บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า ภิกษุแก่นั้นให้เด็กคนหนึ่งบวช สามเณรบำรุงภิกษุแก่นั้นโดยเคารพ ครั้นกาลต่อมา ได้กระทำกาละโดยความไม่ผาสุก เพราะการทำกาละของสามเณรนั้น ภิกษุแก่ถูกความโกรธครอบงำ เที่ยวร่ำไห้ด้วยเสียงอันดัง. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจให้ยินยอมได้ จึงสั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุแก่ชื่อโน้นเที่ยวร่ำไห้ เพราะการทำกาละของสามเณร ภิกษุแก่นั่นคงจักเหินห่างการเจริญมรณัสสติ. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุแก่นี้ เมื่อสามเณรนั้นตายแล้ว ก็เที่ยวร่ำไห้อยู่ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ วันหนึ่ง ลูกเนื้อกินหญ้ามากไป ได้กระทำกาละเพราะไม่ย่อย ดาบสเที่ยวร่ำไห้ว่า ลูกเราตายเสียแล้ว. ในกาลนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาดูชาวโลก ทรงเห็นดาบสนั้น ดำริว่า จักทำดาบสนั้นให้สลดใจ จึงเสด็จมาแล้วประทับยืนในอากาศ ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :- การที่ท่านเศร้าโศกถึงลูกเนื้อผู้ละไปแล้ว เป็นการไม่สมควรแก่ท่านผู้หลีกออกจาก ดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:- ดูก่อนท้าวสักกะ ความรักของมนุษย์หรือเนื้อ ย่อมเกิดขึ้นในใจ เพราะอยู่ร่วมกันมา มนุษย์หรือเนื้อนั้น อาตมภาพไม่สามารถที่จะไม่เศร้าโศกถึงได้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ สกฺกา ความว่า อาตมภาพไม่อาจเพื่อจะไม่โศกถึงมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉานนั้น คืออาตมภาพเศร้าโศกถึงทีเดียว. ลำดับนั้น ท้าวสักกะได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า :- ชนเหล่าใดร้องไห้รำพัน บ่นเพ้อถึงผู้ตายไปแล้ว และผู้จะตายอยู่ในบัดนี้ การร้องไห้ของชนเหล่านั้น สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่าเปล่าจากประโยชน์ ดูก่อนฤาษี เพราะฉะนั้น ท่านอย่าร้องไห้เลย. ดูก่อนพราหมณ์ ผู้ที่ตายไปแล้ว ละไปแล้ว หากจะกลับเป็นขึ้นได้เพราะการร้อง บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มริสฺสํ ได้แก่ บุคคลผู้จักตายในบัดนี้. บทว่า ลปนฺติ จ ได้แก่ บ่นเพ้อ. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ชนเหล่าใดร้องไห้ถึงคนผู้ตายแล้ว และผู้จักตายอยู่ในโลก ชนเหล่านั้นก็คงจะร้องไห้และบ่นเพ้ออยู่ ชื่อว่าวันที่จะขาดน้ำตาของชนเหล่านั้น ย่อมไม่มี เพราะเหตุไร? เพราะคนผู้ตายไปแล้วและคนผู้ที่จะตายยังมีอยู่เสมอ. บทว่า อิสิ มา โรทิ ความว่า ดูก่อนฤาษี เพราะฉะนั้น ท่านอย่าร้องไห้เลย. เพราะเหตุไร? เพราะสัตบุรุษทั้งหลายกล่าวว่าการร้องไห้เปล่าประโยชน์. อธิบายว่า สัตบุรุษทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมกล่าวการร้องไห้ว่าเป็นหมัน. บทว่า มโต เปโต ความว่า ถ้าบุคคลที่เรียกว่า ผู้ตายแล้ว ผู้ละไปแล้ว จะพึงฟื้นขึ้นเพราะการร้องไห้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราจะอยู่เฉยทำไม พวกเราทั้งหมดทีเดียว จะพากันประชุมร้องไห้ถึงญาติทั้งหลายของกันและกัน ก็เพราะเหตุที่ญาติเหล่านั้นไม่ฟื้นขึ้นเพราะเหตุร้องไห้ เพราะฉะนั้น ท้าวสักกะจึงทรงประกาศการร้องไห้ว่าเป็นหมัน. เมื่อท้าวสักกะตรัสไปๆ อยู่อย่างนี้ ดาบสกำหนดได้ว่า การร้องไห้ไร้ประโยชน์ เมื่อจะกระทำการชมเชยท้าวสักกะ จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :- มหาบพิตร มารดอาตมภาพผู้เดือดร้อนยิ่งนักให้หายร้อน ดับความ มหาบพิตรมาถอนลูกศร คือความโศกที่เสียบแน่นอยู่ในหทัยของอาตมภาพออก ดูก่อนท้าววาสวะ อาตมภาพเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้ว ปราศจากความเศร้าโศก ไม่มีความมัวหมอง อาตมภาพจะไม่เศร้าโศกร้องไห้ เพราะได้ฟังถ้อยคำ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยมาสิ ตัดบทเป็น ยํ เม อาสิ. บทว่า หทยนิสฺสิตํ *(บาลีว่า หทยสฺสิตํ) ได้แก่ เสียบแน่นอยู่ในหทัย. บทว่า อปานุทิ ได้แก่ นำออกแล้ว. ท้าวสักกะ ครั้นประทานโอวาทแก่ดาบส แล้วก็เสด็จไปเฉพาะยังสถานที่ของ พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุแก่ใ นบัดนี้ เนื้อในครั้งนั้น ได้มาเป็น สามเณร ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถามิคโปตกชาดกที่ ๒ .. อรรถกถา มิคโปตกชาดก จบ. |