ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
 ฉบับหลวง   บาลีอักษรไทย    PaliRoman 
อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒
๑. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๒๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุ ผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้, ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น, เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุ ผู้ก่อความ บาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย ฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาด หมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็รุนแรงยิ่งขึ้น แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอเก็บเอา คำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของ ฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้, ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลาย ฝ่ายโน้น, เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น จริงหรือ? พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้เก็บเอา คำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของ ฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้, ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลาย ฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๒. ๓. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะส่อเสียดภิกษุ.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๕๖] ที่ชื่อว่า ส่อเสียด ขยายความว่า วัตถุสำหรับเก็บมาส่อเสียด มีได้ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ของคนผู้ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ของคนผู้ประสงค์จะให้เขาแตกกัน ๑. ภิกษุเก็บเอาวัตถุสำหรับส่อเสียดมากล่าวโดยอาการ ๑๐ อย่าง คือ ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลปะ ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑ อาบัติ ๑ คำด่า ๑.
บทภาชนีย์
ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่กำเนิด มี ๒ คือ กำเนิดทราม ๑ กำเนิดอุกฤษฏ์ ๑. ที่ชื่อว่า กำเนิดทราม ได้แก่กำเนิดคนจัณฑาล กำเนิดคนจักสาน กำเนิดพราน กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้ นี่ชื่อว่ากำเนิดทราม. ที่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์ ได้แก่กำเนิดกษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์ นี่ชื่อว่า กำเนิด อุกฤษฏ์ ฯลฯ ๑- ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่ามี ๒ คำ คำด่าทราม ๑ คำด่าอุกฤษฏ์ ๑. ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ เป็นแพะ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์- *ดิรัจฉาน เป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, คำด่าที่เกี่ยวด้วยยะอักษร ภะอักษร, หรือนิมิตของชายและนิมิตของหญิง นี่ชื่อว่า คำด่าทราม. @๑. ที่ ฯลฯ ไว้นี้ หมายถึงนาม โคตรเป็นต้น พึงดูในสิกขาบทที่ ๒ ข้อ ๑๘๘ ถึง ๑๙๕ @หน้า ๒๕-๒๗ ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, นี่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์.
อุปสัมบันส่อเสียดอุปสัมบัน
พูดเหน็บแนมกระทบชาติทราม
[๒๕๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นชาติคนจัณฑาล, ... ชาติคนจักสาน, ... ชาติพราน, ... ชาติคนช่างหนัง, ... ชาติคนเทดอกไม้. ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์
[๒๕๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นชาติกษัตริย์, ... เป็นชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชื่อทราม
[๒๕๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อว่าอวกัณณกะ, ... ชื่อชวกัณณกะ, ... ชื่อธนิฏฐกะ, ... ชื่อสวิฏฐกะ, ... ชื่อกุลวัฑฒกะ, ... ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์
[๒๖๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อพุทธรักขิต, ... ชื่อธัมมรักขิต, ... ชื่อสังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโคตรทราม
[๒๖๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโกสิยโคตร ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น, ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์
[๒๖๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโคตมโคตร, ... โมคคัลลานโคตร, ... กัจจายนโคตร, ... วาเสฏฐโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบการงานทราม
[๒๖๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานช่างไม้, ... เป็นคนทำงานเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์
[๒๖๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานไถนา, ... ทำงานค้าขาย, ... ทำงานเลี้ยงโค, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบศิลปะทราม
[๒๖๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างจักสาน, ... มีวิชาการช่างหม้อ, ... มีวิชา การช่างหูก, ... มีวิชาการช่างหนัง, ... มีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
[๒๖๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างนับ, ... มีวิชาการช่างคำนวณ, ... มีวิชา การช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโรคทราม
[๒๖๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเรื้อน, ... โรคฝี, ... โรคกลาก, ... โรคมองคร่อ, ... โรคลมบ้าหมู, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์
[๒๖๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเบาหวาน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม
[๒๖๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนสูงเกินไป, ... ต่ำเกินไป, ... ดำเกินไป, ... ขาวเกินไป, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
[๒๗๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนไม่สูงนัก, ... ไม่ต่ำนัก, ... ไม่ดำนัก, ... ไม่ขาวนัก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม
[๒๗๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ถูกราคะกลุ้มรุม, ... ถูกโทสะย่ำยี, ... ถูกโมหะ ครอบงำ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสอุกฤษฏ์
[๒๗๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ปราศจากราคะ, ... ปราศจากโทสะ, ... ปราศจาก โมหะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติทราม
[๒๗๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก, ... อาบัติสังฆาทิเสส, ... อาบัติถุลลัจจัย, ... อาบัติปาจิตตีย์, ... อาบัติปาฏิเทสนียะ, ... อาบัติทุกกฏ, ... อาบัติทุพภาสิต, ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติอุกฤษฏ์
[๒๗๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม
[๒๗๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นอูฐ, ... เป็นแพะ, ... เป็นโค, ... เป็นลา, ... เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ... เป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
[๒๗๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นบัณฑิต, ... เป็นคนฉลาด, ... เป็นคนมีปัญญา, ... เป็นพหูสูต, ... เป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม
[๒๗๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคน จัณฑาล, ... เป็นชาติคนจักสาน, ... เป็นชาติพราน, ... เป็นชาติคนช่างหนัง, ... เป็นชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์
[๒๗๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์, ... ชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น, ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่อทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ, ... ชื่อ ชวกัณณกะ, ... ชื่อธนิฏฐกะ, ... ชื่อสวิฏฐกะ, ... ชื่อกุลวัฑฒกะ, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต, ... ชื่อธัมมรักขิต, ... ชื่อสังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น, ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร ... เป็นภาร ทวาชะโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร, ... บางพวก เป็นโมคคัลลานโคตร, ... บางพวกเป็นกัจจายนโคตร, ... บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่านดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นคนทำงานช่างไม้, ... เป็นคนทำงานเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นคนทำงานไถนา, ... เป็นคนทำงานค้าขาย, ... เป็นคนทำงานเลี้ยงโค, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปะทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน, ... มีวิชาการช่างหม้อ, ... มีวิชาการช่างหูก, ... มีวิชาการช่างหนัง, ... มีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ, ... มีวิชา การช่างคำนวณ, ... มีวิชาการช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโรคทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน, ... โรคฝี, ... โรคกลาก, ... โรคมองคร่อ, ... โรคลมบ้าหมู, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง- อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน, ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป, ... ต่ำเกินไป, ... ดำเกินไป, ... ขาวเกินไป, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก, ... ไม่ต่ำนัก, ... ไม่ดำนัก, ... ไม่ขาวนัก, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม, ... ถูกโทสะ- *ย่ำยี, ... ถูกโมหะครอบงำ, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น, ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ, ... ปราศจาก โทสะ, ... ปราศจากโมหะ, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก, ... อาบัติ สังฆาทิเสส, ... อาบัติถุลลัจจัย, ... อาบัติปาจิตตีย์, ... อาบัติปาฏิเทสนียะ, ... อาบัติทุกกฏ, ... อาบัติ- *ทุพภาสิต, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน, ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ, ... ดังแพะ, ... ดังโค, ... ดังลา, ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน, ... ดังสัตว์นรก, สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี, ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
[๒๗๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต, ... เป็นคนฉลาด, ... เป็นคนมีปัญญา, ... เป็นพหูสูต, ... เป็นธรรมกถึก, ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี, ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติทราม
[๒๘๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล, ... ชาติคนจักสาน, ... ชาติพราน, ... ชาติคนช่างหนัง, ... ชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์, ... ชาติพราหมณ์, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่อทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ, ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ, ... ชื่อสวิฏฐกะ, ... ชื่อกุลวัฑฒกะ, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต, ... ชื่อธัมมรักขิต, ... ชื่อสังฆรักขิต, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร, ... ภารทวาชโคตร, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร, ... โมคคัลลานโคตร, ... กัจจายนโคตร, ... วาเสฏฐโคตร, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้, ... คนเทดอกไม้, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะ- *ท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา, ... เป็นคนทำงานค้าขาย, ... เป็นคนทำงาน เลี้ยงโค, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปะทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก, ... โรคมองคร่อ ... โรคลม บ้าหมู ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ภิกษุนั้นไม่ ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ, ... ปราศจากโมหะ, ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่า คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต, ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม
[๒๘๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่อทราม
อนุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์
... ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรทราม
... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม
... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปะทราม
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างเขียน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม
... พวกเราไม่ใช่เป็นคนโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็น โรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม
... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม
... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... สังฆาทิเสส ... ถุลลัจจัย ... ปาจิตตีย์ ... ปาฏิ- *เทสนียะ ... ทุกกฏ ... ทุพภาสิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม
... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่เป็นคนฉลาด ... ไม่ใช่เป็นคนมีปัญญา, ... ไม่ใช่ เป็นพหูสูต ... ไม่ใช่เป็นธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ, ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
ต้องอาบัติตามวัตถุ
[๒๘๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด. อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ. อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๒๘๓] ภิกษุไม่ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เขาแตกกัน ๑ ภิกษุ วิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ
-----------------------------------------------------


             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ บรรทัดที่ ๖๗๒๒-๗๑๐๗ หน้าที่ ๒๗๕-๒๘๙. http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=2&A=6722&Z=7107&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=2&item=255&items=29              อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ :- http://84000.org/tipitaka/read/byitem_s.php?book=2&item=255&items=29&mode=bracket              อ่านเทียบพระไตรปิฎกภาษาบาลี อักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=2&item=255&items=29              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีอักษรโรมัน :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_item_s.php?book=2&item=255&items=29              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=2&i=255              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ http://84000.org/tipitaka/read/?index_2

อ่านหัวข้อแรกอ่านหัวข้อที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหัวข้อถัดไปอ่านหัวข้อสุดท้าย

บันทึก ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :