ความว่า ในเวลามืดมองไม่เห็นกันก็ร้องไห้ ในเวลาฟ้าแลบมองเห็นหน้ากันก็หัวเราะ.
               บทว่า สมฺพรี แปลว่า ราตรี.
               บทว่า จตุกฺกํ แปลว่า ว่างเปล่าหรือยุบแห้ง.
               บทว่า อุตฺตริยาน แปลว่า ข้ามไป.
               บทว่า ติหูนกํ ความว่า เป็นเวลาหกร้อยเก้าสิบเจ็ดปี.
               บทว่า ยมิธ มยํ ความว่า นางกินรีกล่าวว่า เราทั้งสองต้องจากพรากกันอยู่ในที่นี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้นั้น เป็นเวลานานถึงเจ็ดร้อยหย่อนสามปี.
               บทว่า วสฺเสกิมํ ตัดบทเป็น วสฺสํ เอกํ อิมํ ความว่า นางกินรีกล่าวว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านนี้ มีกำหนดเพียงร้อยปีหนึ่งเท่านั้น.
               บทว่า โกนีธ ความว่า นางกินรีกล่าวว่า เมื่อชีวิตความเป็นอยู่มีเล็กน้อยอย่างนี้ ใครเล่าจะพรากจากภรรยาที่รักใคร่ได้ หรือไม่บังควรที่จะพลัดพรากจากภรรยาสุดที่รักเลย.
               บทว่า กีวตโก นุ ความว่า พระราชาทรงสดับถ้อยคำของนางกินรีแล้ว ทรงดำริว่า เราจักถามประมาณอายุของกินนรเหล่านั้น กะนางกินรีดู จึงตรัสถามว่า อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าใด.
               บทว่า อนุสฺสวา ความว่า ถ้าเมื่อจะมีใครๆ บอกกล่าวแก่พวกท่าน หรือว่าตำรับตำรามีอยู่ในสำนักมารดาบิดาหรือผู้เฒ่าผู้แก่ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอย่าบิดพลิ้วเลย จงบอกประมาณแห่งอายุ จากที่ได้ยินได้ฟังมา หรือจากตำรับตำรา.
               บทว่า น จนฺตรา ความว่า อายุของเราทั้งหลายประมาณหนึ่งพันปี และในระหว่างนั้น โรคภัยอันเลวร้ายซึ่งจะทำอันตรายแก่ชีวิต ก็ไม่มีแก่พวกเราเลย.
               บทว่า อวีตราคา ความว่า เราทั้งหลายมิใช่ผู้ปราศจากความรักใคร่กันและกันเลย.

               พระเจ้าภัลลาติกราชทรงสดับถ้อยคำของนางกินรี แล้วทรงดำริว่า น่าอัศจรรย์ กินนรเหล่านี้เป็นสัตว์เดียรัจฉาน พลัดพรากจากกันชั่วราตรีเดียวยังเที่ยวร่ำไห้ถึงกันตลอดเวลา ๗๐๐ ปี
               ส่วนเราเองละเลยมหาสมบัติในความเป็นพระราชา มีอาชญาแผ่ไปถึง ๓๐๐ โยชน์มาอยู่ในป่าน่าอนาถ เราได้ทำกิจที่ไม่ควรทำดังนี้แล้ว เสด็จนิวัตน์จากอรัญประเทศนั้นสู่พระนครพาราณสี อันหมู่มุขอำมาตย์ทูลถามว่า ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไร เป็นสิ่งอัศจรรย์ในหิมวันตประเทศ จึงตรัสบอกเหตุทั้งปวงที่ทรงประสบมา แล้วทรงบำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น เสวยราชสมบัติ นับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา.

               พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
               พระเจ้าภัลลาติยะได้ทรงสดับถ้อยคำของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรงพระดำริว่า ชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรงบำเพ็ญทานเสวยราชสมบัติสืบมา.


               พระบรมศาสดา ครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว
               เมื่อจะทรงโอวาทซ้ำอีกได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
               มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทำความทะเลาะกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตน อย่าได้ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน ทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.
               มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทำความวิวาทบาดหมางกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตน อย่าได้ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน ทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมานุสานํ ได้แก่ กินนรทั้งหลาย.
               บทว่า อตฺตกมฺมาปราโธ ได้แก่ กรรมโทษของตน.
               บทว่า กึปุริเสกรตฺตํ ความว่า กรรมโทษของตนอันทำให้พรากกันราตรีหนึ่ง ทำกินนรเหล่านั้นให้เดือดร้อนฉันใด กรรมโทษของตนอย่าให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อนฉันนั้นเลย.

               พระนางมัลลิกาเทวีทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคตเจ้าแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ทรงประคองอัญชลี
               เมื่อจะทรงชมเชยพระทศพล จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า
               หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ที่พระองค์ทรงแสดงประกอบไปด้วยเหตุต่างๆ ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ดับความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันได้ ข้าแต่พระสมณะเจ้าผู้ทรงนำความสุขมาให้หม่อมฉัน ขอพระองค์จงทรงมีชนม์ชีพยืนนานเถิด.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวิธ อธิมนา สุณามิหํ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กระหม่อมฉันเป็นผู้ชื่นชมยินดี มีจิตเลื่อมใส ฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดง ประดับประดาไปด้วยเหตุต่างๆ.
               บทว่า วจนปถํ ความว่า ทำนองคลองพระพุทธพจน์ประกอบไปด้วยประโยชน์อันพระองค์ตรัสแล้วนั้นๆ.
               บทว่า มุญฺจํ คิรํ นุทเสว เม ทรํ ความว่า เมื่อพระองค์ทรงเปล่งมธุรพจน์ อันเสนาะโสต ชื่อว่าบรรเทาแล้ว คือนำไปแล้วทีเดียวซึ่งความกระวนกระวาย คือความเศร้าโศกในหทัยของหม่อมฉัน.
               บทว่า สมณ สุขาวห ชีว เม จิรํ ความว่า ข้าแต่พระมหาสมณะผู้พุทธเจ้า ผู้เจริญ ผู้ทรงนำทิพยมานุษยโลกิยสมบัติ และโลกุตรสมบัติมาให้ ผู้เป็นเจ้าของกระหม่อมฉัน ผู้เป็นพระธรรมราชา ขอพระองค์จงทรงเจริญพระชนม์ชีพยืนนานเถิด.

               จำเดิมแต่นั้นมา พระเจ้าโกศลราชก็ทรงอยู่ร่วมสมัครสโมสรกับพระนางมัลลิการาชเทวี.

               พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               กินนรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าโกศลราช ในบัดนี้
               กินรีได้มาเป็น พระนางมัลลิการาชเทวี
               ส่วนพระเจ้าภัลลาติกราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาภัลลาติกชาดกที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ภัลลาติยชาดก ว่าด้วย อายุของกินนร จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2142 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2153 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2164 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=8534&Z=8612
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=41&A=1769
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=41&A=1769
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๗  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :