ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] กถาวัตถุปกรณ์
๙. ยถากัมมูปคตญาณกถา (๒๙)
ว่าด้วยยถากัมมูปคตญาณ
[๓๗๗] สก. ยถากัมมูปคตญาณ๑- เป็นทิพยจักษุใช่ไหม ปร.๒- ใช่ สก. บุคคลมนสิการถึงสัตว์ที่เป็นไปตามกรรมและเห็นรูปได้ด้วยทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ สก. บุคคลมนสิการถึงสัตว์ที่เป็นไปตามกรรมและเห็นรูปได้ด้วยทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ @เชิงอรรถ : @ ยถากัมมูปคตญาณ หมายถึงปรีชาหยั่งรู้ถึงสัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม (อภิ.ปญฺจ.อ. ๓๗๗/๑๙๘) @ ปร. หมายถึงภิกษุในนิกายอันธกะ และนิกายสมิติยะ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๓๗๓/๑๙๖) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๓๗๙}

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๓. ตติยวรรค]

๙. ยถากัมมูปคตญาณกถา (๒๙)

สก. มีการประชุมแห่งผัสสะ ๒ อย่าง จิต ๒ ดวงใช่ไหม ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ สก. ยถากัมมูปคตญาณเป็นทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ สก. บุคคลมนสิการว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้หนอ มนสิการว่า ‘ประกอบกายทุจริต’ มนสิการว่า ‘ประกอบวจีทุจริต’ มนสิการว่า ‘ประกอบ มโนทุจริต’ มนสิการว่า ‘เป็นผู้กล่าวร้ายพระอริยะ’ มนสิการว่า ‘มีความเห็นผิด’ มนสิการว่า ‘ชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นผิด’ และมนสิการว่า ‘หลังจาก ตายแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็ไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก” บุคคลมนสิการว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้ มนสิการว่า ‘ประกอบกายสุจริต’ มนสิการว่า ‘ประกอบวจีสุจริต’ มนสิการว่า ‘ประกอบ มโนสุจริต’ มนสิการว่า ‘ไม่กล่าวร้ายพระอริยะ’ มนสิการว่า ‘มีความเห็นชอบ’ มนสิการว่า ‘ชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมตามความเห็นชอบ’ และมนสิการว่า ‘หลังจาก ตายแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์” เห็นรูปด้วยทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ สก. บุคคลมนสิการว่า “หลังจากตายแล้วสัตว์เหล่านั้นก็ไปบังเกิดในสุคติ โลกสวรรค์” เห็นรูปได้ด้วยทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ สก. มีการประชุมแห่งผัสสะ ๒ อย่าง จิต ๒ ดวงใช่ไหม ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๓๗๘] สก. ยถากัมมูปคตญาณเป็นทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๓๘๐}

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๓. ตติยวรรค]

๙. ยถากัมมูปคตญาณกถา (๒๙)

สก. บางคนไม่มีทิพยจักษุ ไม่ได้ ไม่บรรลุ ไม่ได้ทำให้แจ้งทิพยจักษุ แต่รู้ว่า “สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมมีอยู่” ใช่ไหม ปร. ใช่ สก. หากบางคนไม่มีทิพยจักษุ ไม่ได้ ไม่บรรลุ ไม่ทำให้แจ้งทิพยจักษุ แต่รู้ ว่า “สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมมีอยู่” ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า “ยถากัมมูปคตญาณ เป็นทิพยจักษุ” สก. ยถากัมมูปคตญาณเป็นทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ สก. ท่านพระสารีบุตรรู้ยถากัมมูปคตญาณใช่ไหม ปร. ใช่ สก. หากท่านพระสารีบุตรรู้ยถากัมมูปคตญาณ ท่านก็ไม่ควรยอมรับว่า “ยถากัมมูปคตญาณเป็นทิพยจักษุ” สก. ยถากัมมูปคตญาณเป็นทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ สก. ท่านพระสารีบุตรรู้ยถากัมมูปคตญาณใช่ไหม ปร. ใช่ สก. ท่านพระสารีบุตรมีทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ สก. ท่านพระสารีบุตรมีทิพยจักษุใช่ไหม ปร. ใช่ สก. พระสูตรที่ว่า “ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๓๘๑}

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ [๓. ตติยวรรค]

๑๐. สังวรกถา (๓๐)

เราไม่ได้ตั้งความปรารถนาไว้เพื่อปุพเพนิวาสญาณ๑- ทิพพจักขุญาณ๒- เจโตปริยญาณ๓- อิทธิวิธญาณ๔- ทิพพโสตญาณ๕- และจุตูปปาตญาณ”๖- มีอยู่จริงมิใช่หรือ ปร. ใช่ สก. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรยอมรับว่า “ยถากัมมูปคตญาณเป็นทิพยจักษุ”
ยถากัมมูปคตญาณกถา จบ
๑๐. สังวรกถา (๓๐)
ว่าด้วยความสำรวม
[๓๗๙] สก. ความสำรวม๗- มีอยู่ในหมู่เทวดา๘- ใช่ไหม ปร.๙- ใช่ สก. ความไม่สำรวมมีอยู่ในหมู่เทวดาใช่ไหม ปร. ไม่ควรกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ สก. ความไม่สำรวมไม่มีในหมู่เทวดาใช่ไหม ปร. ใช่ @เชิงอรรถ : @ ปุพเพนิวาสญาณ หมายถึงปรีชาหยั่งรู้ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนทั้งของตนและของผู้อื่นได้ @(ขุ.เถร.อ. ๒/๙๙๖/๔๔๓) @๒-๖ ทิพพจักขุญาณ หมายถึงญาณให้มีตาทิพย์ @เจโตปริยญาณ หมายถึงปรีชากำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ @อิทธิวิธญาณ หมายถึงญาณที่ทำให้แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ @ทิพพโสตญาณ หมายถึงญาณพิเศษที่ทำให้มีหูทิพย์ @จุตูปปาตญาณ หมายถึงปรีชาหยั่งรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย @(ดูเทียบ ขุ.เถร. (แปล) ๒๖/๙๙๖/๕๐๓, ขุ.เถร.อ. ๒/๙๙๖/๔๓๕) @ ความสำรวม หมายถึงเจตนาระวังมิให้ล่วงละเมิดศีล ๕ มีปาณาติบาตเป็นต้น แต่ฝ่ายปรวาทีเข้าใจผิดว่า @การไม่ล่วงละเมิด ศีล ๕ เป็นสังวร (อภิ.ปญฺจ.อ. ๓๗๙/๑๙๙) @ หมู่เทวดา ในที่นี้หมายถึงเทวดาชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป (อภิ.ปญฺจ.อ. ๓๗๙/๑๙๙, มูลฏีกา ๓/๘๔, @อนุฏีกา ๓/๑๒๙-๑๓๐) @ ปร. หมายถึงภิกษุในนิกายอันธกะ และนิกายสมิติยะ (อภิ.ปญฺจ.อ. ๓๗๓/๑๙๖) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๗ หน้า : ๓๘๒}


                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๗ หน้าที่ ๓๗๙-๓๘๒. http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=37&siri=49              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [คลิกเพื่อฟัง]                   อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=37&A=8328&Z=8396                   ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=37&i=820              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=37&item=820&items=8              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=4450              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=37&item=820&items=8              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=4450                   สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu37              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/kv3.9/en/aung-rhysdavids



บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :