บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องปัจจุบัน เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแหละ. ส่วนในชาดกนี้ พระราชาประทานยศใหญ่แก่อำมาตย์ผู้อุปการะช่วยเหลือ ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามอำมาตย์นั้นว่า เขาว่า ความฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านหรือ เมื่ออำมาตย์นั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประโยชน์ก็มาถึงข้าพระองค์ด้วยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ คือโสดาปัตติมรรคบังเกิดแล้ว พระเจ้าข้า. พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่แต่ท่านเท่านั้น จะนำเอาประโยชน์มาด้วยสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็นำมาแล้ว อันอำมาตย์นั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ สมัยต่อมา ฆฏกุมารนั้นเรียนศิลปะในเมืองตักกสิลาแล้วครองราชสมบัติโดยธรรม อำมาตย์คนหนึ่งในภายในพระราชวังของพระราชานั้นคิดประทุษร้าย. พระราชานั้นทรงทราบโดยชัดแจ้งจึงให้ขับไล่อำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น. ครั้นนั้น พระเจ้าธังกราชครองราชสมบัติในนครสาวัตถี อำมาตย์นั้นได้ไปยังราชสำนักของพระเจ้าธังกราชนั้น อุปัฏฐากท้าวเธอ ให้เชื่อถือคำของตน โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ แล้วให้ยึดราชสมบัติในนครพาราณสี. พระเจ้าธังกราชนั้น ครั้นยึดราชสมบัติได้แล้ว ให้เอาโซ่ตรวนพันธนาการพระโพธิสัตว์ไว้ แล้วส่งให้ เมื่อจะถามพระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :- ชนเหล่าอื่นเศร้าโศก ร้องไห้อยู่ ชนเหล่าอื่นมีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา ส่วน บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺเญ หมายถึงว่ามนุษย์ที่เหลือเว้นพระโพธิสัตว์นั้น. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อจะบอกเหตุที่ไม่เศร้าโศกแก่พระเจ้าธังกราชนั้น จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า :- ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้ว มาได้ไม่ หาได้นำความสุขในอนาคตมาได้ไม่ ดูก่อนธังกราชา เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก ความเป็นสหาย บุคคลผู้เศร้าโศกอยู่ ย่อมเป็นผู้ผอมเหลืองและไม่พอใจบริโภคอาหาร เมื่อเขาถูกลูกศร คือความเศร้าโศกเสียบแทงแล้วเร่าร้อนอยู่ พวกศัตรูย่อมดีใจ. ความฉิบหายอันมีความเศร้าโศกเป็นมูล จักไม่มาถึงหม่อมฉันผู้อยู่ในบ้านหรือในป่า ในที่ลุ่มหรือในที่ดอน หม่อมฉันเห็นบทฌานแล้วอย่างนี้. ตนผู้เดียวเท่านั้นจะสามารถนำกามรสทั้งปวงมาให้ได้ สหาย บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาพฺภตีตหโร แปลว่า นำสิ่งที่ล่วงไปแล้วมาไม่ได้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. ขึ้นชื่อว่าความโศกย่อมนำเอามาอีกไม่ได้ซึ่งสิ่งที่ล่วงเลยดับลับหายไปแล้ว. บทว่า ทุตียตา ได้แก่ ความเป็นสหาย. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าความโศกย่อมไม่เป็นสหายของใครๆ ในการที่จะนำเอาอดีตมา หรือในการที่จะนำเอาอนาคตมา ด้วยเหตุแม้นั้น เราจึงไม่เศร้าโศก. บทว่า โสจํ แปลว่า เศร้าโศกอยู่. บทว่า สลฺลวิทฺธสฺส รุปฺปโต ความว่า เมื่อบุคคลถูกลูกศรคือความโศกเสียบแทง คือถูกลูกศร คือความโศกกระทบอยู่ ศัตรูทั้งหลายย่อมดีใจว่า พวกเราเห็นหลังข้าศึกแล้ว. บทว่า ฐิตํ มํ นาคมิสฺสติ ความ ดูก่อนพระสหายธังกราช ความพินาศฉิบหายอันมีความโศกซึ่งมีสภาวะเป็นผู้ผอมเหลืองเป็นต้นเป็นมูล จักไม่มาถึงเราผู้สถิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ในบรรดาบ้านเป็นต้นเหล่านี้. บทว่า เอวํ ทิฏฺฐปโท ความว่า เราได้เห็นบทแห่งฌาน โดยประการที่ความพินาศฉิบหายนั้นยังไม่มาถึง. บางอาจารย์กล่าวว่า บทคือโลกธรรม ๘ ดังนี้ก็มี. แต่ในบาลีเขียนว่า น มตฺตํ นาคมิสฺสติ ความตายจักไม่มาถึง. คำที่เขียนไว้นั้น ย่อมไม่มีแม้ในอรรถกถาทั้งหลาย. ในคาถาสุดท้ายมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ตนที่ชื่อว่านำมาซึ่งกามรสทั้งปวง เพราะนำมาซึ่งสรรพกามรสกล่าวคือฌานสุข เพราะอรรถว่าน่าอยากได้ น่าปรารถนา. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ก็ตนผู้เดียวละเว้นสหายอื่นๆ เสีย ไม่อาจนำกามรสทั้งปวงมา คือไม่สามารถนำมาซึ่งกามรสทั้งปวง กล่าวคือความสุขในฌานทั้งปวงแก่พระราชาใด ทรัพย์สมบัติในแผ่นดินแม้ทั้งสิ้นก็จักไม่นำความสุขมาให้แก่พระราชานั้น เพราะธรรมดาความสุข ย่อมไม่มีแก่ผู้เดือดร้อนเพราะกาม ส่วนพระราชาผู้สามารถนำมาซึ่งความสุขในฌานอันเว้นจากความกระวนกระวายเพราะกิเลส ย่อมเป็นผู้มีความสุข. ส่วนเนื้อความของบาลีในคาถานี้ที่ว่า ยสฺสตฺถา นาลเมโก ดังนี้ก็มีนั้น ไม่ปรากฎแล. พระเจ้าธังกราชได้สดับคาถาทั้ง ๔ คาถาด้วยประการดังนี้แล้ว จึงขอขมาพระโพธิสัตว์แล้วมอบราชสมบัติคืน ได้เสด็จหลีกไปแล้ว. ฝ่ายพระมหาสัตว์มอบราชสมบัติแก่อำมาตย์ทั้งหลาย แล้วไปยังหิมวันต พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าธังกราชในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ส่วนพระเจ้าฆฏราชได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ธังกชาดก จบ. |