บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ในเวลานั้น พระโกกาลิกะประสงค์จะกล่าวสรภัญญะ พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า. ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิ อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้านั้นพักอยู่ที่ประตูบ้านแห่งหนึ่ง หุงอาหารเช้า แต่นั้นจึงเอาหนังราชสีห์คลุมหลังลา ปล่อยไปหากินในนาข้าวเหนียว พวกเฝ้านาเห็นมันเข้าก็ไม่อาจเข้าใกล้มันได้ ด้วยสำคัญว่าเป็นราชสีห์ จึงพากันกลับไปเรือน พวกชาวบ้านทั้งหมดต่างถืออาวุธ เป่าสังข์ รัวกลองโห่ร้องไปยังที่ใกล้นา. ลากลัวตายจึงเปล่งเสียงเป็นเสียงลา. ครั้นพระโพธิสัตว์รู้ว่ามันเป็นลา จึงกล่าวคาถาแรกว่า :- นี่มิใช่เสียงบรรลือของราชสีห์ ไม่ใช่เสียงบรรลือของเสือโคร่ง ไม่ใช่เสียงบรรลือของเสือเหลือง ลาผู้ลามกคลุมตัวด้วยหนังราชสีห์บรรลือเสียง. ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺโม แปลว่า ลามก. แม้พวกชาวบ้านก็รู้ว่ามันเป็นลา จึงพากันโบยให้ล้มลงกระดูกหัก แล้วเอาหนังราช ลาเอาหนังราชสีห์คลุมตัว เที่ยวหากินข้าวเหนียวนานมาแล้ว ร้องให้เขารู้ว่าเป็นลา ได้ประทุษร้ายตนเองแล้ว. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตํ เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า ลานี้ไม่ให้เขารู้ว่าตัวเป็นลา จึงเอาหนังราชสีห์มาคลุม กินข้าวเหนียวอ่อนมาเป็นเวลานาน. บทว่า รวมาโน ว ทูสยิ ความว่า เมื่อร้องเสียงเป็นลาก็ประทุษร้ายตนเอง มิใช่ความผิดของหนังราชสีห์. เมื่อพ่อค้านั้นกล่าวอย่างนี้เสร็จแล้ว ลาก็นอนตายในที่นั้นเอง แม้พ่อค้าก็ทิ้ง พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. ลาในครั้งนั้น ได้เป็น พระโกกาลิกะ ในครั้งนี้. ส่วนชาวนาบัณฑิต คือ เราตถาคต นี้แล. จบ อรรถกถาสีหจัมมชาดกที่ ๙ .. อรรถกถา สีหจัมมชาดก จบ. |