ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
               ปัฏฐานที่ประชุมสมันตปัฏฐาน ๒๔ เหล่านี้ คือ
                         ปัฏฐาน ๖ ในธรรมอนุโลม.
                         ปัฏฐาน ๖ ในธรรมปฏิโลม.
                         ปัฏฐาน ๖ ในธรรมอนุโลมปัจจนีย.
                         ปัฏฐาน ๖ ในธรรมปัจจนิยานุโลม.
               ชื่อว่า มหาปกรณ์ (ปกรณ์ใหญ่).

               ว่าด้วยการเปรียบกับสาคร               
               บัดนี้ เพื่อการรู้แจ้งถึงความที่พระอภิธรรมนี้เป็นธรรมลึกซึ้ง พึงทราบสาคร (ทะเล) ๔ คือ
                         ๑. สังสารสาคร    (สาคร คือ สงสาร)
                         ๒. ชลสาคร         (สาคร คือ น้ำมหาสมุทร)
                         ๓. นยสาคร         (สาคร คือ นัย)
                         ๔. ญาณสาคร     (สาคร คือ พระญาณ)

               บรรดาสาครทั้ง ๔ นั้น ชื่อว่า สังสารสาคร คือ สังสารวัฏที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
                         ขนฺธานญฺจ ปฏิปาฏิ    ธาตุอายตนานญฺจ
                         อพฺโภจฺฉินฺนํ วตฺตมานา    สํสาโรติ ปวุจฺจติ
                                   ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ และอายตนะ
                         ซึ่งกำลังเป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า
                         สงสาร.
               นี้ชื่อว่า สังสารสาคร.
               สังสารสาครนี้นั้น เพราะเหตุที่เงื่อนเบื้องต้นของความเกิดขึ้นแห่งสัตว์เหล่านี้ย่อมไม่ปรากฏ คือไม่มีกำหนดว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้ว ในที่สุดเพียงร้อยปีเท่านั้น เพียงพันปีเท่านั้น เพียงแสนปีเท่านั้น เพียงร้อยกัปเท่านั้น เพียงพันกัปเท่านั้น เพียงแสนกัปเท่านั้น ในกาลก่อนแต่นี้มิได้มีเลย ดังนี้.
               หรือว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วในกาลแห่งพระราชาพระนามโน้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามโน้น ในกาลก่อนแต่นั้นไม่มีเลย ดังนี้
               แต่ว่า มีโดยนัยนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนเบื้องต้นแห่งอวิชชาไม่ปรากฏ ในกาลก่อนแต่นี้อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี ดังนี้.๑-
               การกำหนดเงื่อนมีในเบื้องต้นและที่สุดที่บุคคลรู้ไม่ได้นี้ ชื่อว่า สังสารสาคร.
____________________________
๑- องฺ ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๖๑

               มหาสมุทร พึงทราบว่า ชื่อ ชลสาคร มหาสมุทรนั้นลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ขึ้นชื่อว่า การประมาณน้ำในมหาสมุทรนั้นว่ามีเท่านี้ คือมีน้ำร้อยอาฬหกะ พันอาฬหกะ หรือแสนอาฬหกะไม่ได้เลย. โดยที่แท้ ห้วงมหาสมุทรนั้นย่อมปรากฏว่า ใครๆ พึงนับไม่ได้ พึงประมาณไม่ได้ ย่อมถึงการนับว่าเป็นห้วงน้ำใหญ่โดยแท้. นี้ชื่อว่า ชลสาคร.

               นัยสาคร เป็นไฉน?
               นัยสาคร ได้แก่ พระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ปีติโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแก่บุคคลทั้งหลายผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา มีความเลื่อมใสมาก มีญาณอันยิ่งแก่ผู้พิจารณาตันติแม้ทั้งสอง.
               ตันติแม้ทั้งสอง เป็นไฉน?
               ตันติทั้งสอง คือ พระวินัยและพระอภิธรรม ปีติและโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแก่ภิกษุวินัยธรทั้งหลายผู้พิจารณาตันติแห่งวินัยว่า ชื่อว่าการบัญญัติสิกขาบทอันสมควรแก่โทษ ธรรมดาว่าสิกขาบทนี้ย่อมมีเพราะโทษนี้ เพราะการก้าวล่วงอันนี้ ดังนี้ และเกิดแก่ผู้พิจารณาอุตริมนุสธรรมเปยยาล แก่ผู้พิจารณานีลเปยยาล ผู้พิจารณาสัญจริตเปยยาลว่า การบัญญัติสิกขาบทไม่ใช่วิสัยของชนเหล่าอื่น เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น.
               ปีติและโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแม้แก่ภิกษุผู้เรียนพระอภิธรรม ผู้พิจารณาอยู่ซึ่งตันติแห่งพระอภิธรรมว่า พระศาสดาของเราทั้งหลาย เมื่อทรงจำแนกแม้ความแตกต่างแห่งขันธ์ แม้ความแตกต่างแห่งอายตนะ แม้ความแตกต่างแห่งธาตุ ความแตกต่างแห่งอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ กรรม วิบาก การกำหนดรูปและอรูป ธรรมอันละเอียดสุขุม ทรงกระทำแต่ละข้อในรูปธรรมและอรูปธรรมให้เป็นส่วนๆ แสดงไว้ เหมือนการนับดาวทั้งหลายในท้องฟ้า ฉะนั้น.
               ก็ในการเกิดขึ้นแห่งปีติโสมนัสนั้น พึงทราบแม้เรื่องดังต่อไปนี้.
               ดังได้สดับมา พระเถระชื่อว่า มหานาคติมิยติสสทัตตะ เมื่อไปสู่ฝั่งโน้น ด้วยคิดว่า เราจักไหว้ต้นมหาโพธิ์ จึงนั่งที่พื้นเบื้องบนเรือแลดูมหาสมุทร.
               ทีนั้น ในครั้งนั้น ฝั่งโน้นไม่ปรากฏแก่ท่านเลย ฝั่งนี้ก็ไม่ปรากฏ เป็นเช่นกับแผ่นเงินอันเขาแผ่ออก และเช่นกับเครื่องลาดทำด้วยดอกมะลิ ฉะนั้น. ท่านคิดว่า กำลังคลื่นของมหาสมุทรมีกำลังหรือหนอ หรือว่า นยมุข (เนื้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำไว้) ในสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประเภทมีกำลัง ดังนี้.
               ทีนั้น ปีติมีกำลังก็เกิดขึ้นแก่ท่านผู้พิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุมว่า การกำหนดในมหาสมุทรย่อมปรากฏ เพราะว่า มหาสมุทรนี้เบื้องล่างกำหนดด้วยแผ่นดิน เบื้องบนกำหนดด้วยอากาศ ข้างหนึ่งกำหนดด้วยภูเขาจักรวาล ข้างหนึ่งกำหนดด้วยฝั่ง แต่การกำหนดสมันตปัฏฐานย่อมไม่ปรากฏ ดังนี้.
               ท่านข่มปีติแล้วเจริญวิปัสสนาตามที่นั่งอยู่ ยังกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไป แล้วตั้งอยู่ในพระอรหัตซึ่งเป็นธรรมอันเลิศ แล้วเปล่งอุทานว่า
                                   พระโยคีย่อมเห็นธรรมที่ลึกซึ้ง อันตรัสรู้ได้แสนยาก
                         มีเหตุเป็นแดนเกิดขึ้น อันพระมเหสีทรงรู้ยิ่งโดยพระองค์เอง
                         แสดงไว้โดยลำดับ โดยสิ้นเชิง ในสมันตปัฏฐานนี้เท่านั้น
                         เหมือนกับเป็นรูปร่างทีเดียว.
               นี้ชื่อว่า นยสาคร.

               ญาณสาคร เป็นไฉน?
               สัพพัญญุตญาณ ชื่อว่า ญาณสาคร.
               จริงอยู่ ญาณอื่นไม่อาจเพื่อจะรู้สาครนั้นว่า นี้ชื่อว่าสังสารสาคร นี้ชื่อชลสาคร นี้ชื่อนยสาคร แต่สัพพัญญุตญาณเท่านั้นอาจเพื่อรู้ได้ เพราะฉะนั้น สัพพัญญุตญาณจึงชื่อว่าญาณสาคร.
               บรรดาสาครทั้ง ๔ เหล่านี้ นยสาครประสงค์เอาในที่นี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้สัพพัญญูเท่านั้น ย่อมแทงตลอดในนัยสาครนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้นี้ ประทับนั่งที่ควงไม้โพธิ์ทรงแทงตลอดนัยสาครนี้ เมื่อทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์แทงตลอดแล้ว ประทับนั่งโดยบัลลังก์เดียวตลอดสัปดาห์ว่า เมื่อเราเสาะแสวงหาธรรมนี้หนอ ล่วงไปถึง ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ภายหลังเรานั่ง ณ บัลลังก์นี้จึงยังกิเลส ๑,๕๐๐ ให้สิ้นไปแล้วแทงตลอดได้ ดังนี้. ลำดับนั้น จึงเสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์ ประทับยืนแลดูบัลลังก์ตลอดสัปดาห์ด้วยพระเนตรอันไม่กระพริบ ด้วยพระดำริว่า สัพพัญญุตญาณ เราแทงตลอดแล้ว ณ บัลลังก์นี้หนอ ดังนี้.
               ลำดับนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลายมีความปริวิตกเกิดขึ้นว่า แม้ในวันนี้ พระสิทธัตถะพึงทำกิจที่ควรทำเป็นแน่ จึงยังไม่ละความอาลัยในบัลลังก์ ดังนี้. พระศาสดาทรงทราบวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะยังวิตกของเทวดาเหล่านั้นให้สงบ จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสแสดงยมกปาฏิหาริย์.
               จริงอยู่ ปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงทำที่มหาโพธิบัลลังก์ก็ดี ที่สมาคมแห่งพระญาติก็ดี ที่สมาคมปาฏลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเช่นกับยมกปาฏิหาริย์ ที่ทำที่ควงไม้คัณฑามพฤกษ์นั่นแหละ ครั้นทรงทำปาฏิหาริย์อย่างนี้แล้ว จึงเสด็จลงจากอากาศ แล้วเสด็จจงกรมตลอดสัปดาห์ ในระหว่างแห่งบัลลังก์และสถานที่อันพระองค์ประทับยืนอยู่แล้ว ก็ใน ๒๑ วันเหล่านี้ แม้วันหนึ่ง รัศมีทั้งหลายมิได้ออกจากสรีระของพระศาสดา แต่ในสัปดาห์ที่ ๔ ทรงประทับนั่งในเรือนแก้วในทิศพายัพ ชื่อว่า เรือนแก้ว มิใช่เรือนที่สำเร็จด้วยรัตนะ แต่บัณฑิตพึงทราบ สถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง ๗ ว่า เป็นเรือนแก้ว.
               บรรดาปกรณ์ทั้ง ๗ นั้น แม้เมื่อทรงพิจารณาธรรมสังคณี รัศมีทั้งหลายก็ไม่ซ่านออกไปจากพระสรีระ เมื่อพิจารณาวิภังคปกรณ์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุปกรณ์ และยมกปกรณ์ รัศมีทั้งหลายก็มิได้ซ่านออกไปจากพระสรีระ แต่เมื่อใด ก้าวลงสู่มหาปกรณ์เริ่มพิจารณาว่า เหตุปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย ฯเปฯ อวิคตปจฺจโย ดังนี้ เมื่อนั้น สัพพัญญุตญาณโดยความเป็นอันเดียวกันของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พิจารณาสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประการ ย่อมได้โอกาส (ช่อง) ในมหาปกรณ์นั่นแหละ เปรียบเหมือนปลาใหญ่ ชื่อว่า ติมิรปิงคละ ย่อมได้โอกาสโดยความเป็นอันเดียวกันในมหาสมุทรอันลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์นั่นแหละฉันใด พระสัพพัญญุตญาณก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมได้โอกาสในมหาปกรณ์ โดยความเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ.

.. สมันตปัฏฐาน จบ.

อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=0&A=&Z=
-------------------------------------------------  
ดาวน์โหลดโปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๐  กันยายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]