ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒
อุปสัมบันล้ออุปสัมบัน
พูดล้อกดกระทบชาติ
[๒๔๖] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ- *ทราม คือพูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน เทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติ- *อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อ กุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตร ทราม คือพูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่า ท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่าน โมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการ งานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่าน ทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงาน ช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการ งานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่าน ทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่าน ทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบศิลปะ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลปะ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการ ช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ, ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบศิลปะ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการ ช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบศิลปะ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการ ช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็น โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรค กลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่าน เป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ขาว เกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบกิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลส อุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่าน ปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่าน ปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้อง อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบความประพฤติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ความประพฤติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโสดาบัน ว่าท่านเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มี ความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็น สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็น พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม
[๒๔๗] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม- *วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้ อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อชวกัณณกะ บางพวก ชื่อธนิฏฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อ สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวกทำงานเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำการค้าขาย บางพวก ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวกมีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมีวิชาการช่างคำนวณ บางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็นโรคฝี บางพวกเป็น โรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวกดำ เกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูกโทสะย่ำยี บางพวก ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวกปราศจากโทสะ บางพวก ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวกต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวกมีความประพฤติ ดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติ ดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวกเป็นคนฉลาด บางพวก เป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม
[๒๔๘] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... การทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... ทำการค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม
... ภิกษุพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม
[๒๔๙] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนา จะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติ คนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติ คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม
... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม
... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม
... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำการค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปะทราม
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการจักช่างสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างเขียน ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็น โรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม
... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่สูงนัก ... ไม่ใช่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม
... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบความประพฤติอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่ผู้เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม
... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์
... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ บรรทัดที่ ๕๘๕๕-๖๒๙๒ หน้าที่ ๒๔๑-๒๕๘. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=2&A=5855&Z=6292&pagebreak=0 http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=2&A=5855&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5], [6]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=2&siri=36              ศึกษาอรรถกถาได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=2&i=-246              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=2&A=3204              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/read/roman_read.php?B=2&A=3204              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ http://84000.org/tipitaka/read/?index_2              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/pli-tv-bu-vb-pc2/en/brahmali#pli-tv-bu-vb-pc2:2.7.0

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกชองแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖. บันทึก ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙. บันทึกล่าสุด ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]