บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความพิสดารว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นทรงเลื่อมใสในพระเทวทัตผู้ทุศีล มีบาป ครั้นท้าวเธอทรงสดับว่า พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ก็สะดุ้งตกพระทัยว่า ตัวเราเล่า จักถูกแผ่นดินสูบบ้างไหมหนอ? ไม่ได้รับความสุขในราชสมบัติ ไม่ได้ประสบความยินดีบนพระแท่นบรรทม ทรงหวาดผวาอยู่เที่ยวไป เหมือนเปรตที่ถูกทรมานอย่างรุนแรง ท้าวเธอนึกเห็นเป็นเสมือนกำลังถูกแผ่นดินสูบ เหมือนเปลวเพลิงในอเวจีกำลังแลบออกมา และเหมือนพระองค์ถูกบังคับให้บรรทมหงาย เหนือแผ่นดินเหล็กที่ร้อน แล้วถูกแทงด้วยหลาวเหล็กฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ขึ้นชื่อว่า ความสงบพระทัยแม้ชั่วครู่จึงมิได้มีแก่พระองค์ผู้หวาดผวาเหมือนไก่ที่ถูกเชือด ท้าวเธอมีพระประสงค์จะเฝ้าพระ ครั้งนั้นประจวบกับพระนครราชคฤห์ มีงานราตรีประจำเดือนกัตติกา ประชา ท้าวเธอจึงพรรณนาราตรีกาล ด้วยบททั้ง ๕ ดังนี้ :- ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ เจิดจ้าแท้ หนอ ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ งามจริง ยิ่งหนอ ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ น่าทัศนา จริงหนอ ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ แจ่มใส จริงหนอ ชาวเราเอ๋ย คืนวันเพ็ญ น่ารื่นรมย์ แท้หนอ วันนี้ใครเล่าหนอที่ชาวเราควรเข้าไปหา ท่านผู้ใดเล่าที่พวกเราเข้าไปหา จิตใจจะพึงเลื่อมใสได้ ครั้งนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งกล่าวถึงคุณของปูรณกัสสป คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของมักขลิโคศาล คนหนึ่งกล่าวถึงคุณของอชิตเกสกัมพล คนหนึ่งกล่าวคุณของปกุทธกัจจายนะ คนหนึ่งกล่าวคุณของสญชัยเวลัฏฐบุตร คนหนึ่งกล่าวคุณของนิครนถนาฏบุตร. พระราชาทรงสดับคำของเขาเหล่านั้นแล้ว ได้ทรงดุษณีภาพด้วยว่า ท้าวเธอทรงปรารถนาถ้อยคำของมหาอำมาตย์ชีวกเท่านั้น ฝ่ายหมอชีวกดำริว่า เมื่อพระราชาตรัสกับเรานั่นแหละ เราจึงจักกราบทูล ดังนี้แล้ว ก็นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกล. ครั้งนั้น พระราชาจึงตรัสกะเขาว่า ดูก่อนสหายชีวก ท่านเล่าทำไมจึงนิ่งเสีย? ขณะนั้น ชีวกก็ลุกจากอาสนะ ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ กราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังเสด็จประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของข้าพระองค์ กับภิกษุสงฆ์ ๑๒๕๐ รูป ก็ พระราชาทรงมีพระมโนรถเต็มเปี่ยม ตรัสว่า สหายชีวก ถ้าเช่นนั้น เธอจงสั่งให้จัดแจงช้างเถิด ครั้นรับสั่งให้จัดเตรียมยานพาหนะแล้ว เสด็จดำเนินไปสู่ชีวกัมพวัน ด้วยราชานุภาพอันใหญ่หลวง ทอดพระเนตรเห็นพระตถาคตเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุในโรงโถง ณ ชีวกัมพวันนั้น ทรงชำเลืองดูหมู่ภิกษุผู้ปราศจากการเคลื่อนไหว ประหนึ่ง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสามัญญผลสูตร ประดับด้วยภาณวาร ๒ ภาณวารแก่ท้าวเธอ ในเวลาจบพระสูตร ท้าวเธอดีพระทัย ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดโทษ เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระทำประทักษิณ แล้วเสด็จหลีกไป. เมื่อพระราชาเสด็จไปแล้วไม่นาน พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว ถูกโค่นเสียแล้ว ถ้าท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนม์พระราชบิดาผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นราชาโดยธรรมเสีย เพราะมุ่งความเป็นใหญ่ไซร้ ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักบังเกิดในขณะประทับนั่งนี้ทีเดียว แต่ท้าวเธออาศัยพระเทวทัต ทำ ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูเสื่อมเสียจาก พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อชาตศัตรูทำ ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ มีสมบัติมาก เจริญวัยแล้วไปสู่เมืองตักกสิลา เรียนสรรพศิลปวิทยา เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในพระนครพาราณสี บอกศิลปะแก่มาณพ ๕๐๐ คน ในมาณพเหล่านั้น มีมาณพคนหนึ่งชื่อ "สัญชีวะ" พระโพธิสัตว์ได้ให้มนต์ทำคนตายให้ฟื้นแก่เขา เขาเรียนแต่มนต์ทำคนตายให้ฟื้นอย่างเดียว ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกัน. วันหนึ่งไปป่าหาฟืนกับพวกเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่ง ก็พูดกะพวกมาณพว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เราจักทำเสือตายตัวนี้ให้ฟื้นขึ้น มาณพทั้งหลายกล่าวแย้งว่า ท่านจักไม่สามารถดอก. เขากล่าวว่า เราจักทำให้มันฟื้นขึ้น ให้พวกท่านเห็นกันทุกคนทีเดียว. พวกมาณพเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ถ้าท่านสามารถก็จงปลุกให้มันตื่นขึ้นเถิด. ครั้นกล่าวแล้วต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ สัญชีวมาณพร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนกรวด เสือลุกขึ้นโดดกัดสัญชีวมาณพที่ก้านคอทำให้สิ้นชีวิต ล้มลงตรงนั้นเอง ทั้งคู่นอนตายอยู่ในที่เดียวกัน พวกมาณพพากันขนฟืนไปแล้ว แจ้งความเป็นไปนั้นแก่อาจารย์. อาจารย์จึงเรียกมาณพทั้งหลายมากล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่ยกย่องอสัตบุรุษ กระทำสักการะและสัมมานะ ในที่อันไม่สมควร ย่อมกลับได้รับทุกข์เห็นปานนี้ทั้งนั้น แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :- "ผู้ใดยกย่อง และคบหาอสัตบุรุษ อสัตบุรุษย่อมทำผู้นั้นแหละให้เป็นเหยื่อ เหมือนพยัคฆ์ที่สัญชีวมาณพชุบขึ้น ย่อมทำเขานั่นแลให้เป็นเหยื่อ ฉะนั้น" ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสนฺตํ ได้แก่ ผู้ทุศีลมีบาปธรรม ประกอบด้วยทุจริต บทว่า โย ปคฺคณฺหาติ ความว่า บรรดาชนมีกษัตริย์เป็นต้น ผู้ใดผู้หนึ่งยกย่อง คือทำสักการะสัมมานะ อสัต บทว่า อสนฺตํ จูปเสวติ ความว่า อนึ่งเล่าผู้ใดย่อมเข้าไปซ่องเสพ คบหา สนิทสนม อสัตบุรุษผู้ทุศีล เห็นปานนี้. บทว่า ตเมว ฆาสํ กุรุเต ความว่า บุคคลชั่วผู้ทุศีลนั้น ย่อมกัดผู้นั้น คือผู้ที่ยกย่องอสัตบุรุษนั้นแลกินเสีย ได้แก่ทำผู้นั้นให้ถึงความพินาศ. เช่นไรเล่า? เหมือนพยัคฆ์ที่คืนชีพ เพราะมาณพชุบขึ้น อธิบายว่า พยัคฆ์ที่ตายคืนชีพได้ โดยที่สัญชีวมาณพ ร่ายมนต์ยกย่องด้วยการมอบชีวิตให้ กลับปลงชีพสัญชีวมาณพผู้ให้ชีวิตแก่มัน ให้ล้มลงตรงนั้นเอง ฉันใด แม้ผู้อื่นก็ฉันนั้น ผู้ใดทำการยกย่องอสัตบุรุษ อสัตบุรุษทุศีลนั้น ย่อมทำลายล้างผู้ที่ยกย่องตนนั้นเสียทีเดียว พวกชนที่ยกย่อง พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่มาณพทั้งหลายด้วยคาถานี้ กระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า มาณพผู้ทำเสือตายให้ฟื้นในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเจ้าอชาตศัตรูในบัดนี้ ส่วนอาจารย์ทิศาปาโมกข์ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ กกัณฏกวรรคที่ ๑๕. ----------------------------------------------------- รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ ๑. โคธชาดก ว่าด้วย คบคนชั่วไม่มีความสุข ๒. สิคาลชาดก ว่าด้วย ทำอุบายนอนตาย ๓. วิโรจนชาดก ว่าด้วย ผู้ถูกเยาะเย้ย ๔. นังคุฏฐชาดก ว่าด้วย บูชาไฟด้วยหางวัว ๕. ราธชาดก ว่าด้วย พูดเพ้อเจ้อเพราะความเขลา ๖. กากชาดก ว่าด้วย กาวิดน้ำด้วยปาก ๗. บุปผรัตตชาดก ว่าด้วย เป็นทุกข์เพราะภรรยาไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ ๘. สิคาลชาดก ว่าด้วย สุนัขเข้าอยู่ในท้องช้าง ๙. เอกปัณณชาดก ว่าด้วย ต้นไม้ใบเดียว ๑๐. สัญชีวชาดก ว่าด้วย โทษที่ยกย่องอสัตบุรุษ รวมวรรคที่มีในเอกกนิบาตนี้ คือ ๑. อปัณณกวรรค ๒. สีลวรรค ๓. กุรุงควรรค ๔. กุลาวกวรรค ๕. อัตถกามวรรค ๖. อาสิงสวรรค ๗. อิตถีวรรค ๘. วรุณวรรค ๙. อปายิมหวรรค ๑๐. ลิตตวรรค ๑๑. ปโรสตวรรค ๑๒. หังสิวรรค ๑๓. กุสนาฬิวรรค ๑๔. อสัมปทานวรรค ๑๕. กกัณฏกวรรค. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สัญชีวชาดก จบ. |