บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกพวกรักษาอุโบสถมาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทำอุโบสถกรรมให้สำเร็จดีแล้ว ผู้ที่รักษาอุโบสถควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญเมตตา อยู่รักษาอุโบสถ ก็บัณฑิตครั้งก่อนได้ยศใหญ่ เพราะอาศัยอุโบสถกรรมที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้ พวกอุบาสกเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี ในพระ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนจนตระกูลหนึ่ง รับจ้างเขาเลี้ยงชีพ เป็นอยู่ด้วยความลำบาก. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักทำงานรับจ้าง จึงได้ไปยังเรือนของ ท่านเศรษฐีได้เคยพูดบอกแก่ลูกจ้างคนอื่นๆ ไว้ในวันที่มาถึงว่า ผู้ที่ทำงานใน นับแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์เป็นคนว่าง่าย ทุ่มเทชีวิต มิได้คิดเห็นแก่ความ อยู่มาวันหนึ่ง เขาป่าวประกาศมหรสพในพระนคร. มหาเศรษฐีเรียกนางทาสี พระโพธิสัตว์ทำงานตลอดวัน กลับมาในเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้ว. ลำดับนั้น พวกจัดอาหาร พระโพธิสัตว์ถามว่า วันอื่นๆ ในเวลาเช่นนี้ได้มีเรื่องอื้ออึง แต่วันนี้เขาไปไหนกันหมด เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถไปที่อยู่ของตนๆ จึงคิดว่า เราเป็นคนทุศีลคนเดียว จักอยู่ไม่ได้ในกลุ่มของคนผู้มีศีลเหล่านี้ เมื่อเราอธิษฐานองค์อุโบสถเดี๋ยวนี้ จักเป็นอุโบสถกรรมหรือไม่หนอ คิดดังนี้แล้ว จึงไปถามท่านเศรษฐี. ลำดับนั้น ท่านเศรษฐีกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ จะเป็นอุโบสถกรรมไปทั้งหมดไม่ได้ เพราะไม่ได้อธิษฐานแต่เช้า แต่ก็เป็นเพียงกึ่งอุโบสถกรรมเท่านั้น. พระโพธิ ครั้นราตรีล่วงเข้าปัจฉิมยาม ลมสัตถกวาตก็เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ เพราะอดอาหาร ขณะนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงรถพระที่นั่งทำประทักษิณพระนครด้วยบริวารใหญ่ เสด็จถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริราชสมบัติของพระเจ้าพาราณ อุทัยกุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาศิลปะทุกอย่าง ระลึกถึง ครั้นพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ ทอดพระเนตรดู อยู่มาวันหนึ่ง ชาวเมืองเตรียมการเล่นมหรสพในพระนคร มหาชนพากันสนใจดูการเล่น. ครั้งนั้น บุรุษรับจ้างคนหนึ่ง อยู่ใกล้ประตูทิศอุดรเมืองพาราณสี เก็บทรัพย์กึ่งมาสกที่ได้มาด้วยการรับจ้างตักน้ำไว้ที่ซอกอิฐกำแพงเมือง ได้อยู่ร่วมกับหญิงกำพร้าคนหนึ่งซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างตักน้ำเหมือนกัน ในพระนครนั้น. หญิงนั้นกล่าวกะเขาว่า นาย ในพระนครเขามีมหรสพกัน ถ้าท่านพอมีทรัพย์อยู่บ้าง แม้เราทั้งสองก็จะไปเที่ยวเล่นกัน. เขาตอบว่า จ๊ะ เราพอมีทรัพย์. มีเท่าไรนาย? มีอยู่กึ่งมาสก ทรัพย์นั้นอยู่ไหน? ฉันเก็บไว้ในซอกอิฐใกล้ประตูทิศอุดร ที่เก็บทรัพย์ไกลจากที่เราอยู่นี้ ๑๒ โยชน์ ก็ทรัพย์ในมือของเจ้า มีบ้างหรือ? มีจ๊ะ มีเท่าไร? มีอยู่กึ่งมาสกเหมือนกัน ทรัพย์ของเธอกึ่งมาสก ของฉันกึ่งมาสก รวมเป็นหนึ่งมาสก เราจักเอาทรัพย์นั้น ส่วนหนึ่งซื้อดอกไม้ ส่วนหนึ่งซื้อของหอม ส่วนหนึ่งซื้อสุรา แล้วไปเที่ยวเล่นกัน ท่านจงไปนำทรัพย์กึ่งมาสกที่เก็บไว้มาเถิด. บุรุษรับจ้างร่าเริงยินดีว่า ภรรยาเชื่อถือถ้อยคำของเรา จึงกล่าวว่า น้องรักเจ้าอย่าวิตกไปเลย ฉันจักนำทรัพย์นั้นมา ดังนี้แล้วหลีกไป. บุรุษรับจ้างมีกำลังเท่าช้างสาร เดินล่วงมรรคาไปได้ ๖ โยชน์ ครั้นเวลาเที่ยง เดินเหยียบทรายร้อนราวกะว่าถ่านไฟ เขาร่าเริงยินดีเพราะอยากได้ทรัพย์ นุ่งห่มท่อนผ้ากาสาวะ ประดับใบตาลที่หู เดินขับร้องเพลงเฉื่อยเรื่อยไปผู้เดียว เดินผ่านไปทางพระ พระเจ้าอุทัยราชเปิดสีหบัญชรประทับยืนอยู่ ทอดพระเนตรเห็นบุรุษรับจ้างเดินมาอย่างนั้น ทรงพระดำริว่า อะไรหนอที่ทำให้บุรุษนี้ไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนั้น มีความร่าเริงยินดีเดินร้องเพลงไป เราจักถามเขาดู ดังนี้ แล้วทรงส่งบุรุษไปคนหนึ่งให้เรียกมา. เมื่อบุรุษนั้นไปบอกว่า พระราชาตรัสเรียกท่าน เขาตอบว่า พระราชาเป็นอะไรกับเรา เราไม่รู้จักพระราชา ดังนี้. จึงถูกนำตัวไปโดยการใช้กำลัง ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระราชา เมื่อจะตรัสถามเขา ได้ตรัสคาถาสองคาถา ความว่า :- แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดารดาษไปด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดด บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคารชาตา ความว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ แผ่นดินนี้ร้อนระอุ บทว่า กุกฺกุฬานุคตา ความว่า ดาษไปด้วยทรายร้อนราวกะเถ้ารึง กล่าวคือเถ้าอันร้อนทั่วแล้ว. บทว่า วตฺตานิ ความว่า เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงขับอยู่ได้. บุรุษรับจ้างนั้นได้ฟังดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็นคาถาที่ ๓ ความว่า :- ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่ แต่ว่าวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมเผา บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาตปฺปา ได้แก่ วัตถุกามและกิเลสกาม ก็วัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้น ย่อมแผดเผาบุรุษ เพราะเหตุนั้น บุรุษรับจ้างจึงเรียกวัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้นว่า อาตัปปา. บทว่า อตฺถา หิ วิวิธา ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ความประสงค์หลายอย่าง กล่าวคือกิจการต่างๆ ที่จะต้องทำ เพราะอาศัยวัตถุกามและกิเลสกามของข้าพระองค์มีอยู่ วัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้นเผาข้าพระองค์ ส่วนแดดไม่ชื่อว่าเผาข้าพระองค์. ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามบุรุษรับจ้างว่า ความประสงค์ของเจ้าเป็นอย่างไร? เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์อยู่ร่วมกับหญิงกำพร้าใกล้ประตูทิศทักษิณ นางนั้นถามข้าพระองค์ว่า นายเราจักไปดูการเล่นมหรสพ ท่านมีทรัพย์อยู่ในมือบ้างไหม? ข้าพระองค์ได้กล่าวกะนางว่า ทรัพย์เราฝังเก็บไว้ที่ซอกกำแพงใกล้ประตูด้านทิศอุดร นางกล่าวว่า ท่านจงไปนำทรัพย์นั้นมา เราทั้งสองจักไปดูการเล่นมหรสพ แล้วส่งข้าพระองค์มา ถ้อยคำของนางนั้นจับใจข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงถ้อยคำของนางนั้น ความร้อนคือกามย่อมเผาเอาความประสงค์ของข้าพระองค์เป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ถ้าเมื่อเจ้าไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนี้ อะไรเป็นเหตุให้เจ้ายินดีเดินร้องเพลง. บุรุษนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์นำทรัพย์ที่ฝังไว้นั้นมาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางนั้น ด้วยเหตุดังกราบทูลมานี้ ข้าพระองค์จึงยินดีขับเพลงขับ. พระราชาตรัสถามว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ ก็ทรัพย์ที่ฝังเก็บไว้ที่ประตูด้านทิศอุดร มีประมาณแสนหนึ่งได้ไหม? เขากราบทูล ไม่มีถึงดอก พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามโดยลำดับว่า ถ้าเช่นนั้น มีห้าหมื่น สี่หมื่น สามหมื่น สองหมื่น หนึ่งหมื่น ห้าพัน ห้าร้อย สี่ร้อย สามร้อย สองร้อย หนึ่งร้อย ห้า สี่ สาม สอง หนึ่งกหาปณะ ครึ่งกหาปณะ หนึ่งบาท สี่มาสก สาม สอง หนึ่งมาสก. บุรุษรับจ้างปฏิเสธทุกขั้นตอน เมื่อพระราชาตรัสว่า ครึ่งมาสก เขากราบทูลว่า ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ทรัพย์ของข้าพระองค์มีเพียงเท่านี้ ข้าพระองค์เดินมาด้วยนึกในใจว่า นำทรัพย์มาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางดังนี้ ด้วยปิติโสมนัสนั้น ลมและแดดนั้นจึงไม่ชื่อว่าแผดเผาข้าพระองค์. ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะบุรุษนั้นว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ แดดร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าไปที่นั้นเลย เราจะให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้า. เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์จักตั้งอยู่ในพระดำรัสของพระองค์ รับเอาทรัพย์ครึ่งมาสกนั้น และจักไม่ทำทรัพย์ที่ฝังไว้ให้เสียไป ข้าพระองค์จักไปถือเอาทรัพย์นั้น ไม่ยอมให้เสียเป้าหมายของการเดินทาง. พระราชาตรัสว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าจงกลับเถิด เราจักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งมาสก สองมาสก พระองค์ตรัสพระราชทานเพิ่มขึ้น โดยทำนองนี้จนถึงโกฏิ ร้อยโกฏิ และทรัพย์กำหนดนับไม่ได้ แล้วตรัสให้เขากลับเสีย เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ขอรับทรัพย์ที่พระราชทาน แม้ทรัพย์ที่ฝังไว้ ก็จักไปเอา. ต่อจากนั้น พระราชาได้ตรัสเล้าโลมด้วยฐานันดรมีตำแหน่งเศรษฐีเป็นต้นจนถึงจะให้ดำรง พระราชาทรงบังคับอำมาตย์ทั้งหลายว่า พวกเจ้าจงไปแต่งหนวดให้สหายของเรา แล้วให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วนำมาหาเรา. พวกอำมาตย์ได้กระทำตามรับสั่งนั้น. พระราชาแบ่งราชสมบัติออกเป็นสองส่วน พระราชทานให้บุรุษรับจ้างนั้น ครอบครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็บุรุษรับจ้างนั้น ครองราชสมบัตินั้นแล้ว ยังไปข้างทิศอุดร ด้วยความรักทรัพย์ครึ่งมาสก. เหตุนั้นเขาจึงได้นามว่า อัฑฒมาสกราช. พระเจ้าอุทัยราชกับพระเจ้าอัฑฒมาสกราช ทรงสามัคคี สนิทสนมกัน ครองราชสมบัติ วันหนึ่ง เสด็จไปพระราชอุทยาน พระเจ้าอุทัยราชทรงกีฬาในพระราชอุทยานนั้น จน เมื่อบรรทมหลับสนิทแล้ว พวกราชบริพารก็พากันไปเล่นกีฬาในที่นั้นๆ พระเจ้าอัฑฒมาสกราชทรงดำริว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะเสวยราชสมบัติกึ่งหนึ่งอยู่เป็นนิตย์ เราจักปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสียแล้ว เสวยราชสมบัติแต่ผู้เดียวดีกว่า ดังนี้แล้ว จึงชักพระแสงดาบออกจากฝัก คิดจะปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสีย แล้วมาหวนคิดขึ้นว่า พระราชาองค์นี้ได้ทำเราผู้เป็นคนจน คนกำพร้าให้มียศศักดิ์เสมอด้วยพระองค์ และตั้งเราไว้ในอิสรภาพใหญ่ยิ่ง การที่เราเกิดปรารถนาจะฆ่าผู้ที่ให้ยศแก่เราถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่เราไม่สมควรทำเลย คิดดังนี้แล้ว จึงยั้งสติได้ สอดพระแสงดาบเข้าฝัก แต่หวนคิดแล้วคิดเล่าถึงสองครั้งสามครั้ง จิตคิดฆ่านั้น ยังไม่สงบลงได้. ทีนั้นจึงตั้งพระทัยสะกดจิต คิดว่า จิตดวงนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะพึงประกอบเราไว้ในกรรมลามก จึงแข็งพระทัยขว้างพระแสงดาบไปบนพื้นดิน ปลุกพระเจ้าอุทัยราชให้ตื่นบรรทม แล้วหมอบ พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า ดูก่อนสหาย โทษในระหว่างท่านกับเราไม่มีมิใช่หรือ? มีพระองค์ หม่อมฉันได้ทำอย่างนี้ๆ. ถ้าเช่นนั้น เรายกโทษให้ท่าน ก็เมื่อท่านอยากได้ครองราชสมบัติ ก็จงครองราชสมบัติเถิด ส่วนเราจักเป็นอุปราชทำนุบำรุงท่าน. พระเจ้าอัฑฒมาสกราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการราชสมบัติ เพราะตัณหานี้จักให้ข้าพระองค์ไปเกิดในอบาย พระองค์จงครอบครองราชสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด ข้าพระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้า เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงตรัสคาถาที่ ๔ ความว่า :- ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ความว่า เจ้าจักไม่มีในภายในของเราด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า น โหหิสิ ความว่า เจ้าจักไม่เกิดขึ้น. ก็แหละครั้นตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนผู้ประกอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕ ความว่า :- กามแม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหหา เป็นบทแสดงถึงความสลดใจ. บทว่า ชคฺคโต แปลว่า ผู้เพียรเจริญอยู่. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า วัตถุกามและกิเลสกามแม้น้อย ก็ไม่พอเพียงสำหรับมหา พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ครั้นแสดงธรรมแก่มหาชนอย่างนี้แล้ว ให้พระเจ้าอุทัยราชทรงปกครองราชสมบัติ ละมหาชนผู้มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาร้องไห้อยู่ เข้าหิมวันต เมื่อพระเจ้าอัฑฒมาสกราชบวชแล้ว พระเจ้าอุทัยราชเมื่อจะเปล่งอุทานให้ครบกระบวน จึงตรัสคาถาที่ ๖ ความว่า :- การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราชถึงความเป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรม มีประมาณน้อยของเรา มาณพใดละกามราคะออกบวชแล้ว มาณพนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทโย พระเจ้าอุทัยราชตรัสหมายถึงพระองค์เอง. บทว่า มหตฺตปตฺตํ ความว่า ถึงความเป็นใหญ่ ได้แก่บรรลุถึงซึ่งอิสริยยศอันไพบูลย์. บทว่า มาณวสฺส ความว่า ชื่อว่าเป็นลาภอันมาณพผู้เป็นสหายของเรา ผู้ ก็เนื้อความของคาถานี้ไม่มีใครรู้. อยู่มาวันหนึ่ง พระอัครมเหสีทูลถามเนื้อความของพระคาถากะพระราชา ก็พระราชามีนายช่างกัลบกคนหนึ่งชื่อ คังคมาล. นายคังคมาลนั้น เมื่อจะแต่งพระมัสสุพระราชาได้ทำบริกรรมด้วยมีดโกนก่อน แล้วจึงถอนพระโลมาด้วยแหนบภายหลัง. เวลาที่บริกรรมด้วยมีดโกน พระราชาทรงมีความสุข เวลาที่ถอนพระโลมา พระราชาทรงมีความทุกข์. นายช่างกัลบกนั้นประสงค์จะให้พระราชาพระราชทานพรก่อน และหวังว่าจะปลงพระศกบนพระเศียรต่อภายหลัง. อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาได้ตรัสบอกความเรื่องนั้นแก่พระราชเทวีว่า น้องรัก นายมงคลกัลบก พระราชเทวีให้เรียกนายช่างกัลบกมาตรัสว่า คราวนี้ เมื่อถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุถวายพระราชา ท่านพึงถอนเส้นพระโลมาก่อน แล้วทำบริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง เมื่อพระราชาทรงประทานพรให้ ท่านพึงกราบทูลว่า ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอ ครั้นถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุได้หยิบแหนบก่อน เมื่อพระราชาตรัสถามว่า แน่ะคังคมาล ทำไมเจ้าจึงไม่กระทำเหมือนครั้งก่อนๆ เขา พระราชาตรัสว่า เจ้าจงรับพร. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอ พระราชาทรงละอายพระทัยที่จะตรัสบอกเรื่องที่พระองค์เป็นคนยากจน จึงตรัสว่า เจ้าจะต้องการพรข้อนี้ทำไม จงรับพรอย่างอื่นเถิด. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงประทานพรข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า. พระราชาทรงกลัวมุสาวาทกรรม จึงทรงรับคำ แล้วรับสั่งให้จัดแจงตกแต่งสิ่งทั้งปวง ตามนัยที่กล่าวแล้วใน กุมมาสปิณฑชาดก ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ตรัสเล่าปุริมกิริยาทั้งปวงว่า ดูก่อนคังคมาละ ในภพก่อน เราเกิดเป็นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทธารักษาศีลครึ่งวัน จุติจากอัตตภาพนั้น ได้มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเราละกามราคะไปบวชแล้ว เราเป็นคนประมาท หลงครองราชสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างท้าย. พระราชาตรัสบอกเนื้อความแห่งอุทาน ด้วยประการฉะนี้. ช่างกัลบกฟังเรื่องราวนั้นแล้วคิดว่า ได้ยินว่า พระราชาได้ราชสมบัตินี้ด้วยการรักษาอุโบสถกึ่งวัน ขึ้นชื่อว่ากุศลอันบุคคลควรทำ ถ้ากระไรเราพึงบวชสร้างที่พึ่งของตนเถิด คิดแล้วก็ละวงศ์ญาติและโภคสมบัติ ขอพระ คนเฝ้าพระราชอุทยานจำได้ จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นายช่างกัลบกคังคาลมาล เป็นพระ พระราชาเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พร้อมด้วยบริษัท. พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อจะทำปฏิสันถารกับพระราชา ได้เรียกพระราชาตามนามสกุลว่า ดูก่อนพรหมทัต พระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท ครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้นอยู่หรือ ดังนี้แล้วทำปฏิสันถาร. พระราชชนนีได้สดับดังนั้น ทรงพระพิโรธว่า คังคมาลนี้มีชาติเป็นคนเลว ลามก เป็นลูกช่างกัลบก ไม่รู้จักประมาณตน เรียกโอรสของเราซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นกษัตริย์โดยชาติ โดยชื่อว่า พรหมทัต ดังนี้ จึงตรัสคาถาที่ ๗ ความว่า :- สัตว์ทั้งหลายย่อมละกรรมชั่วด้วยตบะ แต่สัตว์เหล่านั้นจะละความเป็นคนผู้ใช้หม้อตักน้ำ คาถานั้นมีอธิบายดังนี้ พระราชชนนีตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมละบาปกรรมได้ด้วยตบะ คือตบะคุณที่ตนสร้างสมไว้ แต่ตบะเหล่านั้นจะละความเป็นผู้ใช้หม้อตักน้ำให้เขาอาบได้ด้วยหรือ แน่ะคังคมาละ การที่ท่านใช้ตบะของตนข่มขี่ เรียกโอรสของเราโดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น เป็นการไม่สมควรเลย. พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้ว เมื่อจะประกาศคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า :- ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลายพร้อมทั้งพระราชาและอำมาตย์ พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเป็นผู้อันชนทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตรดูผลแห่งขันติและโสรัจจะในปัจจุบันเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺติโสรจฺจสฺส ได้แก่ อธิวาสนขันติและโสรัจจะ. บทว่า ตํ วนฺทาม ความว่า ข้าแต่เสด็จแม่ บัดนี้ เราทั้งหลาย ทั้งพระราชาทั้งอำมาตย์ทุกถ้วนหน้า พากันไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า ขอเสด็จแม่จงทรงเห็นผลแห่งขันติและโสรัจจะเถิด. เมื่อพระราชาตรัสห้ามพระราชชนนีแล้ว มหาชนที่เหลือพากันลุกขึ้นกล่าวว่า ข้าแต่ พระราชาทรงห้ามมหาชนแล้ว เพื่อจะแสดงคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า :- ท่านทั้งหลายอย่าได้กล่าวอะไรๆ กะท่านคังคมาละผู้เป็นพระปัจเจกมุนี ศึกษา บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุนินํ ได้แก่ อาคาริกมุนี อนาคาริกมุนี เสขมุนี อเสขมุนี และพระปัจเจกมุนี. บทว่า โมนปเถสุ สิกฺขมานํ ความว่า ผู้ศึกษาอยู่ในคลองมุนี กล่าวคือโพธิปักขิยธรรม เพราะเป็นข้อปฏิบัติอันเป็นบุรพภาค. บทว่า อณฺณวํ ได้แก่ สมุทรคือสงสาร. พระราชาครั้นตรัสดังนี้แล้ว ได้ถวายนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าได้โปรดอดโทษแก่พระราชชนนีด้วยเถิด. พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสว่า ถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาอดโทษให้. แม้พวกราชบริษัทก็พากันขอขมาโทษพระปัจเจกพุทธเจ้า พระราชาขอปฏิญญาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อให้อยู่กับพระองค์ต่อไป. พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ถวายปฏิญญา เมื่อบริษัทพร้อมด้วยพระราชากำลังแลดูอยู่นั่นเอง ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ ถวายโอวาทแต่พระราชา แล้วเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์. พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าการอยู่รักษาอุโบสถ เป็นกิจที่บุคคลควรอยู่รักษา แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ได้มาเป็น พระอานนท์ พระราชชนนี ได้มาเป็น พระมหามายา พระอัครมเหสี ได้มาเป็น มารดาพระราหุล ส่วนพระเจ้าอุทัยราช ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา คังคมาลชาดก จบ. |