ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 131อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 153อ่านอรรถกถา 12 / 159อ่านอรรถกถา 12 / 557
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค
จูฬสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท

               พรรณนามูลปัณณาสก์               
               ภาคที่ ๒               
               พรรณนาสีหนาทวรรค               
               อรรถกถาจุลลสีหนาทสูตร               
               จุลลสีหนาทสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
               ก็เพราะจุลลสีหนาทสูตรนั้น มีการสรุปถึงความอุบัติของเรื่อง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าแสดงการสรุปนั้นแล้ว จักทำการพรรณนาบทโดยไม่ตามลำดับแห่งจุลลสีหนาทสูตรนั้น. ก็เรื่องนี้ได้ยกขึ้นกล่าวในความอุบัติของเรื่องอะไร. ในเรื่องที่เดียรถีย์คร่ำครวญ เพราะลาภสักการะเป็นปัจจัย. ได้ยินว่า ลาภสักการะใหญ่ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนัยที่กล่าวแล้วในธัมมทายาทสูตร.
               ก็โลกสันนิวาสนี้มีประมาณ ๔ ดำรงอยู่แล้วโดย ๔ อย่างด้วยอำนาจแห่งบุคคลเหล่านี้ คือ บุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมอง มีประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรม. ข้อกระทำให้ต่างกันของบุคคลเหล่านั้นดังนี้.
               ก็บุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูปเป็นไฉน
               บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นความเจริญขึ้น หรือเห็นความเจริญเต็มที่ เห็นความบริบูรณ์ หรือเห็นทรวดทรง ถือประมาณในรูปนั้นแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีประมาณในรูป เลื่อมใสในรูป.
               ก็บุคคลผู้มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียงเป็นไฉน
               บุคคลบางคนในโลกนี้ถือประมาณในเสียงนั้น ด้วยการพรรณนาของคนอื่น ด้วยการชมเชยของคนอื่น ด้วยการสรรเสริญของคนอื่น ด้วยคนผู้นำคุณของคนอื่นแล้วยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีประมาณในเสียง เลื่อมใสในเสียง.
               ก็บุคคลผู้มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมองเป็นไฉน
               บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นความเศร้าหมองในจีวร หรือเห็นความเศร้าหมองในบาตร หรือเห็นความเศร้าหมองในเสนาสนะ หรือเห็นการบำเพ็ญทุกกรกิริยาต่างๆ แล้ว ถือประมาณในความเศร้าหมองนั้น ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีประมาณในความเศร้าหมอง เลื่อมใสในความเศร้าหมอง.
               ก็บุคคลผู้มีประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรมเป็นไฉน
               บุคคลบางคนในโลกนี้เห็นศีล หรือเห็นสมาธิ หรือเห็นปัญญาแล้ว ถือประมาณในธรรมนั้น ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีประมาณในธรรม เลื่อมใสในธรรม.
               ในบุคคล ๔ พวกนี้ ฝ่ายบุคคลมีประมาณในรูปเห็นความเจริญขึ้น และความเจริญเต็มที่ ทรวดทรง ความบริบูรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระฉวีวรรณสวยงาม ดุจวิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ เพราะประดับประดาด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ อย่าง ดุจแผ่นใหญ่แห่งทองคำอันรุ่งเรืองด้วยหมู่ดาว เพราะเกลื่อนกล่นด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และดุจท้องฟ้าอันแจ่มจำรัสโดยประการทั้งปวงฉะนั้น มีพระสรีระหาที่เปรียบมิได้ มีปาริฉัตรสูงร้อยโยชน์ มีพระสิริแวดล้อมด้วยรัศมีประมาณหนึ่งวา สูงสิบแปดศอกแล้ว เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               ฝ่ายบุคคลมีประมาณในเสียงได้ฟังเสียงที่เป็นไปแล้วแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนัยเป็นต้นว่า ตลอดสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีสิบ อุปปารมีสิบ ปรมัตถปารมีสิบ ทรงกระทำอังคบริจาค บุตรทารบริจาค รัชชบริจาค ธนบริจาค และนัยนบริจาคแล้วเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               ฝ่ายบุคคลมีประมาณในความเศร้าหมอง เห็นความเศร้าหมองในจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว คิดว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ครองสมบัติก็จักทรงแต่ผ้าที่ทำจากเมืองกาสีเท่านั้น แต่พระองค์ครั้นทรงผนวชแล้ว ทรงยินดีด้วยจีวรปังสุกุลอันทำด้วยป่าน ทรงกระทำการหนักดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               เห็นแม้ความเศร้าหมองในบาตรแล้ว คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ เมื่อทรงครองเรือนได้เสวยโภชนะแห่งข้าวสาลีอันมีกลิ่นหอม สมควรแก่โภชนะของพระเจ้าจักรพรรดิ ในภาชนะทองคำอันประเสริฐสีแดง แต่ครั้นทรงผนวชแล้วทรงถือบาตรหิน เสด็จบิณฑบาตตามตรอกในประตูของตระกูลสูง ทรงยินดีด้วยก้อนข้าวที่ได้แล้ว กระทำกิจหนักดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               แม้ได้เห็นความเศร้าหมองในเสนาสนะแล้ว คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ เมื่อทรงครองเรือนมีนางฟ้อน ๓ พวกเป็นบริวาร เสวยราชสิริดุจสมบัติทิพในปราสาททั้ง ๓ อันสมควรแก่ฤดูทั้ง ๓ บัดนี้ ทรงผนวชแล้ว ทรงยินดีด้วยวัตถุมีกระดานไม้ แผ่นศิลาและเตียงไม้ไผ่เป็นต้น ในรุกขมูลและเสนาสนะเป็นต้น ทรงกระทำการหนักดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               แม้ได้เห็นการบำเพ็ญทุกกรกิริยาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังชีพให้เป็นไปด้วยวัตถุมีน้ำต้มถั่วเขียว น้ำต้มถั่วพูและน้ำต้มหเรณุเป็นต้น เพียงฟายมือๆ จักเจริญฌานอันไม่มีประมาณ ไม่ทรงห่วงใยในสรีระและชีวิตอยู่ตลอดหกปี โอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำกิจที่ทำได้ยากดังนี้ ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               ฝ่ายบุคคลมีประมาณในธรรมเห็นศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ ฌานวิโมกข์ สมาธิสมบัติ สัมปทา ความบริบูรณ์แห่งอภิญญา ยมกปาฏิหาริย์ เทโวโรหณะ และความอัศจรรย์หลายประการ มีการทรมานปาฏิกบุตรเป็นต้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเทียว.
               บุคคลเหล่านั้นเลื่อมใสอย่างนี้แล้ว ย่อมนำลาภสักการะใหญ่ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ลาภสักการะของเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป ดุจกาในพาเวรุชาดก.
               เหมือนอย่างท่านกล่าวว่า
                                   นางนกยูงร้องเสียงไพเราะ เพราะไม่เห็นนกยูง
                         จึงบูชากาในพาเวรุนั้นด้วยเนื้อและผลไม้ ก็ในกาลใด
                         นกยูงที่ถึงพร้อมด้วยเสียงสู่พาเวรุ ในกาลนั้น ลาภและ
                         สักการะของกาก็เสื่อมไป
                                   ในกาลใด พระพุทธเจ้าผู้ธรรมราชาทรงกระทำ
                         แสงสว่างยังไม่อุบัติขึ้น ในกาลนั้น ชนอื่นเป็นอันมาก
                         ได้บูชาสมณพราหมณ์ทั้งหลาย
                                   แต่ในกาลใด พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยเสียง
                         ทรงแสดงธรรม ในกาลนั้น ลาภและสักการะของเดียรถีย์
                         ทั้งหลายก็เสื่อมไป.
               เดียรถีย์เหล่านั้นเสื่อมจากลาภและสักการะอย่างนี้แล้ว แม้จะยังราตรีให้สว่างเพียงหนึ่งนิ้ว สองนิ้ว ก็เป็นผู้เสื่อมจากรัศมี ดุจหิงห้อยทั้งหลายในเวลาพระอาทิตย์ขึ้นฉะนั้น.
                                   หิงห้อยทั้งหลายย่อมแสดงออก ซึ่งแสงใน
                         ราตรีข้างแรม ก็นั้นเป็นวิสัยของหิงห้อยเหล่านั้น
                         ก็ในเวลาใด พระอาทิตย์ที่ถึงพร้อมด้วยรัศมีขึ้น
                         อยู่ ในเวลานั้นแสงของหมู่หิงห้อยทั้งหลายก็หาย
                         ไปฉันใด แม้เดียรถีย์ทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนมาก
                         เป็นเช่นกับหิงห้อยฉันนั้น ย่อมแสดงคุณตนใน
                         โลกที่เปรียบเหมือนข้างแรม
                                   แต่ในเวลาใด พระพุทธเจ้ามีรัศมีหาที่เปรียบ
                         มิได้ อุบัติขึ้นในโลก ในเวลานั้น เดียรถีย์ทั้งหลาย
                         ก็หมดรัศมี ดุจหิงห้อยทั้งหลายในพระอาทิตย์ ฉะนั้น.
               เดียรถีย์เหล่านั้นเป็นผู้ปราศจากรัศมีอย่างนี้ สรีระเกลื่อนกล่นด้วยหิดและต่อมเล็กๆ เป็นต้น ถึงความเสื่อมอย่างยิ่ง ไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์และที่ประชุมของมหาชนแล้ว ยืนคร่ำครวญในระหว่างถนนบ้าง ในตรอกบ้าง ในทางสี่แพร่งบ้าง ในสภาบ้าง ร้องประการต่างๆ อย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้เจริญ สมณโคดมเท่านั้นหรือเป็นสมณะ พวกเราไม่เป็นสมณะ สาวกของพระสมณโคดมเท่านั้นเป็นสมณะ สาวกแม้ของพวกเราก็ไม่เป็นสมณะ ทานที่ให้สมณโคดมและสาวกของสมณโคดมนั้น มีผลมาก ทานที่ให้แก่พวกเราไม่มีผลมาก สมณโคดมก็เป็นสมณะด้วย พวกเราก็เป็นสมณะด้วย สาวกของสมณโคดมก็เป็นสมณะด้วย สาวกของพวกเราก็เป็นสมณะด้วย ทานที่ให้แก่สมโคดมและแก่สาวกของสมณโคดมนั้นก็มีผลมากด้วย ทานที่ให้แก่พวกเราและแก่สาวกของพวกเราก็มีผลมากด้วย มิใช่หรือ ท่านทั้งหลายจงให้จงทำแก่สมณโคดมแก่สาวกของสมณโคดมนั้นด้วย จงให้จงทำแก่พวกเราและแก่สาวกของพวกเราด้วย สมณโคดมอุบัติแล้วตลอดวันก่อนๆ มิใช่หรือ แต่พวกเราเมื่อเกิดขึ้นในโลกเทียว ก็ได้เกิดแล้วดังนี้.
               ลำดับนั้น บริษัทสี่ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาได้ฟังเสียงของเดียรถีย์เหล่านั้นแล้ว กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวคำนี้และคำนี้ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าสำคัญว่า สมณะมีในที่อื่นตามคำพวกเดียรถีย์ เมื่อจะทรงปฏิเสธความเป็นสมณะในอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย และเมื่อจะทรงอนุญาตความเป็นสมณะในศาสนานี้เท่านั้น จึงตรัสพระสูตรแห่งความเกิดขึ้นของเรื่องนี้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น.
               ในบทนั้น บทว่า อิเธว คือ ในศาสนานี้เท่านั้น. ก็ความจำกัดนี้ พึงทราบแม้ในบทที่เหลือ. ก็สมณะทั้งหลายแม้มีสมณะที่ ๒ เป็นต้น ก็มีในศาสนานี้เท่านั้น ไม่มีในที่อื่น.
               บทว่า สมโณ ได้แก่ พระโสดาบัน.
               ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะเป็นไฉน
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีการตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะ.
               สกทาคามี ชื่อว่าสมณะที่ ๒.
               ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๒ เป็นไฉน
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้เป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป เพราะความที่ราคะโทสะและโมหะเบาบางกลับมาสู่โลกนี้ ครั้งเดียวเท่านั้นก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๒ ดังนี้.
               พระอนาคามี ชื่อว่าสมณะที่ ๓.
               ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๓ เป็นไฉน
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่างเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในภพนั้นไม่เวียนกลับมาจากโลกนั้น.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๓.
               พระอรหันต์ ชื่อว่าสมณะที่ ๔.
               ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะที่ ๔ เป็นไฉน
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายด้วยอภิญญาของตนเอง เข้าถึงอยู่ในทิฏฐธรรมเทียว.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้สมณะที่ ๔.
               ท่านประสงค์เอาสมณะที่ตั้งอยู่ในผลสี่ในที่นี้เทียวด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า สุญฺญา ได้แก่ ว่าง คือเปล่า.
               บทว่า ปรปฺปวาทา ความว่า วาทะว่าเที่ยง ๔ วาทะว่าเที่ยงเป็นบางส่วน ๔ วาทะว่ามีที่สุดและไม่มีที่สุด ๔ วาทะที่ห้ามความไม่ตาย ๔ วาทะที่เกิดขึ้นเฉพาะ ๒ สัญญีวาทะ ๑๖ อสัญญีวาทะ ๘ เนวสัญญีนาสัญญีวาทะ ๘ อุจเฉทวาทะ ๗ ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ ๕ แม้ทั้งหมดดังกล่าวมานี้ มาแล้วในพรหมชาลสูตร วาทะของเหล่าพาเหียรอื่นจากนี้ ๖๒ ชื่อว่า ปรัปปวาทะ. วาทะเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ว่างเปล่าจากสมณะผู้ตั้งอยู่ในผลสี่เหล่านี้. ก็วาทะเหล่านั้นไม่มีในสมณะนั้น. ก็วาทะเหล่านั้นไม่มีอย่างเดียวก็หาไม่ แต่สูญจากสมณะเหล่านั้นนั่นเทียว.
               อนึ่ง สูญจากสมณะแม้สิบสองนั่นเทียว คือ จากสมณะผู้ตั้งอยู่ในมรรคสี่บ้าง จากสมณะผู้วิปัสสกซึ่งปรารภเพื่อประโยชน์แก่มรรคสี่บ้าง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงเนื้อความนี้นั้นเอง จึงตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า
                         ดูก่อนสุภัททะ เรามีวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้วตามแสวงหา
               อะไรเป็นกุศล ดูก่อนสุภัททะ ตั้งแต่เราบวชแล้วได้ ๕๐ ปีเศษ
               แม้สมณะผู้เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออกไม่มี
               ในภายนอกแต่ธรรมวินัยนี้.
                         สมณะแม้ที่ ๒ ก็ไม่มี สมณะแม้ที่ ๔ ก็ไม่มี ลัทธิของ
               ศาสดาอื่นว่างเปล่าจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง.
               ก็ท่านประสงค์เอาผู้ปรารภวิปัสสนาว่า ปเทสวตฺตี ในมหาปรินิพพานสูตรนั้น. เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงกระทำผู้ปรารภวิปัสสนาเพื่อโสดาปัตติมรรค ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ผู้ตั้งอยู่ในผล แม้ทั้ง ๓ ดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้ว ตรัสว่า แม้สมณะก็ไม่มีดังนี้. ทรงกระทำผู้ปรารภวิปัสสนาเพื่อสกทาคามิมรรค ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ผู้ตั้งอยู่ในผล แม้ทั้ง ๓ ดังกล่าวเข้าด้วยกัน ตรัสว่า สมณะแม้ที่ ๒ ก็ไม่มี.
               ในบททั้ง ๒ แม้นี้ ก็นัยนี้เช่นเดียวกัน.
               ก็สมณะเหล่านั้นไม่มีในลัทธิอื่น เพราะเหตุไร. เพราะลัทธิอื่นนั้นไม่มีเขต.
               ก็เมล็ดผักกาดย่อมไม่ตั้งอยู่ในปลายเหล็กแหลม ไฟไม่ลุกโพลงในหลังน้ำ พืชทั้งหลายย่อมไม่งอกในแผ่นหินฉันใด สมณะเหล่านี้ย่อมไม่เกิดในลัทธิเดียรถีย์ภายนอก ฉันนั้นเหมือนกัน.
               ในศาสนานี้เท่านั้น เพราะเหตุไร. เพราะศาสนานี้มีเขตดี.
               ก็ความที่ลัทธิเดียรถีย์ไม่มีเขต และความที่ศาสนานี้มีเขตนี้นั้น พึงทราบโดยความไม่มีและความมีอริยมรรค.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐอันบุคคลไม่ได้ในธรรมวินัยใดแล แม้สมณะก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๒ ก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๓ ก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๔ ก็ไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น
               ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐย่อมได้ในธรรมวินัยใดแล แม้สมณะย่อมได้ในธรรมวินัยนั้น สมณะแม้ที่ ๒ ก็ย่อมได้ในธรรมวินัยนั้น ฯลฯ สมณะแม้ที่ ๔ ก็ย่อมได้ในธรรมวินัยนั้น
               ดูก่อนสุภัททะ มรรคมีองค์แปดอันประเสริฐย่อมได้ในธรรมวินัยนั้นแล
               ดูก่อนสุภัททะ สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น สมณะที่ ๒ ก็มีในศาสนานี้ สมณะที่ ๓ ก็มีในศาสนานี้ สมณะที่ ๔ ก็มีในศาสนานี้ ลัทธิของศาสดาอื่นสูญจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง ดังนี้.
               เพราะลัทธิเดียรถีย์ไม่มีเขต ศาสนามีเขตอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ไกรสรสีหะมีแสงสว่างพราวแพรว เป็นพระยาเนื้อ ซึ่งมีเท้าหน้าและเท้าหลังแดงจัด ย่อมไม่อาศัยอยู่ในป่าช้า หรือกองหยากเยื่อ แต่เข้าไปสู่หิมวันต์ซึ่งกว้างสามพันโยชน์ อยู่ในถ้ำแก้วมณีฉันใด. พระยาช้างฉัททันต์ย่อมไม่เกิดในตระกูลช้าง ๙ มีตระกูลช้างโคจริยะเป็นต้น แต่เกิดในตระกูลช้างฉัททันต์เท่านั้นฉันใด. พระยาม้าวลาหกไม่เกิดในตระกูลลา หรือในตระกูลอูฐ แต่เกิดในตระกูลม้าสินธพที่ฝั่งแม่น้ำสินธุเท่านั้นฉันใด. มณีรัตนะอันนำความพอใจให้สิ่งของที่ประสงค์ทุกอย่าง ย่อมไม่เกิดในกองหยากเยื่อ หรือในภูเขามีภูเขาดินเป็นต้น ย่อมเกิดในระหว่างภูเขาวิบุลบรรพตเท่านั้นฉันใด. พระยาปลาติมิรมิงคละ ย่อมไม่เกิดในบ่อและสระโบกขรณีเล็กๆ ย่อมเกิดในมหาสมุทรที่ลึกได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์เท่านั้นฉันใด. พระยาครุฑใหญ่ ๑๕๐ โยชน์ย่อมไม่อาศัยอยู่ในป่ามีป่าละหุ่งเป็นต้น ที่ใกล้ประตูบ้าน แต่บินข้ามมหาสมุทรแล้ว อาศัยอยู่ในสิมพลิทหวันเท่านั้นฉันใด. พระยาหงส์ทองธตรัฏฐะไม่อาศัยอยู่ในที่ทั้งหลาย มีบ่อน้ำเป็นต้นที่ใกล้ประตูบ้าน แต่มีหงส์ ๙๐,๐๐๐ ตัวเป็นบริวารอาศัยอยู่ในภูเขาจิตตกูฏบรรพตเท่านั้นฉันใด. และพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่ในทวีปทั้งสี่ ย่อมไม่เกิดในตระกูลต่ำ แต่ย่อมเกิดในตระกูลกษัตริย์ที่ไม่เจือปนเท่านั้นฉันใด. ในสมณะเหล่านี้ แม้สมณะหนึ่ง ก็ไม่เกิดในลัทธิของอัญญเดียรถีย์ แต่ย่อมเกิดในพระพุทธศาสนาซึ่งแวดล้อมด้วยอริยมรรคเท่านั้นฉันนั้นเหมือนกัน.
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น ฯลฯ ลัทธิของศาสดาอื่นว่างเปล่าจากสมณะทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึง ดังนี้.
               บทว่า สมฺมา ในบทว่า สมฺมา สีหนาทํ นทถ นั้น ได้แก่ โดยเหตุ โดยนัย โดยการณ์.
               บทว่า สีหนาทํ คือ การบันลือที่ประเสริฐที่สุด คือการบันลือที่ไม่น่ากลัว การบันลือที่ไม่ติดขัด. ก็เพราะความที่สมณะสี่เหล่านี้มีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น การบันลือนี้เป็นการบันลือสูงสุด ชื่อว่าการบันลือที่ประเสริฐที่สุด. การบันลือของภิกษุผู้กล่าวว่า สมณะเหล่านี้มีในศาสนานี้เท่านั้น ชื่อว่าการบันลือที่ไม่น่ากลัว เพราะภัยหรือความหวาดระแวงจากที่อื่นไม่มี. การบันลือนี้ว่าสมณะเหล่านี้มีอยู่ในศาสนาแม้ของพวกเรา ชื่อว่าการบันลือไม่ติดขัด เพราะความที่บรรดาเจ้าลัทธิทั้งหลายมีปูรณะเป็นต้น แม้คนหนึ่งก็ไม่สามารถเพื่อจะลุกขึ้นกล่าวได้.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า สีหนาทํ คือ การบันลือที่ประเสริฐที่สุด คือการบันลือที่ไม่น่ากลัว การบันลือที่ไม่ติดขัด ดังนี้.
               บทว่า ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ความว่า ก็การณ์นี้แลมีอยู่.
               บทว่า ยํ อญฺญติตฺถิยา คือ พวกอัญญเดียรถีย์ โดยการณ์ใด.
               อนึ่ง พึงทราบติตถะ พึงทราบติตถกร พึงทราบเดียรถีย์ พึงทราบติตถิยสาวกในที่นี้.
               ทิฏฐิ ๖๒ อย่าง ชื่อว่าติตถะ. ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมข้ามย่อมลอยไป ย่อมกระทำการผุดขึ้นดำลงในท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ติตถะ แปลว่า เป็นที่ข้ามของสัตว์ทั้งหลาย. ความที่ให้ทิฏฐิเหล่านั้นเกิดขึ้น ชื่อว่าติตถกร แปลว่า เจ้าลัทธิ. ผู้ถือลัทธิของเจ้าลัทธินั้นแล้วบวช ชื่อว่าเดียรถีย์. ผู้ให้ปัจจัยแก่เดียรถีย์เหล่านั้น พึงทราบว่า ติตถิสาวก แปลว่า สาวกของเดียรถีย์. ผู้ที่ละความผูกพันทางฆราวาสแล้ว ถึงการบวชชื่อว่าปริพาชก. ที่พึ่ง การดำรง การบำรุง ชื่อว่า อัสสาสะ. เรี่ยวแรงชื่อว่าพละ.
               บทว่า เยน ตุมฺเห ความว่า พวกเธอจงกล่าวอย่างนี้ด้วยอัสสาสะหรือพละใด. ในบทนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการอันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วมีอยู่ ดังนี้ มีเนื้อความโดยย่อดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นใดบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัส กำจัดกิเลสทั้งปวง ตรัสรู้โดยชอบยิ่งซึ่งสัมมาสัมโพธิอันยวดยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นผู้รู้อาสยานุสัยของสัตว์เหล่านั้นๆ ผู้เห็นธรรมที่ควรรู้ทั้งหมด เหมือนมะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือฉะนั้น.
               อนึ่ง ทรงรู้ด้วยญาณทั้งหลายมีปุพเพนิวาสญาณเป็นต้น ทรงเห็นด้วยทิพยจักษุ. อนึ่ง ทรงรู้ด้วยวิชชา ๓ หรืออภิญญา ๖ ทรงเห็นด้วยสมันตจักษุอันไม่ติดขัดในที่ทั้งปวง. ทรงรู้ด้วยปัญญาอันสามารถที่จะรู้ธรรมทั้งปวง ทรงเห็นรูปทั้งหลายที่ล่วงจักษุวิสัยของสัตว์ทั้งปวง หรือที่อยู่ในกำแพงเป็นต้นด้วยมังสจักษุอันหมดจดยิ่ง ทรงรู้ด้วยปฏิเวธปัญญาอันเป็นปทัฏฐานแห่งสมาธิอันยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ ทรงเห็นด้วยเทศนาปัญญา อันเป็นปทัฏฐานแห่งกรุณา อันยังประโยชน์คนอื่นให้สำเร็จ.
               ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะความที่กิเลสอันเป็นข้าศึกทั้งหลายทรงละได้แล้ว และเพราะความที่พระองค์เป็นผู้สมควรแก่ปัจจัยเป็นต้น. ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะความที่สัจจะทั้งหลายอันพระองค์ตรัสรู้แล้วโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง.
               อนึ่ง ทรงรู้ธรรมอันประกอบด้วยอันตรายทั้งหลาย ทรงเห็นธรรมอันเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ทั้งหลาย
               ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะความที่ข้าศึกคือกิเลสทั้งหลายอันพระองค์ละได้แล้ว. ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะความที่ธรรมทั้งปวงอันพระองค์ตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง อันมหาชนชมเชยแล้วด้วยอาการ ๔ ด้วยสามารถแห่งเวสารัชชะ ๔ ได้ตรัสธรรม ๔ ด้วยประการฉะนี้. พวกเราใดเห็นธรรมเหล่านี้ในตน จงกล่าวอย่างนี้ จงอย่ากล่าวถึงการบำรุงช่วยเหลือ หรือกำลังกายของพระราชาและราชมหาอำมาตย์เป็นต้น.
               บทว่า สตฺถริ ปสาโท ได้แก่ ความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแก่ผู้ระลึกถึงพุทธคุณโดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
               บทว่า ธมฺเม ปสาโท ได้แก่ ความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแก่ผู้ระลึกถึง โดยนัยมีอาทิว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว.
               บทว่า สีเลสุ ปริปูรการิตา คือ ความเป็นผู้กระทำบริบูรณ์ในศีลทั้งหลายอันพระอริยเจ้าใคร่แล้ว. ศีลห้า ชื่อว่าอริยกันตศีล.
               จริงอยู่ พระอริยสาวกแม้อยู่ในระหว่างภพ แม้เมื่อไม่รู้ความที่ตนเป็นพระอริยเจ้า ก็ไม่ล่วงละเมิดศีลห้าเหล่านั้น ถ้าจะมีใครพึงกล่าวกะอริยสาวกนั้นว่า ขอให้ท่านรับเอาราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งสิ้นนี้แล้ว จงปลงแมลงวันตัวเล็กจากชีวิตดังนี้. ข้อที่พระอริยสาวกจะพึงทำตามคำของผู้นั้นนั้นไม่เป็นฐานะจะมีได้. ศีลทั้งหลายเป็นที่ใคร่ คือเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้าทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. ทรงหมายถึงศีลเหล่านั้น จึงตรัสว่า ความเป็นผู้ทำบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ดังนี้.
               บทว่า สหธมฺมิกา โข ปน ได้แก่ ผู้มีปกติประพฤติธรรมร่วมกัน ๗ พวกนั่นคือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา.
               จริงอยู่ ในสหธรรมจารีเหล่านั้น ภิกษุ ชื่อว่าประพฤติธรรมร่วมกับภิกษุทั้งหลาย เพราะความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน ภิกษุณีก็ประพฤติธรรมร่วมกับภิกษุณีทั้งหลายเช่นเดียวกัน ฯลฯ อุบาสิกาก็ประพฤติธรรมร่วมกับอุบาสิกาทั้งหลาย พระโสดาบันก็ประพฤติธรรมร่วมกับพระโสดาบันทั้งหลาย พระสกทาคามี ฯลฯ พระอนาคามีก็ประพฤติธรรมร่วมกับพระอนาคามีทั้งหลาย เพราะฉะนั้น สหธรรมจารีเหล่านั้นทั้งหมดแล เรียกว่าสหธัมมิก.
               อนึ่ง ในที่นี้ ท่านประสงค์พระอริยสาวกอย่างเดียว. เพราะพระอริยสาวกเหล่านั้นไม่มีความวิวาทในการเห็นมรรคแม้ในระหว่างแห่งภพ เพราะฉะนั้น พระอริยสาวกเหล่านั้นจึงชื่อว่าสหธัมมิก เพราะมีปกติประพฤติธรรมอันเดียวกันโดยแท้. ท่านแสดงความเลื่อมใสที่เกิดแก่ผู้ระลึกถึงพระสงฆ์โดยนัยมีอาทิว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดี ด้วยบทนี้. องค์ทั้งหลายแห่งพระโสดาบันสี่เป็นอันท่านแสดงแล้ว ด้วยประการเพียงนี้.
               บทว่า อิเม โข โน อาวุโส ความว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ธรรมสี่เหล่านี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นตรัสว่า เป็นความมั่นใจและเป็นกำลังของพวกเรา. พวกเราใดเล็งเห็นธรรมเหล่านี้ในตน จงกล่าวอย่างนี้.
               ปริพาชกแสดงอ้างศาสดาทั้งหกมีปูรณกัสสปเป็นต้น ด้วยบทนี้ว่า ผู้ใดเป็นศาสดาของพวกเรา. ก็บัดนี้ มีความรักอันอาศัยเรือนว่า อาจารย์ของพวกเรา อุปัชฌาย์ของพวกเราในบุคคลทั้งหลายมีอาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้นในศาสนา โดยประการใด ปริพาชกกล่าวว่า ความเลื่อมใสในศาสดา หมายถึงความรักเห็นปานนั้น.
               ก็พระเถระกล่าวว่า เพราะพระศาสดาไม่ใช่เป็นของคนเดียว ไม่ใช่เป็นของสองคน แต่เป็นพระศาสดาพระองค์เดียวเท่านั้นของโลกพร้อมกับเทวโลก เพราะฉะนั้น เดียรถีย์ทั้งหลายได้แบ่งศาสดาออกเป็นแผนก ด้วยบทเดียวเท่านั้นว่า ศาสดาของพวกเราเป็นอันพลาดแล้ว แพ้แล้วด้วยบทนี้เทียว ดังนี้.
               ก็ในบทว่า ธมฺเม ปสาโท นี้ ปริพาชกทั้งหลายสำคัญว่า ทีฆนิกายของพวกเรา มัชฌิมนิกายของพวกเราในศาสนาในบัดนี้ฉันใด ย่อมกล่าวหมายถึงความรักอันอาศัยเรือนในปริยัติธรรมของตนๆ ฉันนั้น.
               บทว่า สีเลสุ คือ ในศีลทั้งหลายมีศีลแพะ ศีลโค ศีลแกะและศีลสุนัขเป็นต้น. ปริพาชกทั้งหลายกล่าวหมายถึงความเลื่อมใสว่า อิธ ในบทนี้ว่า อิธ โน อาวุโส ดังนี้
               บทว่า โก อธิปฺปาโย ได้แก่ การประกอบข้อประสงค์อะไร.
               บทว่า ยทิทํ ความว่า ปริพาชกทั้งหลายเป็นผู้มีธุระเสมอกันดำรงอยู่ด้วยถ้อยคำว่า ท่านพึงกล่าวข้อที่กระทำให้ต่างกันระหว่างของพวกท่านและของพวกเรานี้ใด ข้อนั้นเป็นความเลื่อมใสในฐานสี่แม้ของพวกท่าน ชื่อไร ก็เป็นความเลื่อมใสในฐานเดียวกันกับของพวกเราด้วยมิใช่หรือ พวกท่านและพวกเราเป็นเช่นกับพวกเดียวกัน ดุจทองคำที่แตกออกเป็น ๒ ส่วนแล้ว ฉะนั้น.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำลายความเป็นผู้มีธุระเสมอกันนั้นของปริพาชกเหล่านั้น จึงตรัสว่า เอวํ วาทิโน ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกา นิฏฺฐา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงถามอย่างนี้ว่า ความสำเร็จอันเป็นที่สุดแห่งความเลื่อมใสนั้นใด ความสำเร็จนั้นมีอย่างเดียวหรือมีมากอย่าง. ก็เพราะชื่อผู้บัญญัติความสำเร็จในลัทธินั้นๆ ไม่มี อสัญญีภพจึงถูกกำหนดอย่างนี้ว่า ก็พรหมโลกเป็นของพวกพราหมณ์ ความสำเร็จ คือความดับมีอย่างเดียว อาภัสสราเป็นของพวกดาบส สุภกิณหาเป็นของพวกปริพาชก โดยที่สุดเป็นของพวกอาชีวก. ก็อรหัตคือความสำเร็จในศาสนานี้. ก็พวกปริพาชกเหล่านั้นทั้งหมดย่อมกล่าวว่า อรหัตเท่านั้นคือความสำเร็จ.
               อนึ่ง ย่อมบัญญัติโลกทั้งหลายมีพรหมโลกเป็นต้นด้วยอำนาจทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จึงบัญญัติความสำเร็จมีอย่างเดียวเท่านั้นด้วยอำนาจแห่งลัทธิของตนๆ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงความสำเร็จนั้น จึงตรัสว่า เมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ ดังนี้เป็นต้น.
               บัดนี้ ครั้นเมื่อความสำเร็จ ๒ อย่างคือ ความสำเร็จมีอย่างเดียวในศาสนานี้ สำหรับภิกษุทั้งหลายด้วยความสำเร็จมีอย่างเดียว สำหรับเดียรถีย์ทั้งหลายด้วย ดำรงอยู่เหมือนลูกความทั้งหลายฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงวัตรแห่งการประกอบเนืองๆ จึงตรัสว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้มีราคะ หรือของผู้ปราศจากราคะ ดังนี้เป็นต้น. ในที่นี้ เพราะธรรมดาความสำเร็จของผู้มีกิเลสทั้งหลายมีผู้อันราคะย้อมเป็นต้นไม่มี เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพยากรณ์โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ความสำเร็จนั้นเป็นของผู้ปราศจากราคะแก่เดียรถีย์ทั้งหลาย ผู้เห็นโทษนี้ว่า ผิว่าแม้สุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้นจะพึงมีไซร้ ก็จะพึงมี ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิทฺทสุโน ได้แก่ บัณฑิต.
               บทว่า อนุรุทฺธปฏิวิรุทฺธสฺส ได้แก่ ผู้ยินดีด้วยราคะ ผู้ยินร้ายด้วยความโกรธ.
               ในบทว่า ปปญฺจารามสฺส ปปญฺจรติโน นั้น สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในความเนิ่นช้านั้น เพราะฉะนั้น ความเนิ่นช้านั้นจึงชื่อว่า อาราโม เป็นที่มายินดี. ความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดีของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่า ปปญฺจาราโม แปลว่าผู้มีความเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี. ความยินดีในความเนิ่นช้าของบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่า ปปญฺจรตี ผู้ยินดีในความเนิ่นช้า.
               บทว่า ปปญฺโจ นั้น เป็นชื่อของตัณหาทิฏฐิและมานะ อันเป็นไปแล้วโดยความเป็นอาการของผู้มัวเมาและผู้ประมาทแล้ว. ก็ในที่นี้ ท่านประสงค์เฉพาะตัณหาและทิฏฐิเท่านั้น. กิเลสอย่างเดียวเท่านั้นมาแล้วในฐานะ ๕ ว่าของผู้มีราคะเป็นต้น พึงทราบอาการและความเป็นต่างๆ ของกิเลสนั้น.
               ก็ท่านถือเอากิเลสด้วยอำนาจราคะที่เจือด้วยกามคุณห้าในที่ท่านกล่าวว่า สราคสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอำนาจภวตัณหาในบทว่า สตณฺหสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอำนาจการยึดถือในบทว่า สอุปาทานสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอำนาจคู่ในบทว่า อนุรุทฺธปฏิวิรุทฺธสฺ. ถือเอากิเลสด้วยอำนาจการแสดงความเกิดขึ้นของกิเลสเครื่องเนิ่นช้าในบทว่า ปปญฺจรามสฺส.
               อีกอย่างหนึ่ง ถือเอากิเลสด้วยอำนาจอกุศลมูลในบทนี้ว่า สราคสฺส. ถือเอากิเลสด้วยอำนาจอุปาทาน เพราะตัณหาเป็นปัจจัยในบทนี้ว่า สตณฺหสฺส.
               บทที่เหลือก็เช่นกับบทก่อนนั้นเทียว.
               ก็พระเถระกล่าวว่า ท่านจงกำจัดอย่างนี้ เพราะเหตุไร
               เพราะโลภตัวเดียวนี้เท่านั้นกล่าวว่า ราคะ ด้วยอำนาจแห่งความยินดี. ก็ชื่อว่าตัณหา ด้วยอำนาจการกระทำความทะยานอยาก. ชื่อว่าอุปาทาน ด้วยอรรถว่ายึดถือ. ชื่อว่าความยินดีและความยินร้าย ด้วยอำนาจคู่. ชื่อว่าปปัญจะ ด้วยอรรถว่าเกิดขึ้นแห่งกิเลสเครื่องเนิ่นช้า.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงทิฏฐิวาทะอันเป็นรากเหง้าของกิเลสเหล่านี้ จึงตรัสว่า เทฺวมา ภิกฺขเว ทิฏฺฐิโย ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภวทิฏฺฐิ ได้แก่ ความเห็นว่าเที่ยง.
               บทว่า วิภวทิฏฺฐิ ได้แก่ ความเห็นว่าขาดสูญ.
               บทว่า ภวทิฏฺฐิ อลฺลีนา ความว่า ผู้แอบอิง ความเห็นว่าเที่ยงด้วยอำนาจตัณหาทิฏฐิ.
               บทว่า อุปคตา ความว่า เข้าถึงด้วยอำนาจตัณหาทิฏฐิเทียว.
               บทว่า อชฺโฌสิตา ความว่า ตามเข้าไปด้วยอำนาจตัณหาทิฏฐินั้นเทียว.
               บทว่า วิภวทิฏฺฐิยา เต ปฏิวิรุทฺธา ความว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้ยินร้ายว่า พวกท่านโง่เขลาพร้อมด้วยผู้กล่าวว่าขาดสูญ ไม่รู้ว่า โลกนี้เที่ยง โลกนี้ไม่ขาดสูญ ขวนขวายในการทะเลาะเป็นนิตย์อยู่. แม้ในวาระที่สอง ก็นัยนี้เหมือนกัน.
               ในบทมีว่า สมุทยญฺจ เป็นต้น แดนเกิดของทิฏฐิทั้งหลายมีสองอย่าง คือ ขณิกสมุทัย ๑ ปัจจสมุทัย ๑.
               ความเกิดของทิฏฐิทั้งหลาย ชื่อว่าขณิกสมุทัย ฐานะที่ตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทิฏฐิทั้งหลาย ชื่อว่าปัจจสมุทัย.
               อย่างไร.
               คือ ขันธ์ก็ดี อวิชชาก็ดี ผัสสะก็ดี สัญญาก็ดี วิตกก็ดี อโยนิโสมนสิการก็ดี ปาปมิตรก็ดี เสียงกึกก้องอย่างอื่นก็ดี จัดเป็นทิฏฐิฐานะ. ขันธ์ทั้งหลายเป็นเหตุ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้นของทิฏฐิทั้งหลาย เพราะอรรถว่าตั้งขึ้นพร้อม. แม้ขันธ์ทั้งหลายชื่อว่าทิฏฐิฐานะ ด้วยประการฉะนี้.
               อวิชชา ผัสสะ สัญญา วิตก อโยนิโสมนสิการ ปาปมิตร เสียงกึกก้องฝ่ายอื่น เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความเกิดขึ้นของทิฏฐิทั้งหลาย เพราะอรรถว่าตั้งขึ้นพร้อม. แม้เสียงกึกก้องฝ่ายอื่น ชื่อว่าทิฏฐิฐานะ ด้วยประการฉะนี้.
               แม้การตั้งอยู่ไม่ได้มีสองอย่างเท่านั้น คือ ขณิกัตถังคมะ ๑ ปัจจัยตถังคมะ ๑.
               ความสิ้น ความเสื่อม ความแตก ความสลาย ความไม่เที่ยง ความหายไป ชื่อว่าขณิกัตถังคมะ.
               โสดาปัตติมรรค ชื่อปัจจยัตถังคมะ. ก็โสดาปัตติมรรค ท่านกล่าวว่า ทำลายพร้อมซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย.
               บทว่า อสฺสาทํ คือ กล่าวหมายถึงอานิสงส์อันมีทิฏฐิเป็นมูล.
               อธิบายว่า พระศาสดาทรงมีทิฏฐิใด สาวกทั้งหลายก็เป็นผู้มีทิฏฐินั้น สาวกทั้งหลายย่อมสักการะ เคารพ นับถือ บูชาย่อมได้พระศาสดาทรงมีทิฏฐิใด ทิฏฐินั้นเป็นต้นเหตุแห่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย เภสัชและบริขารทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ที่ประกอบด้วยทิฏฐธรรมแห่งทิฏฐิ.
               บทว่า อาทีนวํ ได้แก่ อุปัททวะซึ่งมีการยึดถือทิฏฐิเป็นมูล.
               อาทีนพนั้น พึงทราบด้วยอำนาจแห่งวัตรทั้งหลายมีอาทิว่า วัคคุลิวัตร อุกกุฏิกปธานะ กัณฏกาปัสสยตา ปัญจาตปตัปปนะ มรุปปปาตปตนะ เกสมัสสุโลจนะ อัปปาณกฌาน.
               บทว่า นิสฺสรณํ ได้แก่ นิพพาน ชื่อว่าสลัดออกซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย.
               บทว่า ยถาภูตํ นปฺปชานนฺติ ความว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดไม่รู้สมุทัยเป็นต้นนั้นทั้งหมด ตามสภาวะ.
               บทว่า น ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมา ความว่า ไม่หลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ทั้งสิ้น. ด้วยบทนี้ ทรงแสดงว่า ชื่อว่า ความสำเร็จของสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นไม่มี.
               บทว่า ปริมุจฺจนฺติ ทุกฺขสฺมา ความว่า ย่อมหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์ทั้งสิ้น. ด้วยบทนี้ ทรงตั้งไว้ซึ่งความสำเร็จมีในศาสนาเท่านั้น ดุจทรงตัดสินคดีของลูกความทั้งสองว่า ความสำเร็จของสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น มีอยู่ ดังนี้.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงการตัดทิฏฐิ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทาน ๔ อย่างเหล่านี้เป็นต้น.
               กถาว่าด้วยความพิสดารของอุปาทานเหล่านั้น ได้กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นเทียว.
               บทว่า สพฺพูปาทานปริญฺญาวาทา ปฏิชานมานา ความว่า ปฏิญาณอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายย่อมกล่าวความรอบรู้ คือความก้าวล่วงอุปาทานทุกอย่าง.
               บทว่า น สมฺมา สพฺพูปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญเปนฺติ ความว่า ย่อมไม่บัญญัติการก้าวล่วงอุปาทานทุกอย่างโดยชอบ. บางพวกบัญญัติความรอบรู้เพียงกามุปาทานเท่านั้น บางพวกบัญญัติความรอบรู้เพียงทิฏฐุปาทาน บางพวกบัญญัติความรอบรู้แม้เพียงสีลัพพตุปาทาน. แต่ผู้ชื่อว่าบัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทานไม่มี.
               ก็เมื่อจะทรงแสดงการจำแนกอุปาทานเหล่านั้น จึงตรัสว่า บัญญัติความรอบรู้กามุปาทานดังนี้เป็นต้น. ในอุปาทานเหล่านั้น สมณพราหมณ์แม้ทั้งหมดบัญญัติความรอบรู้กามุปาทานเท่านั้น.
               ก็แม้ความเห็นนอกรีตนอกรอย ๙๖ ประการ ก็คือ กามแลอันบรรพชิตไม่พึงเสพ เพราะฉะนั้น สมณพราหมณ์จึงไม่บัญญัติว่าผู้เสพวัตถุ ย่อมควรกระทำให้เป็นอกัปปิยเท่านั้นแล้ว จึงบัญญัติ. ก็บุคคลเหล่าใดเสพ บุคคลเหล่านั้นเสพโดยไถยจิต. เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ย่อมบัญญัติความรอบรู้กามุปาทาน ดังนี้.
               เพราะสมณพราหมณ์ถือว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล ดังนี้เป็นต้นเที่ยวไป ย่อมถือว่าความบริสุทธิ์ด้วยศีล ความบริสุทธิด้วยวัตร ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ด้วยภาวนา ชื่อว่าไม่สละอัตตูปลัทธิ เพราะฉะนั้น จึงไม่บัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน อัตตวาทุปาทาน.
               บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ ความว่า การไม่บัญญัตินั้นเป็นเหตุไร แห่งอุปาทานเหล่านั้น คือเพราะเหตุไร.
               บทว่า อิมานิ หิ เต โภนฺโต ความว่า เพราะสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่รู้การณ์ ๓ อย่างนี้ตามสภาวะ.
               ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดย่อมรู้ตามสภาวะในบทนั้นว่า เหตุแห่งการบัญญัติความรอบรู้สองอย่าง คือทิฏฐิและสีลัพพตะนั้นพึงละ ทรงหมายถึงสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงตรัสวาระสองอย่างไว้ข้างหน้า.
               บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดถือว่าทานที่ให้แล้วมีผลดังนี้เป็นต้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติความรอบรู้ทิฏฐุปาทาน.
               ส่วนเหล่าใดถือว่าความบริสุทธิด้วยศีล ความบริสุทธิด้วยวัตร ความบริสุทธิด้วยภาวนาเหล่านั้น ย่อมบัญญัติความรอบรู้แม้สีลัพพตุปาทาน. แต่แม้ผู้หนึ่งไม่อาจเพื่อบัญญัติความรอบรู้อัตตวาทุปาทานข้างหน้า. ก็เดียรถีย์ทั้งหลายผู้ได้สมาบัติแปดก็ดี ผู้เอามือลูบคลำพระจันทร์และพระอาทิตย์อยู่ก็ดี ย่อมบัญญัติความรอบรู้ ๓ อย่าง. แต่ไม่อาจเพื่อจะเปลื้องอัตตวาทะได้ เพราะฉะนั้น จึงตกอยู่ในวัฏฏะบ่อยๆ นั้นเทียว.
               ก็เดียรถีย์เหล่านั้นก็เหมือนกระต่ายรังเกียจแผ่นดิน. อุปมาเกี่ยวกับการสนทนาเนื้อเรื่องในที่นี้ดังนี้.
               ได้ยินว่า แผ่นดินกล่าวกะกระต่ายว่า แน่ะกระต่าย. กระต่ายพูดว่า นั้นใคร.
               แผ่นดิน. เจ้าสำเร็จอิริยาบถทั้งหมด ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะบนเราเทียว ทำไมจึงไม่รู้เรา.
               กระต่าย ท่านเห็นเราด้วยดี ก็ที่อันเราเหยียบเป็นเหมือนที่ถูกต้องด้วยปลายนิ้ว น้ำที่ปล่อยออกมาก็มีประมาณน้อย กรีสก็เพียงเมล็ดตุมกา แต่แม้ที่อันช้างและม้าเป็นต้นเหยียบแล้วเป็นที่ใหญ่ แม้ปัสสาวะของสัตว์เหล่านั้นประมาณเต็มหม้อ อุจจาระก็ประมาณกระเช้า เราพอละกับท่าน จึงกระโดดไปอยู่ในที่อื่น.
               แต่นั้นแผ่นดินกล่าวกะกระต่ายนั้นว่า โอ ถึงเจ้าไปไกล เจ้าก็อยู่บนเราแล้ว มิใช่หรือ.
               กระต่ายนั้นเกลียดแผ่นดินนั้นอีก จึงกระโดดไปอยู่ในที่อื่น. กระต่ายกระโดดแล้วกระโดดอีกอยู่แม้พันปีอย่างนี้ ก็ไม่อาจพ้นแผ่นดินได้ เดียรถีย์ทั้งหลายก็เหมือนอย่างนั้น แม้บัญญัติความรอบรู้อุปาทานทุกอย่าง ก็ย่อมบัญญัติการก้าวล่วงอุปาทาน ๓ อย่างมีกามูปทานเป็นต้นเท่านั้น. แต่ไม่อาจเพื่อจะพ้นอัตตวาทะได้ เมื่อไม่อาจจึงตกอยู่ในวัฏฏบ่อยๆ นั้นเทียว. ด้วยประการฉะนี้. เดียรถีย์ทั้งหลายไม่อาจเพื่อก้าวล่วงอุปาทานใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวาทะที่ตัดขาดทิฏฐิ ด้วยอำนาจแห่งอุปาทานนั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงวาทะอันตัดความเลื่อมใส จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยเห็นปานนี้แล ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมวินเย ได้แก่ ในธรรมและวินัย. ทรงแสดงศาสนาซึ่งไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ ด้วยบทแม้ทั้งสอง.
               บทว่า โย สตฺถริ ปสาโท โส น สมฺมคฺคโต ความว่า ก็ศาสดาในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ ทำกาละแล้ว เป็นสีหะบ้าง เสือโคร่งบ้าง เสือเหลืองบ้าง หมีบ้าง เสือดาวบ้าง. ส่วนสาวกทั้งหลายของศาสดานั้น เป็นเนื้อบ้าง สุกรบ้าง กระต่ายบ้าง. มันไม่ทำความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูว่า สัตว์เหล่านี้เคยเป็นอุปัฏฐากผู้ให้ปัจจัยแก่เรา ฆ่าสัตว์เหล่านั้นแล้ว ดูดเลือดบ้าง กินเนื้อสันทั้งหลายบ้าง.
               ก็อีกประการหนึ่ง ศาสดาเกิดเป็นแมว สาวกทั้งหลายเป็นไก่หรือหนู. ลำดับนั้น แมวก็จะไม่ทำความอนุเคราะห์ย่อมกินไก่หรือหนูเหล่านั้นโดยนัยกล่าวแล้วนั้นเทียว.
               อนึ่ง ศาสดาเป็นนายนิรยบาล สาวกทั้งหลายเป็นสัตว์นรก. นายนิรยบาลนั้นจะไม่ทำความอนุเคราะห์ว่า สัตว์เหล่านี้เคยให้ปัจจัยแก่เรา ย่อมทำกรรมกรณ์ต่างๆ ใส่ในรถที่ร้อนจัดบ้าง ให้ขึ้นภูเขาไฟบ้าง ทิ้งศีรษะลงในหม้อโลหะบ้าง ประกอบด้วยทุกขธรรมหลายอย่างบ้าง.
               ก็หรือสาวกทั้งหลายตายไปเป็นสัตว์มีสีหะเป็นต้น ศาสดาเป็นสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งมีเนื้อเป็นต้น. สัตว์เหล่านั้นไม่ทำความอดทน หรือความหวังดี หรือความเอ็นดูในสัตว์นั้นว่า เราเคยอุปัฏฐากสัตว์นี้ด้วยปัจจัยสี่ สัตว์นี้เคยเป็นศาสดาของพวกเราดังนี้ ย่อมให้ถึงความพินาศโดยนัยกล่าวแล้วนั้นเทียว. ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ด้วยประการฉะนี้ ความเลื่อมใสในศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้นไม่ไปแล้วโดยชอบ แม้ไปสู่กาละอย่างไรแล้ว จะพินาศในภายหลังนั้นเทียว.
               บทว่า โย ธมฺเม ปสาโท ความว่า ก็ธรรมดาความเลื่อมใสในตันติธรรม ในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ เป็นความเลื่อมใสในตันติธรรม เพียงเรียน เล่าเรียน ทรงไว้และบอกแล้ว แต่ความพ้นจากวัฏฏะไม่มีในความเลื่อมใสนั้น เพราะฉะนั้น ความเลื่อมใสในธรรมนั้นใด ความเลื่อมใสนั้นรังแต่จะทำวัฏฏะให้ลึกบ่อยๆ เพราะฉะนั้น เรากล่าวว่าไม่ไปแล้วโดยชอบ คือไม่ไปแล้วโดยสภาวะ.
               บทว่า ยา สีเลสุ ปริปูรการิตา ความว่า ความกระทำให้บริบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งศีลทั้งหลายมีศีลแพะเป็นต้น ในศาสนาที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์แม้ใด ความกระทำให้บริบูรณ์แม้นั้น ไม่ยังให้ถึงความพ้นจากวัฏฏะ คือความสลัดออกจากภพได้ แต่เมื่อถึงพร้อม ย่อมนำมาสู่กำเนิดเดียรัจฉาน เมื่อให้ผลย่อมนำมาสู่นรก เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กล่าวว่าไปแล้วโดยชอบ.
               บทว่า ยา สหธมฺมิเกสุ ความว่า ก็ในศาสนาอันไม่เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ หมู่สหธรรมิกบางพวกทำกาละแล้ว เป็นสัตว์แม้มีสีหะเป็นต้น บางพวกเป็นสัตว์มีเนื้อเป็นต้น ในสัตว์เหล่านั้น พวกที่เป็นสัตว์มีสีหะเป็นต้น ไม่ทำกิจมีความอดทนเป็นต้น ในสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเนื้อเป็นต้นว่า สัตว์เหล่านี้เป็นสหธรรมิกของพวกเราดังนี้แล้ว ยังมหาทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลายมีเนื้อเป็นต้นเหล่านั้น โดยนัยกล่าวแล้วในบทก่อนนั้นเทียว เพราะฉะนั้น แม้ความเป็นที่รักและน่าพอใจในหมู่สหธรรมิกนั้น เราจึงกล่าวว่าไม่ไปแล้วโดยชอบ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงประเภทแห่งการณ์แม้ทั้งหมดนี้รวมกัน จึงตรัสว่า ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อนั้น ดังนี้เป็นต้น. ความสังเขปในบทนั้น ดังนี้.
               บทว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะข้อที่เรากล่าวว่าความเลื่อมใสในศาสดาใด ไม่ไปแล้วโดยชอบนั้นย่อมเป็นอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้นนั้น ย่อมเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุอะไร เพราะความเลื่อมใสเป็นต้นเหล่านั้น ในธรรมวินัยที่ศาสดากล่าวชั่วแล้ว ฯลฯ มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้.
               ก็ในบทนั้น บทว่า ยถาตํ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูรกฺขาเต ได้แก่ กล่าวไว้ไม่ดี.
               ชื่อว่าประกาศไม่ดีแล้ว เพราะความที่ธรรมวินัยนั้นกล่าวไว้ไม่ดีนั้นเทียว.
               ก็ธรรมวินัยนี้นั้นย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่มรรคและผล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อนิยฺยานิโก แปลว่า ไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์.
               ชื่อว่าไม่เป็นไปเพื่อความสงบ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความสงบกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่าไม่ใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้ เพราะอันผู้รู้เองโดยชอบ คือสัพพัญญู ไม่ประกาศไว้. ในธรรมวินัยนั้น มิใช่สภาพนำออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ มิใช่อันผู้รู้เองโดยชอบประกาศไว้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ความเลื่อมใสในเดียรถีย์ทั้งหลายไร้ประโยชน์ ดุจความเลื่อมใสในสุนัขจิ้งจอกดื่มสุราฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.
               ได้ยินว่า สุนัขจิ้งจอกตาบอดข้างเดียวตัวหนึ่งเข้าสู่นครในกลางคืน กินส่าสุราแล้วนอนหลับในป่าบุนนาค ตื่นขึ้นในเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้วคิดว่า เราไม่อาจไปในเวลานี้ได้ สัตว์ที่เป็นเวรกับเรามีมาก สมควรหลอกลวงคนหนึ่งดังนี้.
               สุนัขจิ้งจอกนั้นเห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งเดินไป จึงคิดว่าเราจักหลอกลวงพราหมณ์นี้ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านพราหมณ์. พราหมณ์พูดว่า นั่นใครเรียกพราหมณ์. สุนัขจิ้งจอกตอบว่า เรา นาย ท่านจงมานี้ก่อน.
               พราหมณ์. อะไรนาย.
               สุนัขจิ้งจอก. ท่านจงนำเราไปนอกบ้าน เราจักให้กหาปณะสองร้อยแก่ท่าน.
               พราหมณ์นั้นพูดว่า เราจักนำไป แล้วจับที่เท้าทั้งหลาย.
               สุนัขจิ้งจอกพูดว่า แน่ะพราหมณ์โง่ เราไม่มีกหาปณะทอดทิ้งไว้ กหาปณะเป็นของหาได้ยาก เจ้าจงจับเราดีๆ.
               พราหมณ์. เราจะจับอย่างไร นาย.
               สุนัขจิ้งจอก. ท่านจงเอาผ้าห่มสะพายเราแล้วจับ.
               พราหมณ์จับสุนัขจิ้งจอกอย่างนั้น แล้วไปสู่สถานใกล้ที่ประตูทางทิศใต้ แล้วถามว่า เราจักปล่อยในที่นี้.
               สุนัขจิ้งจอก. นั่นที่ไหน.
               พราหมณ์. นั่นประตูใหญ่.
               สุนัขจิ้งจอก. เอ้ย พราหมณ์โง่ ญาติของท่านเก็บกหาปณะไว้ในภายในประตูหรือ จงนำเราไปที่อื่น.
               พราหมณ์นั้นค่อยๆ ไปพลางถามว่า เราจักปล่อยที่นี้ๆ ถูกสุนัขจิ้งจอกคุกคามแล้วบอกว่า ท่านจงไปที่ปลอดภัยแล้ว ปล่อยในที่นั้น ดังนี้แล้วปล่อยไป ถือผ้าสาฎก. กาณสิงคาลกล่าวว่า เราได้พูดไว้ว่า เราจักให้กหาปณะสองร้อยแก่ท่าน แต่เรามีกหาปณะมาก ไม่ใช่มีเพียงสองร้อยกหาปณะเท่านั้น ท่านจงยืนดูพระอาทิตย์จนกว่าเราจะนำกหาปณะทั้งหลายมาให้ท่านแล้วค่อยๆ ไป กลับมาพูดกะพราหมณ์อีกว่า ท่านพราหมณ์ ท่านอย่ามองดูแต่ที่นี้ จงยืนมองดูพระอาทิตย์อย่างเดียว.
               ก็แลสุนัขจิ้งจอก ครั้นพูดอย่างนี้แล้ว ก็เข้าไปสู่ป่าการะเกต หนีไปตามชอบใจ.
               ฝ่ายพราหมณ์มองดูพระอาทิตย์นั้นเทียว จนเหงื่อไหลออกจากหน้าผาก และรักแร้.
               ลำดับนั้น รุกขเทวดาได้กล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า
                                   ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเชื่อสุนัขจิ้งจอกดื่มสุรา
                         สุนัขจิ้งจอกทั้งร้อยไม่มีศิลปะ กหาปณะตั้งสองร้อย
                         จะมีแต่ที่ไหน.
               ด้วยประการฉะนี้ ความเลื่อมใสในกาณสิงคาล ไร้ประโยชน์ฉันใด ความปีติอย่างดีในเดียรถีย์ ก็ไร้ประโยชน์ฉันนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความที่ความเลื่อมใสในศาสนาที่ไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เป็นสิ่งไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อทรงแสดงความที่เลื่อมใสนั้นในศาสนาที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ว่า เป็นสิ่งมีประโยชน์ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตถาคตแล ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามุปาทานสฺส ปริญฺญํ ปญฺญาเปติ ความว่า ทรงบัญญัติความรอบรู้ในการละคือการก้าวล่วงกามุปาทาน ด้วยอรหัตตมรรค ทรงบัญญัติความรอบรู้อุปทาน ๓ อย่างนอกนี้ ด้วยโสดาปัตติมรรค.
               บทว่า เอวรูเป โข ภิกฺขเว ธมฺมวินเย ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมและวินัยเห็นปานนี้ ทรงแสดงศาสนาที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ด้วยบทแม้ทั้งสอง.
               บทว่า สตฺถริ ปสาโท ความว่า ในศาสนาเห็นปานนี้ ความเลื่อมใสในพระศาสดาใด ความเลื่อมใสนั้น เรากล่าวว่า ไปแล้วโดยชอบ คือย่อมเป็นไปเพื่อสลัดออกจากทุกข์ในภพ.
               ในข้อนั้นมีเรื่องเหล่านี้.
               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอยู่ในถ้ำอินทศาล ณ เวทิสสกบรรพต. ครั้งนั้น นกฮูกตัวหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ก็บินตามได้ครึ่งทาง ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมา ก็ทำการต้อนรับครึ่งทาง.
               ในวันหนึ่ง นกฮูกนั้นลงจากภูเขาไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับนั่งในเวลาเย็น โดยป้องปีกประคองอัญชลี ทำศีรษะให้ต่ำลง ยืนนมัสการพระทศพลอยู่.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูนกฮูกนั้นแล้ว ทรงกระทำการยิ้มแย้ม.
               พระอานนทเถระทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยแห่งการทรงยิ้มแย้มให้ปรากฏ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงดูนกฮูกนี้ นกฮูกนี้ยังจิตให้เลื่อมใสในเราและในพระภิกษุสงฆ์แล้วท่องเที่ยวในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายตลอดแสนกัป จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าโสมนัส ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า
                         ดูก่อนนกฮูกตากลม อยู่เป็นเวลายาวนานในภูเขาเวทิสสกะ
                         เจ้านกฮูก เจ้ามีความสุขแล้ว เจ้านั้นเห็นพระพุทธเจ้าผู้
                         ประเสริฐผู้ลุกขึ้นตามกาล ยังจิตให้เลื่อมใสในเรา และใน
                         พระภิกษุสงฆ์อันยอดเยี่ยมจะไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป
                         ครั้นเคลื่อนจากเทวโลกแล้ว อันกุศลมูลตักเตือนแล้วจัก
                         เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีญาณอันหาที่สุดมิได้ ปรากฏ
                         นามว่า โสมนัส.

               ก็เรื่องทั้งหลายมีเรื่องสุมนมาลาการ ในนครราชคฤห์ เรื่องมหาเภริวาทกะ เรื่องโมรชาดก เรื่องวีณาวาทะ เรื่องสังขธมกะ ดังนี้เป็นต้น แม้อื่นๆ พึงให้พิสดารในเรื่องนั้น. ความเลื่อมใสในพระศาสดาในศาสนาที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เป็นอันไปแล้วโดยชอบ ด้วยประการฉนี้.
               บทว่า ธมฺเม ปสาโท ความว่า ความเลื่อมใสในธรรม ในศาสนาที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ ความเลื่อมใสนั้นย่อมให้สมบัติแม้แก่ดิรัจฉานทั้งหลายที่ถือนิมิตในสักว่าเสียง ฟังอยู่.
               เนื้อความนี้พึงทราบด้วยอำนาจแห่งเรื่องของมัณฑูกเทวบุตรเป็นต้น.
               บทว่า สีเลสุ ปริ ปูรการิตา ความว่า แม้ความกระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในศาสนาที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ คือย่อมนำมาซึ่งสวรรค์สมบัติและโมกขสมบัติ. ในที่นั้น พึงแสดงเรื่องทั้งหลายมีเรื่องฉัตตมาณวกะ และเรื่องสามเณรเป็นต้น.
               บทว่า สหธมฺมิเกสุ ความว่า แม้ความเป็นที่รักและน่าพอใจในหมู่สหธรรมิก ในศาสนาที่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เป็นอันไปแล้วโดยชอบ คือ ย่อมนำมาซึ่งมหาสมบัติ.
               เนื้อความนี้พึงแสดงด้วยเรื่องวิมานเปรตทั้งหลาย
               ก็ท่านได้กล่าวคำนั้นไว้ว่า๑-
               เราได้ให้น้ำนมแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เราให้น้ำอ้อย ฯลฯ ลำอ้อย มะพลับ แตง ฟักทอง วัลลิปักกะ หัตถปตากะ กำผัก ข้าวเม่า เผือก กำสะเดา น้ำส้ม ขนมทอด ประคตเอว ผ้าอังสะ ผ้าสำหรับทำความเพียร การพัด พัดใบตาล โมรหัตถ์ ร่ม รองเท้า ขนม ก้อนขนม เครื่องผูกแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต ท่านจงดูวิมานของเรานั้น เรามีนางฟ้าผู้มีวรรณน่าใคร่ ดังนี้ คำว่า ตํ กิสฺส เหตุ เป็นต้น
               พึงทราบประกอบโดยแนวแห่งนัยที่กล่าวแล้วเถิด.
____________________________
๑- ขุ. วิมาน. เล่ม ๒๖/ข้อ ๓๓

               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงปัจจัยแห่งอุปาทานทั้งหลายที่เดียรถีย์ทั้งหลายไม่บัญญัติความรอบรู้โดยชอบ ตถาคตทรงบัญญัติ จึงตรัสว่า อิเม จ ภิกฺเว เป็นต้น.
               คำทั้งหลายมีนิทานเป็นต้น ในบททั้งหลายมีว่า กึนิทานา เป็นต้นในบทนั้น ทั้งหมดเทียวเป็นไวพจน์ของการณ์.
               จริงอยู่ การณ์ย่อมมอบให้ซึ่งผล เหมือนส่งให้ว่า เอาเถอะ ท่านทั้งหลายจงถือเอาผลนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่านิทาน. เพราะนิทานนั้นย่อมเกิด ตั้งขึ้น ผลิตออกจากการณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า สมุทัย ชาติ ปภวะ.
               ก็เนื้อความแห่งบทในที่นี้ ดังนี้.
               อะไรเป็นต้นเหตุแห่งอุปาทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้นมีอะไรเป็นต้นเหตุ. อะไรเป็นเหตุเกิดแห่งอุปาทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้นมีอะไรเป็นเหตุเกิด. อะไรเป็นกำเนิดของอุปทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้นมีอะไรเป็นกำเนิด. อะไรเป็นแดนเกิดของอุปทานเหล่านั้น เพราะฉะนั้น อุปาทานเหล่านั้นมีอะไรเป็นแดนเกิด. ก็เพราะตัณหาเป็นต้นเหตุ เป็นเหตุเกิด เป็นกำเนิดและเป็นแดนเกิดของอุปาทานเหล่านั้น โดยเนื้อความตามที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า มีตัณหาเป็นต้นเหตุ ดังนี้เป็นต้น.
               พึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงอย่างนี้
               ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ปัจจัยแห่งอุปาทานอย่างเดียวเท่านั้น หามิได้ ย่อมทรงรู้ถึงปัจจัยของตัณหาซึ่งเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานด้วย ของธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น ซึ่งมีตัณหาเป็นต้นเป็นปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานี้ ดังนี้เป็นอาทิ.
               บทว่า ยโต จ โข ได้แก่ ในกาลใด.
               บทว่า อวิชฺชา ปหีนา โหติ ความว่า อวิชชาซึ่งเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ เป็นอันละแล้วด้วยอนุปปาทนิโรธ.
               บทว่า วิชฺชา อุปฺปนฺนา ได้แก่ วิชชาคืออรหัตมรรคเกิดขึ้นแล้ว.
               บทว่า โส อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทา ความว่า ภิกษุนั้น เพราะความที่อวิชชาละได้แล้ว และเพราะความที่วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ถือมั่นกามุปาทาน.
               บทว่า เนว กามุปาทานํ อุปาทิยติ ความว่า ย่อมไม่ถือมั่น คือไม่เข้าสู่กามุปาทาน ย่อมไม่ถือมั่น ย่อมไม่เข้าสู่อุปาทานทั้งหลายที่เหลือ.
               บทว่า อนุปาทิยํ น ปริตสฺสติ ความว่า เมื่อไม่ถือมั่นอุปาทานไรๆ อย่างนี้ ชื่อว่าไม่สะดุ้ง ด้วยความสะดุ้งคือตัณหา. บทว่า อปริตสฺสํ ได้แก่ เมื่อไม่สะดุ้ง คือไม่ยังตัณหาให้เกิดขึ้น. บทว่า ปจฺจตฺตํเยว ปรินิพฺพายติ ความว่า ย่อมปรินิพพานด้วยการดับกิเลส เฉพาะตนนั่นเทียว ดังนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความสิ้นไปแห่งอาสวะแก่ภิกษุนั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงปัจจเวกขณญาณแก่ภิกษุผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว จึงตรัสว่า ชาติสิ้นแล้ว ดังนี้เป็นต้น.
               บทที่เหลือมีเนื้อความดังกล่าวแล้วแล.

               จบ อรรถกถาจุลลสีหนาทสูตรที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค จูฬสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท จบ.
อ่านอรรถกถา 12 / 1อ่านอรรถกถา 12 / 131อรรถกถา เล่มที่ 12 ข้อ 153อ่านอรรถกถา 12 / 159อ่านอรรถกถา 12 / 557
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=2151&Z=2295&bgc=lavender
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=7&A=8170
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=7&A=8170
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๒  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๙
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :