บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า กฎุมพีนั้น เมื่อภรรยาตายแล้วไม่อาบน้ำ ไม่รับ ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ได้ทอดพระเนตรเห็นกฎุมพีนั้น ทรงพระดำริว่าเว้นเราเสีย ใครๆ อื่นผู้จะนำความโศกออก แล้วให้โสดาปัตติ เมื่อกฎุมพีนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของ เรื่องในอดีตจักมีแจ้งใน จุลลโพธิชาดก ในทสกนิบาต. ส่วนในที่นี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ ในชาดกนี้ พระโพธิสัตว์ได้เป็นพรหมจารีแต่ยังเป็นกุมาร. ลำดับนั้น บิดามารดาของพระโพธิสัตว์นั้นบอกว่า เราจักจัดการแสวงหา บิดามารดาของพระโพธิสัตว์นั้นจึงให้ยกรูปทองคำนั้นขึ้นบนยานอันมิดชิด แล้วส่งคนทั้งหลายพร้อมทั้งบริวารเป็นอันมากไปโดยสั่งว่า พวกท่านจงไป จงเที่ยวไปยังพื้นชมพูทวีป เห็นกุมาริกาผู้เป็นพราหมณ์ซึ่งงามเห็นปานนี้ในที่ใด ท่านทั้งหลายจงให้รูป ก็ในกาลนั้น สัตว์ผู้มีบุญคนหนึ่งจุติจากพรหมโลก บังเกิดเป็นกุมา ชื่อว่าความคิดด้วยอำนาจกิเลสไม่เคยเกิดขึ้นแก่นางเลย นางได้เป็นสาว ชนทั้งหลายพารูปทองคำนั้นเที่ยวไปถึงบ้านนั้น คนทั้งหลายในบ้านนั้นเห็น เมื่อพระโพธิสัตว์และนางสัมมิลลหาสินีทั้งสองคน ไม่ปรารถนาเลย บิดามารดาก็ทำการมงคล สมรสให้. คนทั้งสองนั้นอยู่ในห้องเดียวกัน แม้จะนอนอยู่บนที่นอนเดียวกัน ก็ไม่ได้แลดูกันและกันด้วยอำนาจกิเลส อยู่ในสถานที่เดียวกัน เหมือนภิกษุ ๒ รูปและเหมือนพรหม ๒ องค์ อยู่ในที่เดียวกันฉะนั้น. จำเนียรกาลล่วงมา บิดามารดาของพระโพธิสัตว์ได้ทำกาลกิริยาตายลง พระโพธิ นางสัมมิลลหาสินีกล่าวว่า ข้าแต่ลูกเจ้า เมื่อท่านบวชดิฉันก็จักบวช ดิฉันไม่อาจทอดทิ้งท่านได้. คนทั้งสองนั้นจึงสละทรัพย์ทั้งหมดในทางทาน ละทิ้งสมบัติเหมือนก้อนเขฬะ เข้าไปยัง เมื่อดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้นอยู่ในพระราชอุทยานนั้น เมื่อปริพาชิกาผู้สุขุมาลชาติบริโภคภัตอันเจือปนปราศจากโอชะ ก็เกิดอาพาธลงโลหิต. นางเมื่อไม่ได้เภสัชอันเป็นสัปปายะก็ได้อ่อนกำลังลง. ในเวลาภิกขา มหาชนเห็นรูปสมบัติของปริพาชิกา พากันห้อมล้อมร้องไห้ร่ำไร. พระโพธิ มหาชนที่ยืนห้อมล้อมถามว่า ท่านผู้เจริญ ปริพาชิกานี้เป็นอะไรกับท่าน? พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อเวลาเป็นคฤหัสถ์ นางเป็นบาทบริจาริกาของเรา. มหาชนกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกเรายังอดทนไม่ได้ก่อน พากันร้องไห้ร่ำไร เพราะ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นางปริพาชิกานี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นอะไรๆ กับเรา บัดนี้ ไม่เป็นอะไรๆ กัน เพราะนางเป็นผู้สมัครสมานกับปรโลก ไปสู่อำนาจของคนอื่นแล้ว เราจะร้องไห้เพราะอะไร เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชน จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :- นางสัมมิลลหาสินีผู้เจริญได้ไปอยู่ในระหว่างพวกสัตว์ที่ตายไปแล้วเป็น ถ้าบุคคลจะเศร้าโศก ถึงสิ่งที่ไม่มีแก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น พึงเศร้าโศกถึงตนซึ่งตกอยู่ในอำนาจของมัจจุราชอยู่ทุกเวลา. อายุสังขารใช่ว่าจะติดตามเฉพาะสัตว์ผู้ยืน นั่ง นอน หรือเดินอยู่เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในเวลาชั่วลืมตา* หลับตา วัยก็เสื่อมไปแล้ว. ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความพลัดพรากจากกัน โดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังอยู่ควรเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง. ________________________ * แปลตามบาลี พม่า. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนํ วิชฺชติ ความว่า นางผู้เจริญนี้ทิ้งเราแล้ว บัดนี้ มีอยู่คือเกิดในระหว่างเหล่าสัตว์ที่ตายแล้วเหล่าอื่นเป็นอันมาก. บทว่า เตหิ เม กึ ภวิสฺสติ ความว่า เดี๋ยวนี้ นางเป็นไปกับพวกสัตว์ที่ตายแล้วนั้น จักเป็นอะไรกับเรา หรือว่านางจักเป็นอะไรแก่เรา ด้วยอำนาจความเกี่ยวพันเกินสัตว์เหล่านั้น คือนางจักเป็นใคร จะเป็นภรรยาหรือน้องสาว. บาลีว่า เตหิ เมกํ ดังนี้ก็มี อธิบายบาลีนั้นว่า กเลวระหว่างกายของเราแม้นี้ จักเป็นอันเดียวกันกับสัตว์ที่ตายแล้วเหล่านั้น. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่นางสัมมิลลหาสินีนี้ตายแล้ว สมาคมกับคนตายแล้วจะเป็นอะไรแก่เรา เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินีนี้. บทว่า ยํ ยํ ตสฺส ความว่า สิ่งใดๆ ย่อมไม่มีแก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้น ได้แก่ความตายคือความดับ ถ้าจะเศร้าโศกถึงสิ่งนั้นๆ บาลีว่า ยสฺส ดังนี้ก็มี. ความของบาลีนั้นว่า สิ่งใดๆ ย่อมมีแก่ผู้ใด ถ้าผู้นั้นจะเศร้าโศกถึงสิ่งนั้นๆ. บทว่า มจฺจุวสมฺปตฺตํ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บุคคลควรเศร้าโศกถึงเฉพาะตนผู้ถึงคือผู้จะไปสู่อำนาจของมัจจุราชเป็นนิจทีเดียว เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจะไม่มีเวลาเศร้าโศกเลย. ในคาถาที่ ๓ มีวินิจฉัยต่อไปนี้. พึงนำบาลีที่เหลือมาเชื่อมเข้ากัน ความว่า อายุสังขารย่อมไปตามสัตว์ไรๆ ก็ได้มิใช่ผู้ยืน นั่ง นอน หรือเดินเท่านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปตฺถคุํ ได้แก่ ผู้เที่ยวไปๆ มาๆ. อธิบายว่า สัตว์เหล่านี้ประมาทอยู่ใน บทว่า ยาวุปฺปตฺติ นิมิสฺสติ ความว่า ก็นี้เป็นโวหารเรียกกาลเวลานั้น. ท่านอธิบายว่า วัยของสัตว์เหล่านี้ ย่อมเสื่อมไป แม้ชั่วเวลาหลับตาและลืมตา คือในเวลามีประมาณเล็กน้อยอย่างนี้ คือวัยที่เหลือในวัยทั้งสาม ย่อมเสื่อมคือไม่เจริญ. บทว่า ตตฺถตฺตนิ วตปฺปนฺเถ ได้แก่ ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ. ท่านอธิบายว่า เมื่อวัยนั้นหนอเสื่อมไปอย่างนี้ อัตภาพอันถึงการนับว่า นี้เป็นอัตตา ย่อมเป็นทางอันตราย คือถูกผูกด้วยบ่วงเข้าไปครึ่งหนึ่งไม่เต็มบริบูรณ์ เมื่อเป็นอย่างนั้น ตนที่เป็นทางอันตรายนี้นั้น จะต้องมีความพลัดพรากจากกันแห่งสัตว์ทั้งหลายที่บังเกิดในภพนั้นๆ โดยไม่ต้องสงสัย คือหมดความสงสัย สัตว์ที่เหลืออยู่ยังไม่ตาย คือสัตว์ที่เหลืออยู่นั้นยังเป็นอยู่ คือมีชีวิตอยู่ ควรเอ็นดูกัน คือควรเมตตากัน พึงเจริญเมตตาในสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ขอสัตว์นี้จงอย่ามีโรค จงอย่าเบียดเบียนกัน ส่วนสัตว์ที่จุติเคลื่อนไปแล้ว คือตายแล้วไม่ควรเศร้าโศกถึง คือไม่ควรตามเศร้าโศกถึง. พระมหาสัตว์ เมื่อแสดงอาการไม่เที่ยงด้วยคาถา ๔ คาถาอย่างนี้ แสดงธรรมแล้ว. มหาชนพากันกระทำฌาปนกิจสรีระของนางปริพาชิกาแล้ว. พระโพธิสัตว์เข้าไปยัง พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ กฎุมพีได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. นางสัมมิลลหาสินีในครั้งนั้น ได้เป็น ราหุลมารดา ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบอรรถกถาอนนุโสจิยชาดกที่ ๘ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา อนนุโสจิยชาดก จบ. |