บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องปัจจุบันมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น ส่วนเรื่องอดีตมีดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิ พระดาบสอยู่ในที่นั้นช้านานแล้วหลีกจากไป. ครั้งนั้น ชฎิลโกงคนหนึ่งได้มาสำเร็จการอยู่ในบรรพตคูหานั้น ฝ่ายพระโพธิ ดาบสโกงอยู่ในที่นั้นได้ ๕๐ กว่าปี. ครั้นวันหนึ่ง ชาวบ้านปัจจันตคามได้ปรุงเนื้อนกพิราบถวายดาบสโกงนั้น ดาบสโกงนั้นติดใจด้วยตัณหาความอยากในรสแห่งเนื้อของ พระโพธิสัตว์ห้อมล้อมด้วยนกพิราบบินมา เห็นกิริยาชั่วร้ายของชฎิลโกงนั้น จึงคิดว่า ดาบสชั่วร้ายนี้นั่งด้วยอาการอย่างหนึ่งผิดสังเกต ชะรอยจะได้กินเนื้อสัตว์ผู้มีชาติเสมอกับเราบ้าง ดาบสเห็นนกพิราบนั้นไม่มาจึงคิดว่า เราควรกล่าวมธุรกถาถ้อยคำอันไพเราะกับนกพิราบเหล่านั้น แล้วฆ่านกพิราบที่เข้าไปใกล้ด้วยความคุ้นเคยแล้วกินเนื้อ. จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาเบื้องต้นว่า :- ดูก่อนปักษีผู้มีขนปีก เราอยู่ในถ้ำแห่งภูเขาศิลามากว่า ๕๐ ปี นกพิราบทั้งหลายก็มิได้รังเกียจ มีจิตเยือกเย็นอย่างยิ่ง ย่อมพากันมาสู่บ่วงมือของเราในกาลก่อน. ดูก่อนท่านผู้มีอวัยวะคด บัดนี้ นกพิราบเหล่านั้นคงจะเห็นเหตุอะไรกระมัง จึงเป็น บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมาธิกานิ ตัดบทเป็น สมอธิกานิ แปลว่า เกินจำนวน ๕๐ ปี. บทว่า โรมก แปลว่า ผู้มีขนงอกขึ้น. ดาบสโกงเรียกพระโพธิสัตว์ว่า ปาราวตะ เพราะมีเท้าแดง มีวรรณะเสมอด้วยแก้วประพาฬอันเจียระไนดีแล้ว. บทว่า อสงฺกมานา ความว่า เมื่อเราอยู่ในบรรพตคูหานี้เกิน ๕๐ ปีอย่างนี้ นกเหล่านี้ไม่ได้กระทำความรังเกียจเราแม้แต่วันเดียว เป็นผู้มีจิตเยือกเย็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนย่อมมาสู่บ่วงมือของเราอันโอกาสช่องว่างที่เหยียดมือออก. บทว่า เตทานิ ตัดบทออกเป็น เต อิทานิ แปลว่า บัดนี้ นกเหล่านั้น. ดาบสโกงเรียกพระโพธิสัตว์ว่า วงฺกงฺค ผู้มีอวัยวะคด ก็นกแม้ทุกชนิดเรียกได้ว่า วังกังคะ ผู้มีอวัยวะคด เพราะในเวลาบินทำคอเอี้ยวบินไป. บทว่า กิมตฺถํ ความว่า เห็นเหตุอะไร. บทว่า อุสฺสุกฺกา ได้แก่ เป็นผู้ระอาใจ. บทว่า คิริกนฺทรํ ได้แก่ ซอกเขาอื่นจากภูเขา. บทว่า ยถา ปุเร ความว่า เมื่อก่อนนกเหล่านี้ย่อมสำคัญเราว่าเป็นที่เคารพเป็นที่รัก ฉันใด บัดนี้ย่อมไม่สำคัญ ฉันนั้นหนอ ท่านแสดงความหมายว่า นกเหล่านี้เห็นจะสำคัญเราอย่างนี้ว่า แม้ดาบสที่เคยอยู่ในที่นี้มาก่อนเป็นคนหนึ่ง ดาบสนี้ก็เป็นอีกคนหนึ่ง คือคนละคนกัน. ด้วยบทว่า จิรมฺปวุฏฺฐา อถวา น เต อิเม นี้ ดาบสโกงถามว่า นกเหล่านี้ พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงหันกลับมายืนกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- พวกเราเป็นผู้ไม่หลงใหล รู้อยู่ว่าท่านก็คือท่านนั่นแหละ พวกเรานั้นก็ไม่ใช่นกพวกอื่น ก็แต่ว่าจิตของท่านคิดประทุษร้ายในชนนี้ ดูก่อนอาชีวก เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงหวาดกลัวท่าน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มยํ สมฺมุฬฺหา พวกเราเป็นผู้หลงใหล คือประมาท บทว่า จิตฺตญฺจ เต อสฺมิ ชเน ปทุฏฺฐํ ความว่า ท่านก็คือท่าน แม้เราก็คือนกเหล่านั้นยังจำท่านได้ ก็อนึ่งแล จิตของท่านประทุษร้ายในชน คือเกิดจิตเพื่อจะฆ่าพวกเรา. บทว่า อาชีวก ได้แก่ ดูก่อนดาบสชั่ว ผู้บวชเพราะเหตุต้องการเลี้ยงชีพ. บทว่า เตน ตํ อุตฺตสาม ความว่า เพราะเหตุนั้น เราจึงสะดุ้งกลัวท่านไม่เข้าใกล้. ดาบสโกงคิดว่า นกเหล่านี้รู้จักเราแล้วจึงขว้างค้อนไป แต่ผิดจึงกล่าวว่า จงไปเถิด นกผู้เจริญ เราเป็นผู้ผิดเสียแล้ว. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะดาบสโกงนั้นว่า เบื้องต้น ท่านผิดเราก่อน แต่ท่านจะไม่ผิดพลาดอบายทั้ง ๔ ถ้าท่านจักอยู่ในที่นี้ต่อไป เราจักบอกชาวบ้านว่า ดาบสนี้เป็นโจร แล้วให้มาจับท่านไป ท่านจงรีบหนีไปเสีย. ครั้นคุกคามดาบสนั้นแล้วก็หลีกไป ฝ่ายชฏิลโกงไม่อาจอยู่ในที่นั้น ได้ไปที่อื่น. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ๔ แล้วทรงประชุมชาดกว่า ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในบัดนี้ ดาบสผู้มีศีลรูปก่อนในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้ ส่วนหัวหน้านกพิราบในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาโรมชาดกที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา โรมชาดก จบ. |