ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



นานาปัญหา
โดย คณะสหายธรรม
 

๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ
          ถาม  ผมอยากทราบว่า ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร
          มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑ และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒ เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕ ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล) ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร
          ขอคำอธิบายจากคณะสหายธรรมด้วยว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้

          ตอบ  ก่อนอื่นขอเรียนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักธรรมขั้นสูง คือมรรคผลนิพพานนั้น บางนิกายก็มีความเห็นแตกต่างไปจากนิกายเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ คำถามที่คุณตั้งมานั้นจะเป็นคำสอนของผู้ใดนิกายไหนคณะไม่อาจทราบได้ แต่คำสอนในนิกายเถรวาทไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น
          ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
                    ๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
                    ๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
                    ๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์
          ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึงจิตทั้งสิ้น ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ก็คือจิตนั่นเอง
          ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าขันธ์ของพระอรหันต์ดับไปเพียง ๔ ขันธ์ วิญญาณขันธ์คือจิตมิได้ดับด้วยจึงยังคงเหลือบริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จิตก็เที่ยง เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี่ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจึงถูกต้องไปไม่ได้
          อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์ และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ ไม่ใช่ ๓ ขันธ์ดับ วิญญาณขันธ์ไม่ดับ เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย และต้องแตกดับพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย ไม่ใช่ดับเพียง ๓ ขันธ์ เหลือวิญญาณขันธ์คือจิตไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท
          ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
          ดังที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
          “ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
          ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้

          ในพรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
          “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
          จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
          อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
          อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ ท่านเรียกว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้น เรียกว่าจุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
          ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้และในนิกายเถรวาทนี้
________________________________________

ที่มา อ้างอิงและแนะนำ :-
          พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔
          มหาวรรค ภาค ๑
          พระอัสสชิเถระแสดงธรรม
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=4&A=1358&Z=1456#65

          พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑
          ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
          พรหมชาลสูตร
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=09&A=1&Z=1071#90

          พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔
          มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
          มหาตัณหาสังขยสูตร
          ว่าด้วย สาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=12&A=8041&Z=8506

          พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘
          สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
          อัสสุตวตาสูตร
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566

          พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๙
          สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
          ยมกสูตร ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566

ดาวน์โหลดนานาปัญหาทั้ง ๕๑ ข้อ นานาปัญหา โดยคณะสหายธรรม บันทึก ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]