ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์
             ใน ๒ อย่างนั้น ความพยาบาท เป็นไฉน
	จิตอาฆาต การกระทบกระทั่ง ความกระทบกระทั่ง ความยินร้าย ความ
เคือง การขุ่นเคือง ความขุ่นเคือง ความคิดประทุษร้าย การมุ่งคิดประทุษร้าย
ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความพยาบาทแห่งจิต ความคิดประทุษร้ายแห่งใจ ความ
โกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย
ภาวะที่คิดประทุษร้าย ความคิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ภาวะที่คิดปองร้าย
การยินร้าย  ความยินร้าย ความดุร้าย ความปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต อันใด
นี้เรียกว่า พยาบาท
	ความประทุษร้าย เป็นไฉน
	ความพยาบาทอันใด ความพยาบาทอันนั้น ชื่อว่า ความประทุษร้าย
ความประทุษร้ายอันใด ความประทุษร้ายอันนั้น ชื่อว่า ความพยาบาท
	ความพยาบาทและความประทุษร้ายนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป
ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง
ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
ละความพยาบาทและความประทุษร้าย ด้วยประการฉะนี้
	[๖๓๐] บทว่า มีจิตไม่พยาบาท มีอธิบายว่า จิต เป็นไฉน
	จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต
จิตนี้ไม่พยาบาท ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีจิตไม่พยาบาท
	[๖๓๑] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๓๒] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความพยาบาทและความประทุษร้าย
มีอธิบายว่า ความพยาบาท มีอยู่ ความประทุษร้าย มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น ความพยาบาท เป็นไฉน
	จิตอาฆาต การกระทบกระทั่ง ความกระทบกระทั่ง ความยินร้าย ความ
เคือง การขุ่นเคือง ความขุ่นเคือง ความคิดประทุษร้าย การมุ่งคิดประทุษร้าย
ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความพยาบาทแห่งจิต ความคิดประทุษร้ายแห่งใจ ความ
โกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย
ภาวะที่คิดประทุษร้าย ความคิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ภาวะที่คิดปองร้าย
การยินร้าย ความยินร้าย ความดุร้าย ความปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต
อันใด นี้เรียกว่า ความพยาบาท
	ความประทุษร้าย เป็นไฉน
	ความพยาบาทอันใด ความพยาบาทอันนั้น ชื่อว่า ความประทุษร้าย
ความประทุษร้ายอันใด ความประทุษร้ายอันนั้น ชื่อว่า ความพยาบาท
	จิต เป็นไฉน
	จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต
	ภิกษุ ชำระจิตให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น ให้
พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากความพยาบาทและความประทุษร้ายนี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความพยาบาทและความประทุษร้าย ด้วยประ
การฉะนี้
	[๖๓๓] คำว่า ละถีนมิทธะ ได้แล้ว มีอธิบายว่า ถีนะ มีอยู่ มิทธะ
มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น ถีนะ เป็นไฉน
	ความไม่สมประกอบ ความไม่ควรแก่การงาน ความท้อแท้ ความท้อถอย
แห่งจิต ความย่อหย่อน กิริยาที่ย่อหย่อน ภาวะที่ย่อหย่อน ความหดหู่ กิริยาที่
หดหู่ ภาวะที่หดหู่ แห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ถีนะ
	มิทธะ เป็นไฉน
	ความไม่สมประกอบ ความไม่ควรแก่การงาน ความง่วงซึม ความ
เฉื่อยชา ความซบเซา ความหาวนอน ความหลับ ความโงกง่วง ความหลับ
กิริยาที่หลับ ภาวะที่หลับแห่งเจตสิก อันใด นี้เรียกว่า มิทธะ
	ถีนะและมิทธะนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือด-
*แห้งไปด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ละถีนมิทธะ
ได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้
	[๖๓๔] คำว่า เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีอธิบายว่า ชื่อว่า เป็นผู้
ปราศจากถีนมิทธะ เพราะถีนมิทธะนั้นอันภิกษุนั้นสละแล้ว คายแล้ว ปล่อย
แล้ว ละแล้ว สละคืนแล้ว ละแล้วและสละคืนแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ ด้วยประการฉะนี้
	บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า อยู่
	[๖๓๕] บทว่า มีอาโลกสัญญา มีอธิบายว่า สัญญา เป็นไฉน
	การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันใด นี้เรียกว่า สัญญา สัญญานี้ สว่าง
เปิดเผย บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีอาโลกสัญญา
	[๖๓๖] บทว่า มีสติสัมปชัญญะ มีอธิบายว่า สติ เป็นไฉน
	สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ
	สัมปชัญญะ เป็นไฉน
	ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ
	ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยสติและสัมปชัญญะ
นี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ ด้วยประการฉะนี้
	[๖๓๗] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ มีอธิบายว่า ถีนะ
มีอยู่ มิทธะ มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น ถีนะ เป็นไฉน
	ความไม่สมประกอบแห่งจิต ฯลฯ ภาวะที่หดหู่แห่งจิต อันใด นี้เรียก
ว่า ถีนะ
	มิทธะ เป็นไฉน
	ความไม่สมประกอบ ฯลฯ ภาวะที่หลับแห่งเจตสิก อันใด นี้เรียกว่า
มิทธะ
	จิต เป็นไฉน
	จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต
	ภิกษุ ชำระจิตนี้ให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธ์ ให้พ้น ให้
พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากถีนมิทธะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์
จากถีนมิทธะ
	[๖๓๘] คำว่า ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว มีอธิบายว่า อุทธัจจะ มีอยู่
กุกกุจจะ มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น อุทธัจจะ เป็นไฉน
	ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความพล่าน
แห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ
	กุกกุจจะ เป็นไฉน
	ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ความสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มีโทษ ความสำคัญว่า ไม่มีโทษในของที่มีโทษ
ความรำคาญ กิริยาที่รำคาญ ภาวะที่รำคาญ ความเดือดร้อนใจ ความยุ่งใจ ซึ่ง
มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า กุกกุจจะ
	อุทธัจจะและกุกกุจจะนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไป
อย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง
ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศจากไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้
	[๖๓๙] บทว่า เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีอธิบายว่า ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
เพราะอุทธัจจกุกกุจจะนั้นอันภิกษุนั้นสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว
สละคืนแล้ว ละแล้วและสละคืนแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
	[๖๔๐] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๔๑] บทว่า ภายใน ได้แก่เป็นภายในเฉพาะตน
	บทว่า มีจิตสงบ มีอธิบายว่า จิต เป็นไฉน
	จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต
	จิตนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ภายใน ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
มีจิตสงบภายใน
	[๖๔๒] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ มีอธิบายว่า
อุทธัจจะ มีอยู่ กุกกุจจะ มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น อุทธัจจะ เป็นไฉน
	ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความพล่าน
แห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ
	กุกกุจจะ เป็นไฉน
	ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ฯลฯ ความยุ่งใจ ซึ่งมีลักษณะเช่น
ว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า กุกกุจจะ
	จิต เป็นไฉน
	จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต
	ภิกษุ ชำระจิตให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น ให้
พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากอุทธัจจะและกุกกุจจะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ชำระ
จิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ
	[๖๔๓] คำว่า ละวิจิกิจฉาได้แล้ว มีอธิบายว่า วิจิกิจฉา เป็นไฉน
	การเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ความคิดเห็น
ไปต่างๆ นานา ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้ ความเห็นเป็นสองแง่ ความเห็น
เหมือนทางสองแพร่ง ความสงสัย ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วนเดียวได้
ความคิดส่ายไป ความคิดพร่าไป ความไม่สามารถจะหยั่งลงถือเอาเป็นยุติได้
ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา
	วิจิกิจฉานี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือด
แห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ละวิจิกิจฉา
ได้แล้ว
	[๖๔๔] บทว่า เป็นผู้ข้ามเสียได้ซึ่งวิจิกิจฉา มีอธิบายว่า เป็นผู้ข้ามแล้ว
ข้ามพ้นแล้ว ข้ามออกแล้วซึ่งวิจิกิจฉานี้ ถึงฝั่งแล้ว ถึงฝั่งแล้วโดยลำดับ
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้ข้ามเสียได้ซึ่งวิจิกิจฉา
	[๖๔๕] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๔๖] คำว่า ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย มีอธิบายว่า ไม่
เคลือบแคลง ไม่สงสัย ไม่มีความสงสัย หมดความสงสัย ปราศจากความ
สงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยวิจิกิจฉานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ไม่มีความ
สงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย
	[๖๔๗] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา มีอธิบายว่า วิจิกิจฉา
เป็นไฉน
	การเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ฯลฯ ความ
กระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา
	จิต เป็นไฉน
	จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต
	ภิกษุ ชำระจิตนี้ให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น ให้
พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากวิจิกิจฉานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์
จากวิจิกิจฉา
	[๖๔๘] คำว่า ละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ได้แล้ว มีอธิบายว่า นิวรณ์ ๕
เหล่านี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป
ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้
มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ละนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ได้แล้ว
	[๖๔๙] คำว่า เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ได้แก่นิวรณ์ ๕ เหล่านี้
เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต
	[๖๕๐] คำว่า ทำปัญญาให้ทราม มีอธิบายว่า ปัญญาที่ยังไม่เกิดขึ้น
ย่อมไม่เกิดขึ้น และปัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป เพราะนิวรณ์ ๕ เหล่านี้
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ทำปัญญาให้ทราม
	[๖๕๑] คำว่า สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว มี
อธิบายว่า กาม เป็นไฉน
	ฉันทะ ชื่อว่า กาม ราคะ ชื่อว่า กาม ฉันทราคะ ชื่อว่า กาม
สังกัปปะ ชื่อว่า กาม ราคะ ชื่อว่า กาม สังกัปปราคะ ชื่อว่า กาม ธรรม
เหล่านี้ เรียกว่า กาม
	อกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นไฉน
	กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ธรรม
เหล่านี้ เรียกว่า อกุศลธรรมทั้งหลาย
	ภิกษุ สงัดจากกามและอกุศลธรรมเหล่านี้แล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว ด้วยประการฉะนี้
	[๖๕๒] คำว่า ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีอธิบายว่า วิตก มีอยู่
วิจาร มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น วิตก เป็นไฉน
	ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์
ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ สัมมาสังกัปปะ อันใด
นี้เรียกว่า วิตก
	วิจาร เป็นไฉน
	ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์อยู่เนืองๆ อันใด นี้เรียกว่า วิจาร
	ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยวิตกและวิจารนี้
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยวิตก วิจาร ด้วยประการฉะนี้
	[๖๕๓] บทว่า เกิดวิเวก มีอธิบายว่า ธรรมเหล่านั้น คือ วิตก วิจาร
ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต เกิดแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิด
เฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว ในวิเวกนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เกิดแต่วิเวก
	[๖๕๔] บทว่า มีปีติและสุข มีอธิบายว่า ปีติ มีอยู่ สุข มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น ปีติ เป็นไฉน
	ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความร่าเริง
ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความปีติอย่างโลดโผน ความที่จิตชื่นชมยินดี อันใด
นี้เรียกว่า ปีติ
	สุข เป็นไฉน
	ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุข
อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
อันใด นี้เรียกว่า สุข
	สุขนี้ สหรคต เกิดร่วม เจือปน สัมปยุต ด้วยปีตินี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า มีปีติและสุข
	[๖๕๕] บทว่า ปฐม คือ เป็นที่ ๑ ตามลำดับแห่งการนับฌานนี้ ชื่อว่า
ปฐมฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งแรก
	[๖๕๖] บทว่า ฌาน ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต
	[๖๕๗] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความ
ถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งปฐมฌาน
	[๖๕๘] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๕๙] คำว่า เพราะวิตกวิจารสงบ มีอธิบายว่า วิตก มีอยู่ วิจาร มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น วิตก เป็นไฉน
	ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ อันใด นี้เรียกว่า วิตก
	วิจาร เป็นไฉน
	ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์อยู่เนืองๆ อันใด นี้เรียกว่า วิจาร
	วิตกและวิจารนี้ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำ
ให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้ง
ด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะวิตกวิจารสงบ
ด้วยประการฉะนี้
	[๖๖๐] บทว่า เป็นไปในภายใน ได้แก่เป็นของภายในเฉพาะตน
	บทว่า ผ่องใส ได้แก่ ศรัทธา กิริยาที่เชื่อ ความปลงใจเชื่อ ความ
เลื่อมใสยิ่ง
	[๖๖๑] คำว่า เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ ได้แก่ ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ
สัมมาสมาธิ
	[๖๖๒] คำว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีอธิบายว่า วิตก มีอยู่ วิจาร มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น วิตก เป็นไฉน
	ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ อันใด นี้เรียกว่า วิตก
	วิจาร เป็นไฉน
	ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
อารมณ์ ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์อยู่เนืองๆ อันใด นี้เรียกว่า
วิจาร
	วิตกและวิจารนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้
มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ด้วยประการฉะนี้
	[๖๖๓] บทว่า เกิดแต่สมาธิ มีอธิบายว่า ธรรมเหล่านั้น คือ ความ
ผ่องใส ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต เกิดแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิด
เฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว ในสมาธินี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เกิดแต่สมาธิ
	[๖๖๔] บทว่า มีปีติและสุข มีอธิบายว่า ปีติ มีอยู่ สุข มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น ปีติ เป็นไฉน
	ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ฯลฯ ความที่จิตชื่นชมยินดี อันใด
นี้เรียกว่า ปีติ
	สุข เป็นไฉน
	ความสบายทางใจ ฯลฯ กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่
เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า สุข
	สุขนี้ สหรคต เกิดร่วม เจือปน สัมปยุต ด้วยปีตินี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า มีปีติและสุข
	[๖๖๕] บทว่า ทุติยะ คือ เป็นที่ ๒ ตามลำดับแห่งการนับฌานนี้
ชื่อว่าทุติยฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งที่ ๒
	[๖๖๖] บทว่า ฌาน ได้แก่ ความผ่องใส ปีติ สุข เอกัคคตา แห่งจิต
	[๖๖๗] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งทุติยฌาน
	[๖๖๘] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๖๙] คำว่า เพราะคลายปีติได้อีกด้วย มีอธิบายว่า ปีติ เป็นไฉน
	ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความร่าเริง
ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความปีติอย่างโลดโผน ความที่จิตชื่นชมยินดี อันใด
นี้เรียกว่า ปีติ
	ปีตินี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้
พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี
ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะคลายปีติได้อีกด้วย
	[๖๗๐] บทว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีอธิบายว่า อุเบกขา เป็นไฉน
	ความวางเฉย กิริยาที่วางเฉย ความเพ่งเฉพาะ ความเป็นกลางแห่งจิต
อันใด นี้เรียกว่า อุเบกขา
	ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยอุเบกขานี้ ด้วยเหตุ
นั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา
	[๖๗๑] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๗๒] คำว่า มีสติสัมปชัญญะ มีอธิบายว่า ใน ๒ อย่างนั้น สติ
เป็นไฉน
	สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ
	สัมปชัญญะ เป็นไฉน
	ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ
	ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยสติและ
สัมปชัญญะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ ด้วยประการฉะนี้
	[๖๗๓] คำว่า เสวยสุขด้วยนามกาย มีอธิบายว่า สุข เป็นไฉน
	ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอัน
เกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส อันใด
นี้เรียกว่า สุข
	กาย เป็นไฉน
	สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้เรียกว่า กาย
	ภิกษุ ย่อมเสวยสุขนี้ ด้วยกายนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เสวยสุข
ด้วยนามกาย
	[๖๗๔] คำว่า เป็น ฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุ
มีอธิบายว่า พระอริยเจ้า เป็นไฉน
	พระพุทธเจ้าและพระสาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระอริยเจ้า
พระอริยเจ้าเหล่านั้น ย่อมกล่าวสรรเสริญ แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก ทำให้ชัดเจน ประกาศ ซึ่งบุคคลผู้ได้บรรลุนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุ
	[๖๗๕] คำว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข มีอธิบายว่า
อุเบกขา เป็นไฉน
	ความวางเฉย กิริยาที่วางเฉย ความเพ่งเฉพาะ ความเป็นกลางแห่งจิต
อันใด นี้เรียกว่า อุเบกขา
	สติ เป็นไฉน
	สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ
	สุข เป็นไฉน
	ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอัน
เกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส อันใด
นี้เรียกว่า สุข
	ภิกษุ ประกอบด้วยอุเบกขา สติ และสุขนี้ สืบเนื่องอยู่ ประพฤติ
เป็นไปอยู่ รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ด้วยประการฉะนี้
	[๖๗๖] บทว่า ตติยะ คือ เป็นที่ ๓ ตามลำดับแห่งการนับฌานนี้
ชื่อว่า ตติยฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งที่ ๓
	[๖๗๗] บทว่า ฌาน ได้แก่ อุเบกขา สติ สัมปชัญญะ สุข
เอกัคคตาแห่งจิต
	[๖๗๘] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งตติยฌาน
	[๖๗๙] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๘๐] คำว่า เพราะละสุขและทุกข์ได้ มีอธิบายว่า สุข มีอยู่ ทุกข์
มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น สุข เป็นไฉน
	ความสบายทางกาย ความสุขทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุข
อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส อันใด
นี้เรียกว่า สุข
	ทุกข์ เป็นไฉน
	ความไม่สบายทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย
เป็นทุกข์อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่
กายสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า ทุกข์
	สุขและทุกข์นี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้ง
ด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะละสุขและ
ทุกข์ได้ ด้วยประการฉะนี้
	[๖๘๑] คำว่า เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีอธิบาย
ว่า โสมนัส มีอยู่ โทมนัส มีอยู่
	ใน ๒ อย่างนั้น โสมนัส เป็นไฉน
	ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอัน
เกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส อันใด
นี้เรียกว่า โสมนัส
	โทมนัส เป็นไฉน
	ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็น
ทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่
เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า โทมนัส
	โสมนัสและโทมนัสนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่าง
ราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำ
ให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้วในก่อน ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน ด้วยประการฉะนี้
	[๖๘๒] บทว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีอธิบายว่า ไม่มีความสบายทางใจ
ไม่มีความไม่สบายทางใจ มีแต่ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่
เจโตสัมผัส มีแต่กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
	[๖๘๓] บทว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา มีอธิบายว่า อุเบกขา
เป็นไฉน
	ความวางเฉย กิริยาที่วางเฉย ความเพ่งเฉพาะ ความเป็นกลางแห่งจิต
อันใด นี้เรียกว่า อุเบกขา
	สติ เป็นไฉน
	สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ
	สตินี้ เปิดเผย บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว เพราะอุเบกขานี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
	[๖๘๔] บทว่า จตุตถะ คือ เป็นที่ ๔ ตามลำดับแห่งการนับฌานนี้
ชื่อว่า จตุตถฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งที่ ๔
	[๖๘๕] บทว่า ฌาน ได้แก่ อุเบกขา สติ เอกัคคตาแห่งจิต
	[๖๘๖] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งจตุตถฌาน
	[๖๘๗] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๘๘] คำว่า เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง มี
อธิบายว่า รูปสัญญา เป็นไฉน
	การจำ กิริยาที่จำ ความจำ ของโยคาวจรบุคคลผู้เข้ารูปาวจรสมาบัติ
หรือของผู้อุปบัติในรูปภูมิ หรือของพระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เหล่านี้
เรียกว่า รูปสัญญา
	ภิกษุก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งรูปสัญญาเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
	[๖๘๙] คำว่า เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา มีอธิบายว่า
ปฏิฆสัญญา เป็นไฉน
	รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
เหล่านี้เรียกว่า ปฏิฆสัญญา ปฏิฆสัญญาเหล่านี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป
ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้
เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา
	[๖๙๐] คำว่า เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา มีอธิบายว่า
นานัตตสัญญา เป็นไฉน
	การจำ กิริยาที่จำ ความจำ ของบุคคลผู้ไม่เข้าสมาบัติ พรั่งพร้อมด้วย
มโนธาตุ หรือพรั่งพร้อมด้วยมโนวิญญาณธาตุ เหล่านี้ เรียกว่า นานัตตสัญญา
ภิกษุย่อมไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา เหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะ
ไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา
	[๖๙๑] บทว่า อากาศไม่มีที่สุด มีอธิบายว่า อากาศ เป็นไฉน
	อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่า
ความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้อง
แล้ว อันใด นี้เรียกว่า อากาศ ภิกษุตั้งจิตไว้ ตั้งจิตไว้ด้วยดี แผ่จิตไปไม่มีที่สุด
ในอากาศนั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อากาศไม่มีที่สุด
	[๖๙๒] บทว่า อากาสานัญจายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้เข้า
อากาสานัญจายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในอากาสานัญจายตนภูมิ หรือของพระ
อรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
	[๖๙๓] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งอากาสานัญจายตนะ
	[๖๙๔] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุ จึงเรียกว่า อยู่
	[๖๙๕] คำว่า เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการ
ทั้งปวง มีอธิบายว่า ภิกษุ ก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งอากาสานัญ-
*จายตนะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการ
ทั้งปวง
	[๖๙๖] คำว่า วิญญาณไม่มีที่สุด มีอธิบายว่า ภิกษุ พิจารณาอากาศ
อันวิญญาณถูกต้องแล้วนั้นแล แผ่จิตไปไม่มีที่สุด ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
วิญญาณไม่มีที่สุด
	[๖๙๗] บทว่า วิญญาณัญจายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้เข้า
วิญญาณัญจายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในวิญญาณัญจายตนภูมิ หรือของพระ
อรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
	[๖๙๘] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะ
	[๖๙๙] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๗๐๐] คำว่า เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการ
ทั้งปวง มีอธิบายว่า ภิกษุ ก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งวิญญาณัญ-
*จายตนะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการ
ทั้งปวง
	[๗๐๑] คำว่า วิญญาณน้อยหนึ่งไม่มี มีอธิบายว่า ภิกษุ พิจารณา
เห็นว่า วิญญาณนั้นแลไม่มี ไม่ปรากฏ อันตรธานไปน้อยหนึ่งไม่มี ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า วิญญาณน้อยหนึ่งไม่มี
	[๗๐๒] บทว่า อากิญจัญญายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้เข้า
อากิญจัญญายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในอากิญจัญญายตนภูมิ หรือของพระอรหันต์
ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
	[๗๐๓] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งอากิญจัญญายตนะ
	[๗๐๔] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่
	[๗๐๕] คำว่า เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการ
ทั้งปวง มีอธิบายว่า ภิกษุ ก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งอากิญจัญ-
*ญายตนะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการ
ทั้งปวง
	[๗๐๖] บทว่า มิใช่ผู้มีสัญญาและมิใช่ผู้ไม่มีสัญญา มีอธิบายว่า
ภิกษุพิจารณาอากิญจัญญายตนฌานนั้นแล โดยความสงบ เจริญสมาบัติอันมีสังขาร
เหลืออยู่ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มิใช่ผู้มีสัญญาและมิใช่ผู้ไม่มีสัญญา ๑-
	[๗๐๗] บทว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้
เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
หรือของพระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
	[๗๐๘] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง ความถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
	[๗๐๙] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ประพฤติเป็นไปอยู่
รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่าอยู่
สุตตันตภาชนีย์ จบ

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ บรรทัดที่ ๘๑๒๘-๘๕๔๘ หน้าที่ ๓๕๒-๓๖๙. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=35&A=8128&Z=8548&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=35&A=8128&w=พยาบาท_เป็นไฉน&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5], [6]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=35&siri=48              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=35&i=600              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=35&A=6666#629top              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=54&A=8253              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=35&A=6666#629top              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=54&A=8253              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ http://84000.org/tipitaka/read/?index_35              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/vb12/en/thittila#pts-s509

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]