บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า ภาดา (พี่ชายน้องชาย) ของกฎุมพีนั้นได้ทำกาลกิริยาตายไป เขาถูกความโศกครอบงำ เพราะกาลกิริยาของกฏุมพีนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่บริโภคอาหาร ไม่ลูบไล้ ไปป่าช้าแต่เช้าตรู่ ถึง พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาปัจจุสมัย ทรงเห็นอุปนิสัย ฝ่ายกฏุมพีก็มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะกฏุมพีนั้นว่า ดูก่อนกฎุมพี ท่านคิดเสียใจอะไรหรือ. กฏุมพีกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดเสียใจตั้งแต่เวลาที่ภาดา (พี่ชายน้องชาย) ของข้าพระองค์ตายไป. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนผู้มีอายุ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สิ่งที่ควรจะแตกทำลาย ก็แตกทำลายไป ไม่ควรคิดเสียใจในเรื่องนั้น แม้โบราณ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิ ในกาลต่อมา พี่ชายนั้นได้ทำกาลกิริยาตายไปด้วยความป่วยไข้เห็นปานนั้น. ญาติมิตรและอำมาตย์ทั้งหลายพากันประคองแขนคร่ำครวญร้องไห้ แม้คนเดียวก็ไม่อาจดำรงอยู่โดยภาวะของ ดูเอาเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อพี่ชายของผู้นี้ตายไปแล้ว อาการแม้สักว่าหน้าสยิ้วก็ไม่มี เขามีใจแข็งกระด้างมาก เห็นจะอยากให้พี่ชายตายด้วยคิดว่า เราเท่านั้นจักได้ใช้สอยทรัพย์สมบัติทั้งสองส่วน. ฝ่ายญาติทั้งหลายก็ติเตียนพระโพธิสัตว์นั้นเหมือนว่า เมื่อพี่ชายตาย เจ้าไม่ร้องไห้. พระโพธิสัตว์นั้นได้ฟังคำของญาติเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายไม่รู้จักโลก แล้วกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :- ท่านทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงแต่คนที่ตายแล้วๆ ทำไมจึงไม่ร้องให้ถึงคนที่จักตายบ้างเล่า สัตว์ เทวดา มนุษย์ สัตว์จตุบาท หมู่ปักษีชาติ และพวกงู ไม่มีอิสระในสรีระร่างกายนี้ ถึงจะอภิรมย์อยู่ในร่างกายนั้น ก็ต้องละทิ้งชีวิตไปทั้งนั้น. สุขทุกข์ที่เพ่งเล็งกันอยู่ในหมู่มนุษย์ เป็นของผันแปร ไม่มั่นคงอยู่อย่างนี้ ความคร่ำครวญ ความร่ำไห้ ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะเหตุไร กองโศกจึงท่วมทับท่านได้. พวกนักเลง และพวกคอเหล้า ผู้ไม่ทำความเจริญ เป็นพาล ห้าวหาญ ไม่มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญนักปราชญ์ว่าเป็นคนพาล. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตมตเมว แปลว่า ตายไปแล้วๆ เท่านั้น. บทว่า อนุปุพฺเพน ความว่า เมื่อประจวบคราวตายของตนๆ สัตว์ทั้งหลายย่อมละชีวิตไปโดยลำดับๆ คือสัตว์ทั้งปวงไม่ใช่พากันตายพร้อมกัน ถ้าจะตายพร้อมกันอย่างนั้น ความเป็นไปของโลกก็จะขาดศูนย์ไป. บทว่า โภคิโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยขนาดร่างกายใหญ่โต. บทว่า รมมานา ความว่า สัตว์ทั้งหลายมีเทวดาเป็นต้นเหล่านี้แม้ทั้งหมดผู้บังเกิดในภพนั้นๆ ถึงจะชื่นชม คือไม่เดือดร้อนรำคาญในที่เกิดของตนๆ ก็ย่อมละทิ้งชีวิตไป. บทว่า เอวํ จลิตํ ความว่า สุขทุกข์ชื่อว่ายักย้ายไปไม่ดำรงอยู่ เพราะไม่มีความหยุดนิ่ง และความตั้งมั่นอยู่ในภพทั้ง ๓ อย่างนั้น. บทว่า กึ โว โสกคุณาภิกีรเร เพราะเหตุไร กองแห่งความโศกจึงครอบงำ คือท่วมทับท่านทั้งหลาย. บทว่า ธุตฺตา โสณฺฑา จ อกตา ความว่า นักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน นักดื่ม นักกินเป็นต้น เป็นผู้ไม่ทำความเจริญทั้งขาดการศึกษา. บทว่า พาลา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเขลา คือผู้ไม่รู้. บทว่า สูรา อโยคิโน ความว่า ชื่อว่าผู้ห้าวหาญ เพราะไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ชื่อว่าผู้ไม่มีความเพียร เพราะความเป็นผู้ไม่ประกอบความเพียร. บาลีว่า อโยธิโน ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ผู้ไม่สามารถรบกับกิเลสมาร. บทว่า ธีรํ มญฺญนฺติ พาโลติ เย ธมฺมสฺส อโกวิทา ความว่า พวกนักเลงเป็นต้นเห็นปานนั้นเป็นผู้ไม่รู้โลกธรรม ๘ ประการ เมื่อทุกขธรรมแม้มีประมาณน้อยเกิดขึ้นแล้ว ก็เสีย พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงธรรมแก่ญาติเหล่านั้นด้วยประการอย่างนี้แล้ว ได้กระทำญาติแม้ทั้งหมดนั้นให้หายโศกแล้ว. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ กฏุมพีดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล. บัณฑิตผู้แสดงธรรมแก่มหาชนแล้วกระทำให้หายโศกเศร้าในครั้งนั้น คือ เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถามตโรทนชาดกที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มตโรทนชาดก จบ. |