บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
สมัยหนึ่ง พระศาสดาทรงจำพรรษาอยู่ในเมืองสาวัตถี ทรงพระดำริว่า จัก ภัททชิกุมารนั้นมียศมาก เป็นบุตรคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติประมาณ ๘๐ โกฏิ ภัททชิกุมารนั้นมีปราสาท ๓ หลังสมควรแก่ฤดูทั้ง ๓ ภัททชิกุมารอยู่ในปราสาทหลังละ ๔ เดือน. ครั้นอยู่ในปราสาทหลังหนึ่งแล้ว ก็แวดล้อมด้วยนางฟ้อนไปยังปราสาทอีกหลังหนึ่งด้วยยศใหญ่. ขณะนั้น พระนครทั้งสิ้นก็ตื่นเต้นกันว่า พวกเราจักดูสมบัติของภัททชิกุมาร ต่างผูกจักรและจักรซ้อน ผูกเตียงและเตียงซ้อนในระหว่างปราสาท. พระศาสดาประทับอยู่ตลอด ๓ เดือน ตรัสบอกชาวพระนครว่า เราจะไปก่อนละ. ชาวพระนคร พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปประทับนั่งในมณฑปนั้น มนุษย์ทั้งหลาย ขณะนั้น ภัททชิกุมารจากปราสาทหลังหนึ่งไปยังปราสาทหลังหนึ่ง วันนั้นไม่มีใครๆ ไปเพื่อต้องการดูสมบัติของภัททชิกุมารนั้น มีแต่คนของตนเท่านั้นห้อมล้อมไป ภัททชิกุมารจึงถามคนทั้งหลายว่า ในเวลาอื่น เมื่อเราจากปราสาทหนึ่งไปยังปราสาทหนึ่ง ชาวพระนครทั้งสิ้นตื่นเต้นต่างผูกจักรและจักรซ้อนเป็นต้น แต่วันนี้ นอกจากคนทั้งหลายของเรา ไม่มีใครๆ อื่นเลย เป็นเพราะเหตุอะไรกัน. พวกบริวารกล่าวว่า ข้าแต่นาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอาศัยนครนี้ ประทับอยู่ตลอด ๓ เดือน วันนี้จักเสด็จไป พระองค์ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่มหาชน ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันสดับพระธรรมกถาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. ภัททชิกุมารนั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงมา แม้เราก็จักฟังธรรม แล้วประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวงเข้าไปพร้อมด้วยบริวารใหญ่ ยืนฟังพระธรรมกถาอยู่ท้ายบริษัท ยังสรรพกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป บรรลุพระอรหัตอันเป็นผลชั้นเลิศ. พระศาสดาตรัสเรียกภัททิยเศรษฐีมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านประดับประดาตกแต่งแล้ว ฟังธรรมกถาได้ดำรงอยู่ในพระอรหัต เพราะฉะนั้น วันนี้ บุตร ภัททิยเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กิจด้วยการปรินิพพานแห่งบุตรของข้าพระองค์ ย่อมไม่มี ขอพระองค์จงให้บุตรของข้าพระองค์นั้นบรรพชาเถิด พระเจ้าข้า. ก็แหละครั้นให้บรรพชา ขอพระองค์จงพาบุตรของข้าพระองค์นั้น เข้าไปยังเรือนข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว พากุลบุตรเสด็จไปยังพระวิหารให้บรรพชาอุปสมบท. บิดามารดาของพระภัททชินั้นกระทำมหาสักการะ ๗ วัน พระศาสดาประทับอยู่ ๗ วัน ทรงพากุลบุตรเที่ยวจาริกไปถึงโกฏิคาม. มนุษย์ชาวโกฏิคามได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระ ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระศาสดาทรงเริ่มอนุโมท ชาวโกฏิคามพากันผูกเรือขนาน พระศาสดาประทับยืนท่ามกลางสงฆ์ในเรือขนาน ตรัสถามว่า ภัททชิอยู่ที่ไหน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระภัททชินี้ อยู่ที่นี้แหละ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า มาเถิดภัททชิ จงขึ้นเรือลำเดียวกันกับเรา. พระเถระได้เหาะไปยืนอยู่ในเรือลำเดียวกัน. ครั้นในเวลาที่เรือแล่นไปกลางแม่น้ำคงคา พระศาสดา ขณะนั้น พระเถระถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปด้วยกำลังฤทธิ์เอานิ้วเท้าคีบจอมปราสาท ยกปราสาทอันสูง ๒๕ โยชน์ขึ้นแล้วเหาะขึ้นในอากาศ. ก็พระเถระเหาะขึ้นแล้วปรากฎแก่ชนทั้งหลายที่ยืนอยู่ภายใต้ปราสาท ประหนึ่งปราสาทจะพังทลายลงทับ. พระเถระนั้นยกปราสาทขึ้นจากน้ำ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ ๓ โยชน์จนกระทั่ง ๒๕ โยชน์. ลำดับนั้น ญาติทั้งหลายในภพก่อนของพระเถระ บังเกิดเป็นปลา เต่า นาคและกบอยู่ในปราสาทนั่นแหละ เพราะความโลภในปราสาท เมื่อปราสาทลอยขึ้น ก็พลัดตกลงไปในน้ำตามเดิม พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นสัตว์เหล่านั้นตกลงไป จึงตรัสว่า ภัททชิ พวกญาติของเธอพากันลำบาก. พระเถระได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา จึงปล่อยปราสาท ปราสาทก็กลับตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง. ส่วนพระศาสดาเสด็จขึ้นจากแม่น้ำคงคา. ลำดับนั้น ชนทั้งหลายพากันปูลาดอาสนะถวายพระศาสดา ณ ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล ในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหรัฐ ได้มีพระราชาพระนามว่าสุรุจิ. แม้พระโอรสของพระองค์ก็มีนามว่าสุรุจิ เหมือนกัน. แต่พระโอรสของพระเจ้าสุรุจินั้น ได้มีพระนามว่ามหาปนาท. พระราชาทั้ง ๓ พระองค์นั้น ได้ครอบครองปราสาทนี้. ก็บุรพกรรมที่จะได้ครอบครองปราสาทนั้นมีว่า บิดาและบุตรทั้งสองได้สร้าง เรื่องอดีตทั้งหมดในชาดกนี้ จักมีแล้วในสุรุจิชาดก ในปกิณณกนิบาต. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :- พระเจ้ามหาปนาทนั้นมีปราสาทล้วนแล้วด้วยทอง กว้าง ๑๖ ชั่วธนูตก สูง ๑ พันชั่วธนูตก. และปราสาทนั้นมีพื้น ๗ ชั้น ประดับด้วยธงอันล้วนแล้วด้วยสีเขียว มีนางฟ้อนรำ ๖ พันคน แบ่งออกเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ในปราสาทนั้น ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวถึงปราสาทนั้นซึ่งมีแล้วในกาลนั้น ในครั้งนั้น เราเป็นท้าวสักกะ ผู้รับใช้การงานของเธอ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยูโป แปลว่าปราสาท. บทว่า ติริยํ โสฬสุพฺเพโธ ความว่า โดยความกว้าง ได้มีความกว้าง ๑๖ ชั่วลูกศรตก. บทว่า อุจฺจมาหุ สหสฺสธา ความว่า โดยส่วนสูง ท่านกล่าวถึงความสูงประมาณระยะวิ่งไปของลูกศรชั่วพันลูก คือสูงประมาณ ๒๕ โยชน์ โดยการนับระยะวิ่งไปของลูกศรชั่วพันลูก ส่วนความกว้างของปราสาทนั้น ประมาณกึ่งโยชน์. บทว่า สหสฺสกณฺโฑ สตฺตเคณฺฑุ ความว่า ก็ปราสาทสูง ๑ พันชั่วลูกศรนี้นั้น มีชั้น ๗ ชั้น. บทว่า ธชาลุ แปลว่า พร้อมด้วยธง. บทว่า หริตามโย ได้แก่ ขลิบด้วยแก้วมณีเขียว. ส่วนในอรรถกถามีปาฐะว่า สหาลู หริตามโย ดังนี้ก็มี. อธิบายความปาฐะนั้นว่า ประกอบด้วยบานประตูและหน้าต่าง อันล้วนแล้วด้วยแก้วมณีเขียว. ได้ยินว่า บทว่า สห เป็นชื่อของบานประตูและหน้าต่าง. บทว่า คนฺธพฺพา ได้แก่ นางฟ้อนรำ. บทว่า ฉ สหสฺสานิ สตฺตธา ความว่า นางฟ้อนรำ ๖ พันคน แบ่งเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้ง ๗ แห่งของปราสาทนั้น เพื่อต้องการเพิ่มพูนความยินดีแก่พระราชา. นักฟ้อนรำเหล่านั้นแม้จะฟ้อนรำและขับร้องอยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้พระราชาร่าเริงพระทัย. ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงส่งการฟ้อนรำของเทพให้ไปแสดงการเล่นมหรสพ คราวนั้น พระเจ้ามหาปนาททรงร่าเริง. บทว่า ยถา ภาสสิ ภทฺทชิ ความว่า ก็เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ ปราสาทที่เธออยู่ครอบครองในคราวเป็นพระเจ้ามหาปนาทอยู่ที่ไหน พระภัททชิเถระกราบทูลว่า จมอยู่ตรงที่นี้ พระเจ้าข้า ได้เป็นอันกล่าวความที่ปราสาทนั้นบังเกิดแล้วเพื่อประโยชน์แก่ตน และความที่ตน พระศาสดาทรงถือเอาคำกล่าวนั้นจึงตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวโดยประการใด ดังนี้ ด้วยบทว่า เอวเมตํ ตทา อาสิ นี้ พระศาสดาตรัสว่า ข้อที่กล่าวอย่างนั้นได้มีแล้วโดยประการนั้นนั่นแหละ ในครั้งนั้น เราได้เป็นท้าวสักกะจอมเทวดาผู้รับใช้การ ขณะนั้น ภิกษุปุถุชนทั้งหลายได้เป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัย. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้ามหาปนาท ในครั้งนั้น ได้เป็น พระภัททชิ ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะ คือ เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถามหาปนาทชาดกที่ ๔ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาปนาทชาดก จบ. |