บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ตทหุ ตัดเป็น ตสฺมึ อหุ ความว่า ในวันนั้น. ชื่อว่าอุโบสถ เพราะเป็นที่เข้าจำ. บทว่า อุปวสนฺติ ความว่า เป็นผู้เข้าจำอยู่ด้วยศีล หรือด้วยอดข้าว. ก็วันอุโบสถนี้นั้น มี ๓ อย่างโดยแยกเป็นวัน ๘ ค่ำ วัน ๑๔ ค่ำและวัน ๑๕ ค่ำ เพราะฉะนั้น เพื่อจะห้ามวันทั้ง ๒ ที่เหลือจึงกล่าวว่า ปณฺณรเส. บทว่า ปวารณาย ได้แก่ ออกพรรษาปวารณาแล้ว. แม้คำว่า วิสุทฺธิปวารณา ดังนี้ ก็เป็นชื่อของปวารณานั้น. บทว่า นิสินฺโน โหติ ความว่า ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันสมควรแก่กาล แก่บริษัทผู้มาประชุมกัน ทรงสรงพระวรกายที่ซุ้มน้ำ ทรงนุ่งห่ม ทำสุคตมหาจีวรเฉวียงบ่า ประทับนั่งชมสิริแห่งมณฑลพระจันทร์ ที่ตั้งขึ้นในปุริมทิศ บนบวรพุทธอาสน์ที่เขาจัดไว้ อิงเสากลาง. บทว่า ตุณฺหีภูตํ ความว่า เป็นผู้นิ่งแต่ทิศที่ทรงแลดู. ในหมู่ภิกษุเหล่านั้น แม้รูปเดียวก็มิได้มีความคะนองมือคะนองเท้าทั้งหมด เงียบเสียงนั่งด้วยอิริยาบถสงบ. บทว่า อนุวิโลเกตฺวา ความว่า ทรงใช้พระเนตรที่มีประสาททั้ง ๕ ปรากฏชำเลืองดู. ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาต ลงในอรรถแห่งอุปสรรค. น อักษรในคำว่า น จ เม กิญฺจิ ครหถ นี้ ใช้ในอรรถแห่งคำถามว่า น จ กิญฺจิ ดังนี้. อธิบายว่า พวกเธอจะติเตียนอะไรๆ เราหรือ ถ้าพวกเธอจะติเตียนว่ากล่าว เราต้องการให้พวกเธอว่ากล่าว. ด้วยคำว่า กายิกํ วา วาจสิกํ วา นี้ พระองค์ปวารณากายทวารและวจีทวารเท่านั้น มิได้ปวารณาถึงมโนทวาร. เพราะเหตุไร. เพราะปรากฏแล้ว. จริงอยู่ ในกายทวารและวจีทวารมีความผิดปรากฏ ในมโนทวารมิได้ปรากฏ แม้เมื่อนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ถามว่า เธอคิดอะไร จึงทราบวาระจิตได้. พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงปวารณาถึงมโนทวาร เพราะความไม่ปรากฏด้วยประการฉะนี้ มิใช่ไม่ทรงปวารณาเพราะไม่บริสุทธิ์. จริงอยู่ มโนทวารของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เป็นพระโพธิสัตว์ ในคราวเป็นภูริทัตต์ ฉัททันต์ สังขปาล และธรรมปาลเป็นต้นก็บริสุทธิ์. บัดนี้ไม่มีคำที่จะต้องกล่าวในข้อนี้เลย. บทว่า เอตทโวจ ความว่า เพราะเธอดำรงอยู่ในตำแหน่งพระธรรมเสนาบดี เธอรับ บทว่า น โข มยํ ภนฺเต ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ไม่ติเตียนอะไรๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า กายิกํ วา วาจสิกํ วา นี้ พระเถระกล่าวหมายเอาความบริสุทธิ์ ๔ อย่างมี จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิต้องทรงรักษาความบริสุทธิ์ ๔ อย่าง. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความบริสุทธิ์ที่ตถาคตไม่ต้องรักษา ๔ อย่างเหล่านี้. ๔ อย่างอะไรบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีกายสมาจารบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีกายทุจริตที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีวจีทุจริตที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีมโนทุจริตที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีอาชีวะบริสุทธิ์ ตถาคตไม่มีมิจฉาชีวะที่จะพึงรักษาว่า ผู้อื่นอย่าได้รู้สิ่งนี้ของเราเลย ดังนี้. บัดนี้ พระเถระเมื่อสรรเสริญพระคุณตามเป็นจริงของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ภควา หิ ภนฺเต ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุปฺปนฺนสฺส ความว่า อันสมณะอื่นไม่เคยให้เกิดขึ้น ตั้งแต่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า อสญฺชาตสฺส นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า อนุปฺปนฺนสฺส นั่นเอง. บทว่า อนกฺขาตสฺส ได้แก่ คนอื่นมิได้แสดง. บทว่า ปจฺฉา สมนฺนาคตา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปก่อนแล้ว พระสาวกมาประชุมกันภายหลัง. ดังนั้น พระเถระอาศัยพระอรหัตมรรคนั่นแล สรรเสริญพระคุณ เพราะเหตุที่พระคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหมดมาแล้ว เพราะอาศัยพระอรหัตมรรคเท่านั้น. ด้วยเหตุนั้น พระคุณทั้งปวงย่อม คำว่า อหญฺจ โข ภนฺเต นี้ พระเถระกล่าวปวารณาสมาจารทางกาย ทางวาจาทั้งของตนทั้งของสงฆ์ ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอัครบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. บทว่า ปิตรา ปวตฺติตํ ความว่า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิสวรรคตหรือทรงผนวชล่วงไป ๗ วัน จักรย่อมอันตรธาน ต่อจากนั้น เมื่อพระโอรสทรงนั่งบำเพ็ญจักรวัตติวัตร อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่พระโอรสนั้นตรัสว่า ขอพระองค์จงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด ข้าพระองค์จักปกครอง ดังนี้ ฉะนั้น จึงชื่อว่าย่อมปกครองอาณาจักรที่พระบิดาปกครอง. บทว่า สมฺมเทว อนุปวตฺเตสิ ความว่า จงให้เป็นไปตามโดยชอบ คือโดยนัย โดยเหตุ โดยการณะนั่นแล. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมคือ อริยสัจ ๔ พระเถระก็กล่าวตามธรรมคืออริยสัจ ๔ นั้นนั่นแหละ. เหตุนั้น จึงตรัสอย่างนี้. บทว่า อุภโตภาควิมุตฺตา ความว่า พ้นด้วยส่วนทั้ง ๒ คือพ้นจากรูปกายด้วยอรูปาวจรสมาบัติ พ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค. บทว่า ปญฺญาวิมุตฺตา ได้แก่ หลุดพ้นด้วยปัญญา คือเป็นพระขีณาสพผู้ยังมิได้วิชชา ๓ เป็นต้น. บทว่า วิสุทฺธิยา ได้แก่ เพื่อต้องการความบริสุทธิ์. บทว่า สญฺโญชนพนฺธนจฺฉิทา ได้แก่ ตัดกิเลส กล่าวคือเครื่องประกอบ และกิเลสกล่าวคือเครื่องผูกได้. บทว่า วิชิตสงฺคามํ ได้แก่ ชนะสงคราม คือราคะโทสะโมหะ. แม้ชนะกองทัพมาร ก็ชื่อว่าชนะสงคราม. บทว่า สตฺถวาหํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่าสัตถวาหะ เป็นผู้นำหมู่ เพราะทรงนำหมู่เวไนยสัตว์ ยกขึ้นบนรถคือมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ให้ บทว่า ปลาโป ได้แก่ ภายในว่างเปล่า คือทุศีล. ด้วยบทว่า อาทิจฺจพนฺธุนํ นี้ ท่านพระวังคีสะกล่าวว่า ข้าพระองค์ขอถวาย จบอรรถกถาปวารณาสูตรที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค วังคีสสังยุต ปวารณาสูตรที่ ๗ จบ. |