บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องทั้งสอง คือเรื่องปัจจุบันและเรื่องในอดีต ได้มีพิสดารแล้วในชาดกจบสุดท้ายแห่งนวมวรรค เอกนิบาต. แต่ในชาดกนี้ เมื่อคนมาบอกแก่พาราณสีเศรษฐีว่าคนของเศรษฐีชาว พาราณสีเศรษฐีจึงกล่าวว่า ธรรมดา คนผู้ไม่กระทำกิจที่จะพึงทำแก่คนผู้มายังสำนัก ผู้ใดหมดความอาย เกลียดชังความมีเมตตา กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่าน แต่ไม่ได้เอื้อเฟื้อทำการงานที่ดีกว่า บัณฑิตรู้จักผู้นั้นได้ดีว่าผู้นี้มิใช่มิตรสหายของเรา. เพราะว่าบุคคลทำอย่างไร ก็พึงกล่าวอย่างนั้น ไม่ทำอย่างไร ก็ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น บัณฑิตทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นว่า ผู้ไม่ทำให้สมกับพูด เป็นแต่พูดอยู่ว่า เราเป็นมิตรสหายของท่าน. ผู้ใดไม่ประมาทอยู่ทุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่รังเกียจในมิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแนบอกมารดาฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้. กุลบุตรผู้มองเห็นผลและอานิสงส์ เมื่อนำธุระหน้าที่ของลูกผู้ชายไปอยู่ ย่อมทำเหตุคือการทำความปราโมทย์ และความสุขอันนำมาซึ่งความสรรเสริญให้เกิดมีขึ้น. บุคคลได้ดื่มรสอันเกิดจากวิเวก รสแห่งความสงบ และรสคือธรรมปีติ ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย เป็นผู้หมดบาป. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิรินฺตรนฺตํ ได้แก่ ก้าวล่วงความละอาย. บทว่า วิชิคุจฺฉมานํ ได้แก่ ผู้เกลียดการเจริญเมตตา. บทว่า ตวาหมสฺมิ ความว่า พูดแต่คำพูดอย่างเดียวเท่านั้นว่า เราเป็นมิตรของท่าน. บทว่า เสยฺยานิ กมฺมานิ ความว่า ผู้ไม่เอื้อเฟื้อ คือไม่กระทำกรรมอันสูงสุดซึ่งสมควรแก่คำพูดว่า จักให้ จักทำ. บทว่า เนโส มมํ ความว่า พึงรู้แจ้งบุคคลเห็นปานนั้นว่า นั่นไม่ใช่มิตรของเรา. บทว่า ปาโมชฺชกรณํ ฐานํ ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนาและความเป็นมิตรกับบัณฑิต แต่ในที่นี้ ท่านกล่าวหมายเอาเฉพาะความเป็นมิตรซึ่งมีประการดังกล่าวแล้ว. จริงอยู่ ความเป็นมิตรกับบัณฑิตผู้เป็นกัลยาณมิตร ย่อมนำซึ่งความปราโมทย์ ทั้งนำมาซึ่งสรรเสริญ ท่านเรียกว่าความสุขดังนี้ก็มี เพราะเป็นเหตุแห่งสุขทางกายและทางใจ ในโลกนี้และโลกหน้า เพราะฉะนั้น กุลบุตรผู้เห็นผลและอานิสงส์นี้ ชื่อ บทว่า ปวิเวกรสํ ได้แก่ รสแห่งกายวิเวก จิตตวิเวกและอุปธิวิเวก คือรสแห่งความโสมนัสอันอาศัยวิเวกเหล่านั้นเกิดขึ้น. บทว่า อุปสมสฺส จ ได้แก่ โสมนัสอันได้แล้ว เพราะความสงบระงับกิเลส. บทว่า นิทฺทโร โหติ นิปฺปาโป ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย เพราะไม่มีความกระวนกระวายด้วยอำนาจของกิเลสทั้งปวง ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีบาป เพราะไม่มีกิเลส. บทว่า ธมฺมปีติรสํ ความว่า ดื่มรสกล่าวคือธรรมปีติ ได้แก่ ปีติอันเกิดแต่วิมุตติ. พระมหาโพธิสัตว์สยดสยองการเกลือกกลั้วกับปาปมิตร จึงถือเอายอดแห่งเทศนาโดยให้บรรลุพระอมตมหานิพพาน ด้วยรสแห่งวิเวกด้วยประการฉะนี้. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีชาวปัจจันตคามในครั้งนั้น ได้เป็นเศรษฐีชาวปัจจันตคามนี้แหละ ส่วนพาราณสีเศรษฐีในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา หิริชาดก จบ. |