บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความย่อว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นให้พระมหาโมคคัลลาน ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ. ในครั้งนั้น พี่น้อง ๗ คนในหมู่บ้านกาสิกคาม ตำบลใดตำบลหนึ่ง เห็นโทษในกามทั้งหลาย พากันออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ท่ามกลางป่า ไม่ทำความเพียรในโยคะ เป็นผู้มากไปทางร่างกายแข็งแรง เที่ยวเล่นกีฬานานัปการ. ท้าวสักกะเทวราชทรงดำริว่า เราจักให้ฤๅษีเหล่านี้สลดใจ แล้วทรง เมื่อจะให้ฤๅษีเหล่านั้นสลดใจ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- เหล่าชนผู้กินเดนทั้งหลายพากันอยู่อย่างสบายดีจริงหนอ ทั้งในปัจจุบันก็น่าสรรเสริญ ทั้งในสัมปรายภพก็จะมีสุคติ. พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป นกแก้วกล่าวหมายถึง พวกคนที่กินอาหารที่เหลือจากผู้อื่นกินแล้ว. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ความว่า เหล่าชนแบบนี้ในปัจจุบันนี้ก็ควรสรรเสริญทีเดียว และ ลำดับนั้น บรรดาฤๅษีเหล่านั้น ฤๅษีตนหนึ่งได้ยินคำของนกแก้วนั้นแล้ว จึง ดูก่อนท่านบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อนกแก้วพูดอยู่ ท่านทั้งหลายก็ไม่สงบใจฟัง ดูก่อนท่านพี่น้องร่วมท้องทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนี้ นกแก้วนี้กำลังสรรเสริญเราทีเดียว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาสมานสฺส ความว่า เมื่อนกแก้วพูดอยู่ด้วยถ้อยคำของมนุษย์. บทว่า นิสาเมถ ได้แก่ไม่ฟัง. บทว่า อิทํ สุณาถ ความว่า ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนี้ของนกแก้วนั้น. เขาร้องเรียกคนเหล่านั้นว่าโสทริยา คือพี่น้องร่วมอุทร เพราะความเป็นผู้อยู่แล้วในอุทรเสมอกัน. ครั้งนั้น นกแก้ว เมื่อจะห้ามคนเหล่านั้นจึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- ดูก่อนท่านผู้กินซากศพทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สรรเสริญท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินของเหลือเป็นปกติ แต่ท่านทั้งหลายไม่เป็นผู้กินเดนเป็นปกติ. พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป นกแก้วร้องเรียกคนเหล่านั้นว่า กุณปาทา ความว่า ผู้กินซากศพ. คนเหล่านั้นได้ยินคำนั้นแล้วทั่วทั้งหมด ได้พากันกล่าวคาถา ที่ ๔ ว่า :- พวกเราบวชได้ ๗ พรรษาแล้ว เป็นเหมือนนกยูงอยู่กลางป่า เลี้ยงชีพด้วยอาหารที่เป็นเดนเท่านั้น ถ้าหากจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญสรรเสริญ? บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิขณฺฑิโน ความว่า ประกอบด้วยหงอน. บทว่า วิฆาเสเนว ความว่า พวกเราเมื่อเลี้ยงชีวิตด้วยอาหารที่เป็นเดนของราชสีห์และเสือโคร่งอย่างเดียวถึง ๗ ปี ตลอดกาลเท่านี้ ถ้าหากเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญพึงตำหนิไซร้ ก็ใครเล่าจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญควรสรรเสริญ. พระมหาสัตว์ เมื่อให้คนเหล่านั้นสลดใจอยู่ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :- ของที่เหลือของราชสีห์ เสือโคร่งและสัตว์ร้ายทั้งหลายมีอยู่ ท่านทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยอาหารที่เหลือนั้นนั่นเอง พวกเราสำคัญว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินเดนเป็นปกติ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลานญฺจาวสิฏฺฐกํ ของที่เหลือ คือโภชนะที่เหลือของสัตว์ร้ายทั้งหลายด้วย. ดาบสทั้งหลายได้ฟังคำนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ถ้าหากพวกเราไม่เป็นผู้กินเดนไซร้ ถ้าอย่างนั้นท่านตำหนิใครล่ะ? ใครเป็นผู้กินเดน ลำดับนั้น พระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะบอกข้อความนั้นแก่ดาบสเหล่านั้น จึงได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า :- ชนเหล่าใดให้ทานแก่สมณะ พราหมณ์และวณิพกอื่นแล้ว จึงบริโภคส่วนที่เหลือ ชนเหล่านั้นเป็นผู้กินเดน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วณิพฺพิโน ได้แก่ผู้ขอสิ่งของนั้นๆ พระมหาสัตว์ ครั้นให้ดาบสเหล่านั้นสลดใจแล้ว จึงไปที่อยู่ของตนนั่นเอง. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกไว้ว่า พี่น้องชาย ๗ คน ในครั้งนั้น ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลน่าเยาะเย้ยเหล่านี้ ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา วิฆาสาทชาดก จบ. |