บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |||||
พระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้าที่ ๒๕๙-๒๗๖.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
สังคีติหมวด ๓ [๓๐๕] ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมหมวดละ ๓ ประการ ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้ว มีอยู่ พวกเราทั้งหมดนี้แหละพึงสังคายนา ไม่พึงวิวาทกันในธรรมนั้น ฯลฯ เพื่อ ประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมหมวดละ ๓ ประการ คืออะไร คือ๑ อกุศลมูล๑- ๓ ๑. อกุศลมูลคือโลภะ (ความอยากได้) ๒. อกุศลมูลคือโทสะ (ความคิดประทุษร้าย) ๓. อกุศลมูลคือโมหะ (ความหลง)๒ กุศลมูล๒- ๓ ๑. กุศลมูลคืออโลภะ (ความไม่อยากได้) ๒. กุศลมูลคืออโทสะ (ความไม่คิดประทุษร้าย) ๓. กุศลมูลคืออโมหะ (ความไม่หลง) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๗๐/๒๗๕ @๒ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๗๐/๒๗๗ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๕๙}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๓ ทุจริต๑- ๓ ๑. กายทุจริต (ความประพฤติชั่วด้วยกาย)๒- ๒. วจีทุจริต (ความประพฤติชั่วด้วยวาจา) ๓. มโนทุจริต (ความประพฤติชั่วด้วยใจ)๔ สุจริต๓- ๓ ๑. กายสุจริต (ความประพฤติชอบด้วยกาย) ๒. วจีสุจริต (ความประพฤติชอบด้วยวาจา) ๓. มโนสุจริต (ความประพฤติชอบด้วยใจ)๕ อกุศลวิตก๔- ๓ ๑. กามวิตก (ความตรึกในทางกาม) ๒. พยาบาทวิตก (ความตรึกในทางพยาบาท) ๓. วิหิงสาวิตก (ความตรึกในทางเบียดเบียน) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๒/๑๔๐ @๒ อีกนัยหนึ่งแปลว่า ความประพฤติชั่วที่เป็นไปทางกาย หรือความประพฤติชั่วทางกายก็ได้ @(ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๗๙) @๓ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๒/๑๔๑ @๔ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๒๕/๓๗๒ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๐}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๖ กุศลวิตก๑- ๓ ๑. เนกขัมมวิตก (ความตรึกปลอดจากกาม) ๒. อพยาบาทวิตก (ความตรึกปลอดจากพยาบาท) ๓. อวิหิงสาวิตก (ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน)๗ อกุศลสังกัปปะ ๓ ๑. กามสังกัปปะ (ความดำริในทางกาม) ๒. พยาปาทสังกัปปะ (ความดำริในทางพยาบาท) ๓. วิหิงสาสังกัปปะ (ความดำริในทางเบียดเบียน)๘ กุศลสังกัปปะ๒- ๓ ๑. เนกขัมมสังกัปปะ (ความดำริปลอดจากกาม) ๒. อพยาปาทสังกัปปะ (ความดำริปลอดจากพยาบาท) ๓. อวิหิงสาสังกัปปะ (ความดำริปลอดจากการเบียดเบียน)๙ อกุศลสัญญา ๓ ๑. กามสัญญา (ความกำหนดหมายในทางกาม) ๒. พยาปาทสัญญา (ความกำหนดหมายในทางพยาบาท) ๓. วิหิงสาสัญญา (ความกำหนดหมายในทางเบียดเบียน) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๒๕/๓๗๒ @๒ ดูเทียบ ที.ม. (แปล) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๑}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๑๐ กุศลสัญญา ๓ ๑. เนกขัมมสัญญา (ความกำหนดหมายปลอดจากกาม) ๒. อพยาปาทสัญญา (ความกำหนดหมายปลอดจากพยาบาท) ๓. อวิหิงสาสัญญา (ความกำหนดหมายปลอดจากการเบียดเบียน)๑๑ อกุศลธาตุ ๓ ๑. กามธาตุ (ธาตุคือกาม) ๒. พยาปาทธาตุ (ธาตุคือพยาบาท) ๓. วิหิงสาธาตุ (ธาตุคือวิหิงสา)๑๒ กุศลธาตุ ๓ ๑. เนกขัมมธาตุ (ธาตุคือเนกขัมมะ) ๒. อพยาปาทธาตุ (ธาตุคืออพยาบาท) ๓. อวิหิงสาธาตุ (ธาตุคืออวิหิงสา)๑๓ ธาตุ ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. กามธาตุ (ธาตุคือกามภพ) ๒. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปภพ) ๓. อรูปธาตุ (ธาตุคืออรูปภพ) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๒}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๑๔ ธาตุ ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปภพ) ๒. อรูปธาตุ (ธาตุคืออรูปภพ) ๓. นิโรธธาตุ (ธาตุคือนิโรธ)๑๕ ธาตุ๑- ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. หีนธาตุ (ธาตุอย่างหยาบ) ๒. มัชฌิมธาตุ (ธาตุอย่างกลาง) ๓. ปณีตธาตุ (ธาตุอย่างประณีต)๑๖ ตัณหา ๓ ๑. กามตัณหา๒- (ความทะยานอยากในกาม) ๒. ภวตัณหา๓- (ความทะยานอยากในภพ) ๓. วิภวตัณหา๔- (ความทะยานอยากในวิภพ) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๗๗/๓๐๐-๓๐๑ @๒ กามตัณหา หมายถึงราคะที่มีกามคุณ ๕ เป็นอารมณ์ (ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๘๒, ที.ปา.ฏีกา ๓๐๕/๒๓๕) @๓ ภวตัณหา หมายถึงราคะในรูปภพและอรูปภพ ราคะอันสหรคตด้วยสัสสตทิฏฐิ หรือความปรารถนาภพ @(ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๘๒) @๔ วิภวตัณหา หมายถึงราคะที่สหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ (ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๘๒) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๓}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๑๗ ตัณหา ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. กามตัณหา (ความทะยานอยากในกามภพ) ๒. รูปตัณหา (ความทะยานอยากในรูปภพ) ๓. อรูปตัณหา (ความทะยานอยากในอรูปภพ)๑๘ ตัณหา๑- ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. รูปตัณหา (ความทะยานอยากในรูปภพ) ๒. อรูปตัณหา (ความทะยานอยากในอรูปภพ) ๓. นิโรธตัณหา๒- (ความทะยานอยากในความดับสูญ)๑๙ สังโยชน์๓- ๓ ๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) ๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) ๓. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต)๒๐ อาสวะ๔- ๓ ๑. กามาสวะ (อาสวะคือกาม) ๒. ภวาสวะ (อาสวะคือภพ) ๓. อวิชชาสวะ (อาสวะคืออวิชชา) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๑๘/๕๗๔ @๒ นิโรธตัณหา หมายถึงราคะที่สหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ ที่ถือว่าภพ คือ ความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทพ @ชั้นกามาวจร ความเป็นเทพชั้นรูปาวจรและชั้นอรูปาวจร ขาดสูญ (ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๘๒, @ที.ปา.ฏีกา ๓๐๕/๒๓๖) @๓ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๙๕/๓๒๘ @๔ ดูเทียบ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๑๔/๕๗๑ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๔}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๒๑ ภพ ๓ ๑. กามภพ (ภพที่เป็นกามาวจร) ๒. รูปภพ (ภพที่เป็นรูปาวจร) ๓. อรูปภพ (ภพที่เป็นอรูปาวจร)๒๒ เอสนา๑- (การแสวงหา) ๓ ๑. กาเมสนา (การแสวงหากาม) ๒. ภเวสนา (การแสวงหาภพ) ๓. พรหมจริเยสนา (การแสวงหาพรหมจรรย์)๒๓ วิธา๒- (ความถือตัว) ๓ ๑. เสยโยหมัสมีติ วิธา (ถือตัวว่าเราเป็นผู้เลิศกว่าเขา) ๒. สทิโสหมัสมีติ วิธา (ถือตัวว่าเราเป็นผู้เสมอเขา) ๓. หีโนหมัสมีติ วิธา (ถือตัวว่าเราเป็นผู้ด้อยกว่าเขา)๒๔ อัทธา(กาล) ๓ ๑. อตีตอัทธา (อดีตกาล) ๒. อนาคตอัทธา (อนาคตกาล) ๓. ปัจจุปปันนอัทธา (ปัจจุบันกาล) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๑๙/๕๗๕ @๒ ดูเทียบ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๒๐/๕๗๖ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๕}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๒๕ อันตะ ๓ ๑. สักกายอันตะ (ส่วนสุดคือสักกายะ) ๒. สักกายสมุทยอันตะ (ส่วนสุดคือสักกายสมุทัย) ๓. สักกายนิโรธอันตะ (ส่วนสุดคือสักกายนิโรธ)๒๖ เวทนา๑- ๓ ๑. สุขเวทนา (ความรู้สึกสุข) ๒. ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์) ๓. อทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข)๒๗ ทุกขตา๒- ๓ ๑. ทุกขทุกขตา (สภาวทุกข์คือทุกข์) ๒. สังขารทุกขตา (สภาวทุกข์คือสังขาร) ๓. วิปริณามทุกขตา (สภาวทุกข์คือความแปรผันไป)๒๘ ราสี(กอง) ๓ ๑. มิจฉัตตนิยตราสี (กองแห่งธรรมที่มีสภาวะผิดและให้ผลแน่นอน) ๒. สัมมัตตนิยตราสี (กองแห่งธรรมที่มีสภาวะชอบและให้ผลแน่นอน) ๓. อนิยตราสี (กองแห่งธรรมที่ให้ผลไม่แน่นอน) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ สํ.สฬา. (แปล) ๑๘/๒๔๙/๒๗๐ @๒ ดูเทียบ สํ.สฬา. (แปล) ๑๘/๓๒๗/๓๔๕ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๖}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๒๙ ตมะ(ความมืด) ๓ ๑. เคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภอดีตกาล ๒. เคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภอนาคตกาล ๓. เคลือบแคลง สงสัย ไม่น้อมใจเชื่อ ไม่เลื่อมใส ปรารภปัจจุบันกาล๓๐ อรักเขยยะ(ข้อที่พระตถาคตไม่ต้องรักษา) ๓ ๑. พระตถาคตทรงมีกายสมาจาร (ความประพฤติทางกาย) บริสุทธิ์ ไม่ทรง มีกายทุจริตที่พระองค์จะต้องรักษาไว้โดยตั้งพระทัยว่า คนอื่นๆ อย่าได้ รู้กายทุจริตของเรานี้ ๒. พระตถาคตทรงมีวจีสมาจาร (ความประพฤติทางวาจา) บริสุทธิ์ ไม่ทรง มีวจีทุจริตที่พระองค์จะต้องรักษาไว้โดยตั้งพระทัยว่า คนอื่นๆ อย่าได้รู้ วจีทุจริตของเรานี้ ๓. พระตถาคตทรงมีมโนสมาจาร (ความประพฤติทางใจ) บริสุทธิ์ ไม่ทรงมี มโนทุจริตที่พระองค์จะต้องรักษาไว้โดยตั้งพระทัยว่า คนอื่นๆ อย่าได้รู้ มโนทุจริตของเรานี้๓๑ กิญจนะ๑- (เครื่องกังวล) ๓ ๑. ราคกิญจนะ (เครื่องกังวลคือราคะ) ๒. โทสกิญจนะ (เครื่องกังวลคือโทสะ) ๓. โมหกิญจนะ (เครื่องกังวลคือโมหะ) @เชิงอรรถ : @๑ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๙๒๔/๕๗๗ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๗}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๓๒ อัคคิ๑- (ไฟ) ๓ ๑. ราคัคคิ (ไฟคือราคะ) ๒. โทสัคคิ (ไฟคือโทสะ) ๓. โมหัคคิ (ไฟคือโมหะ)๓๓ อัคคิ๒- ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. อาหุเนยยัคคิ (ไฟคืออาหุไนยบุคคล) ๒. คหปตัคคิ (ไฟคือคหบดี) ๓. ทักขิเณยยัคคิ (ไฟคือทักขิไณยบุคคล)๓๔ รูปสังคหะ ๓ ๑. สนิทัสสนสัปปฏิฆรูป (รูปที่เห็นได้และสัมผัสได้) ๒. อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป (รูปที่เห็นไม่ได้ แต่สัมผัสได้) ๓. อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป (รูปที่เห็นไม่ได้และสัมผัสไม่ได้)๓๕ สังขาร๓- ๓ ๑. ปุญญาภิสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี) ๒. อปุญญาภิสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายชั่ว) ๓. อาเนญชาภิสังขาร (สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคงไม่หวั่นไหว) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.สตฺตก. (แปล) ๒๓/๔๗/๗๒ @๒ ดูเทียบ องฺ.สตฺตก. (แปล) ๒๓/๔๗/๗๓ @๓ สังขาร ในที่นี้หมายถึงสภาพที่ปรุงแต่งกิจ(หน้าที่)อันเป็นของตน การให้ผลแก่ตน @(ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๙๒, ที.ปา.ฏีกา ๓๐๕/๒๕๒) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๘}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๓๖ บุคคล ๓ ๑. เสขบุคคล (บุคคลผู้ยังต้องศึกษา) ๒. อเสขบุคคล (บุคคลผู้ไม่ต้องศึกษา) ๓. เนวเสขานาเสขบุคคล (บุคคลผู้ยังต้องศึกษาก็มิใช่ ผู้ไม่ต้องศึกษาก็มิใช่)๓๗ เถระ ๓ ๑. ชาติเถระ (พระเถระโดยชาติ) ๒. ธัมมเถระ (พระเถระโดยธรรม) ๓. สมมติเถระ (พระเถระโดยสมมติ)๓๘ บุญกิริยาวัตถุ๑- ๓ ๑. ทานมัยบุญกิริยาวัตถุ (บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน) ๒. สีลมัยบุญกิริยาวัตถุ (บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล) ๓. ภาวนามัยบุญกิริยาวัตถุ (บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนา)๓๙ โจทนาวัตถุ(เหตุที่ใช้โจท) ๓ ๑. ทิฏเฐนะ (โจทด้วยได้เห็น) ๒. สุเตนะ (โจทด้วยได้ยินได้ฟัง) ๓. ปริสังกายะ (โจทด้วยความระแวงสงสัย) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.อฏฺฐก. (แปล) ๒๓/๓๖/๒๙๔ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๖๙}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๔๐ กามุปปัตติ(การเกิดในกามภพ) ๓ ๑. สัตว์ที่มีกามปรากฏเฉพาะหน้ามีอยู่ สัตว์เหล่านั้นเป็นไปตามอำนาจของ กามทั้งหลายที่ปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เช่น มนุษย์ เทพบางพวกและ วินิปาติกะบางพวก๑- นี้เป็นกามุปปัตติที่ ๑ ๒. สัตว์ที่เนรมิตกามคุณได้มีอยู่ สัตว์เหล่านั้นเนรมิตแล้ว เป็นไปตามอำนาจ ของกามทั้งหลาย เช่น พวกเทพชั้นนิมมานรดี นี้เป็นกามุปปัตติที่ ๒ ๓. สัตว์ที่ผู้อื่นเนรมิตกามคุณให้มีอยู่ สัตว์เหล่านั้นเป็นไปตามอำนาจของ กามคุณที่ผู้อื่นเนรมิตให้แล้ว เช่น พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี นี้เป็น กามุปปัตติที่ ๓๔๑ การเข้าถึงความสุข ๓ ๑. สัตว์พวกที่ทำความสุขให้เกิดขึ้นๆ แล้วอยู่เป็นสุขมีอยู่ เช่น พวกเทพ ชั้นพรหมกายิกา นี้เป็นการเข้าถึงความสุขที่ ๑ ๒. สัตว์พวกที่เอิบอิ่ม อิ่มเอม บริบูรณ์ เปี่ยมล้นด้วยความสุขมีอยู่ สัตว์ เหล่านั้นบางครั้งบางคราวก็เปล่งอุทานว่า สุขหนอๆ เช่น พวกเทพ ชั้นอาภัสสระ นี้เป็นการเข้าถึงความสุขที่ ๒ ๓. สัตว์พวกที่เอิบอิ่ม อิ่มเอม บริบูรณ์ เปี่ยมล้นด้วยความสุขมีอยู่ สัตว์ เหล่านั้นยินดีเสวยความสุขทางจิตอันประณีตเท่านั้น เช่น พวกเทพ ชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นการเข้าถึงความสุขที่ ๓ @เชิงอรรถ : @๑ วินิปาติกะบางจำพวก หมายถึงสัตว์จำพวกปลาและเต่า เป็นต้นที่มีที่อยู่ประจำของตน ยกเว้นสัตว์นรก @(ที.ปา.อ. ๓๐๕/๑๙๖) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๐}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๔๒ ปัญญา ๓ ๑. เสขปัญญา (ปัญญาของบุคคลผู้ยังต้องศึกษา) ๒. อเสขปัญญา (ปัญญาของบุคคลผู้ไม่ต้องศึกษา) ๓. เนวเสขานาเสขปัญญา (ปัญญาของบุคคลผู้ยังต้องศึกษาก็มิใช่ ผู้ไม่ต้องศึกษาก็มิใช่)๔๓ ปัญญา๑- ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. จินตามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการคิด) ๒. สุตมยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการฟัง) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการอบรม)๔๔ อาวุธ๒- ๓ ๑. สุตาวุธ (อาวุธคือสุตะ) ๒. ปวิเวกาวุธ (อาวุธคือปวิเวก) ๓. ปัญญาวุธ (อาวุธคือปัญญา)๔๕ อินทรีย์๓- ๓ ๑. อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ (อินทรีย์ของผู้ปฏิบัติด้วยมุ่งว่าเราจักรู้สัจธรรม ที่ยังมิได้รู้) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๗๖๘/๕๐๓-๕๐๔ @๒ อาวุธ แปลว่าเครื่องมือที่ใช้ป้องกันหรือต่อสู้ ในที่นี้หมายถึงอาวุธในทางธรรม ๓ ประการ คือ (๑) สุตะ @หมายถึงพระพุทธพจน์ (๒) ปวิเวกะ หมายถึงวิเวก(ความสงัด) ๓ ประการ คือ กายวิเวก จิตตวิเวก และ @อุปธิวิเวก (๓) ปัญญา หมายถึงปัญญาทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ @๓ ดูเทียบ สํ.ม. (แปล) ๑๙/๔๙๓/๓๐๓, อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๒๒๐/๒๐๑-๒๐๒ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๑}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๒. อัญญินทรีย์ (อินทรีย์คือปัญญาที่รู้ทั่วถึงได้แก่ โสดาปัตติ- ผลญาณ) ๓. อัญญาตาวินทรีย์ (อินทรีย์ของท่านผู้รู้ทั่วถึงแล้ว)๔๖ จักขุ๑- ๓ ๑. มังสจักขุ (ตาเนื้อ) ๒. ทิพพจักขุ (ตาทิพย์) ๓. ปัญญาจักขุ (ตาคือปัญญา)๔๗ สิกขา๒- ๓ ๑. อธิสีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง) ๒. อธิจิตตสิกขา (สิกขาคือจิตอันยิ่ง) ๓. อธิปัญญาสิกขา (สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง)๔๘ ภาวนา๓- ๓ ๑. กายภาวนา (การอบรมกาย) ๒. จิตตภาวนา (การอบรมจิต) ๓. ปัญญาภาวนา (การอบรมปัญญา) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๑/๕๕ @๒ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๘๒/๓๐๙ @๓ ดูเทียบ องฺ.ปญฺจก. (แปล) ๒๒/๗๙/๑๔๕ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๒}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๔๙ อนุตตริยะ ๓ ๑. ทัสสนานุตตริยะ (การเห็นอันยอดเยี่ยม) ๒. ปฏิปทานุตตริยะ (การปฏิบัติอันยอดเยี่ยม) ๓. วิมุตตานุตตริยะ (การหลุดพ้นอันยอดเยี่ยม)๕๐ สมาธิ๑- ๓ ๑. สวิตักกสวิจารสมาธิ (สมาธิที่มีทั้งวิตกและวิจาร) ๒. อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ (สมาธิที่ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร) ๓. อวิตักกอวิจารสมาธิ (สมาธิที่ไม่มีวิตกและไม่มีวิจาร)๕๑ สมาธิ๒- ๓ อีกนัยหนึ่ง ๑. สุญญตสมาธิ (สมาธิที่พิจารณาเห็นความว่าง) ๒. อนิมิตตสมาธิ (สมาธิที่พิจารณาธรรมอันไม่มีนิมิต) ๓. อัปปณิหิตสมาธิ (สมาธิที่พิจารณาธรรมไม่มีความตั้งปรารถนา)๕๒ โสเจยยะ๓- (ความสะอาด) ๓ ๑. กายโสเจยยะ (ความสะอาดทางกาย) ๒. วจีโสเจยยะ (ความสะอาดทางวาจา) ๓. มโนโสเจยยะ (ความสะอาดทางใจ) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๘๔/๔๐๙ @๒ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๘๔/๔๐๙ @๓ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๒๑/๓๖๖ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๓}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๕๓ โมเนยยะ๑- (ธรรมที่ทำให้เป็นมุนี) ๓ ๑. กายโมเนยยะ (ธรรมที่ทำให้เป็นมุนีทางกาย) ๒. วจีโมเนยยะ (ธรรมที่ทำให้เป็นมุนีทางวาจา) ๓. มโนโมเนยยะ (ธรรมที่ทำให้เป็นมุนีทางใจ)๕๔ โกสัลละ๒- (ความเป็นผู้ฉลาด) ๓ ๑. อายโกสัลละ (ความเป็นผู้ฉลาดในความเจริญ) ๒. อปายโกสัลละ (ความเป็นผู้ฉลาดในความเสื่อม) ๓. อุปายโกสัลละ๓- (ความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย)๕๕ มทะ(ความมัวเมา) ๓ ๑. อาโรคยมทะ (ความมัวเมาในความไม่มีโรค) ๒. โยพพนมทะ (ความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาว) ๓. ชีวิตมทะ (ความมัวเมาในชีวิต)๕๖ อธิปไตย๔- ๓ ๑. อัตตาธิปไตย (ความมีตนเป็นใหญ่) ๒. โลกาธิปไตย (ความมีโลกเป็นใหญ่) ๓. ธัมมาธิปไตย (ความมีธรรมเป็นใหญ่) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๑๒๓/๓๖๙ @๒ ดูเทียบ อภิ.วิ. (แปล) ๓๕/๗๗๑/๕๐๕ @๓ อุปายโกสัลละ หมายถึงปัญญาที่รู้จักวิธีทำการงานทั้งฝ่ายเสื่อมและฝ่ายเจริญ (ที.ปา.ฏีกา ๓๐๕/๒๗๐) @๔ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๔๐/๒๐๑ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๔}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๓
๕๗ กถาวัตถุ ๓ ๑. กล่าวถ้อยคำว่า กาลที่ล่วงไปแล้ว ได้มีแล้วอย่างนี้ ปรารภกาลส่วนอดีต ๒. กล่าวถ้อยคำว่า กาลที่ยังมาไม่ถึง จักมีอย่างนี้ ปรารภกาลส่วนอนาคต ๓. กล่าวถ้อยคำว่า กาลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าบัดนี้เป็นอยู่อย่างนี้ ปรารภกาล ส่วนปัจจุบันนี้๕๘ วิชชา๑- ๓ ๑. วิชชาคือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ความหยั่งรู้ที่ทำให้ระลึกชาติก่อนได้) ๒. วิชชาคือจุตูปปาตญาณ (ความหยั่งรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย) ๓. วิชชาคืออาสวักขยญาณ (ความหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะ ทั้งหลาย)๕๙ วิหารธรรม(ธรรมเป็นเครื่องอยู่) ๓ ๑. ทิพพวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของเทพ) ๒. พรหมวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม) ๓. อริยวิหารธรรม (ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะ)๖๐ ปาฏิหาริย์๒- ๓ ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์) ๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คือการทายใจ) ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์คืออนุศาสนี) @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๖๐/๒๓๐-๒๓๑ @๒ ดูเทียบ องฺ.ติก. (แปล) ๒๐/๖๑/๒๓๔ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๕}
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค [๑๐. สังคีติสูตร]
สังคีติหมวด ๔
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย นี้แล คือธรรมหมวดละ ๓ ประการ ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้ว พวกเราทั้งหมดนี้แหละพึงสังคายนา ไม่พึงวิวาทกันในธรรมนั้น ฯลฯ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายสังคีติหมวด ๓ จบ สังคีติหมวด ๔ [๓๐๖] ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมหมวดละ ๔ ประการ ที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้ว มีอยู่ พวกเราทั้งหมดนี้แหละพึงสังคายนา ไม่พึงวิวาทกันในธรรมนั้น ฯลฯ เพื่อ ประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมหมวดละ ๔ ประการ คืออะไร คือ๑ สติปัฏฐาน๑- (ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ) ๔ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ... ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิต ... ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ @เชิงอรรถ : @๑ ดูเทียบ ที.ม. (แปล) ๑๐/๓๗๒/๓๐๑, องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๒๗๔/๓๙๐ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๒๗๖}
เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับ มจร. เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๒๕๙-๒๗๖. https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/read_page.php?book=11&page=259&pages=18&edition=mcu ศึกษาพระสูตร (เนื้อความ) นี้แยกตามสารบัญ :- https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=11&A=7398 https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_line.php?B=11&A=7398#p259 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 :- https://84000.org/tipitaka/read/?index_11 https://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu11 https://84000.org/tipitaka/english/?index_11
จบการแสดงผล หน้าที่ ๒๕๙-๒๗๖.
บันทึก ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]