ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 4 / 1อ่านอรรถกถา 4 / 186อรรถกถา เล่มที่ 4 ข้อ 191อ่านอรรถกถา 4 / 197อ่านอรรถกถา 4 / 252
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธกะ
ทำอุโบสถไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อเป็นต้น

               อรรถกถาในวัคคสมัคคสัญญิโนปัณณรสกาทิกถา               
               วินิจฉัยในวัคคาสมัคคสัญญิโนปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้ :-
               ข้อว่า เต ชานนฺติ มีความว่า พวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นสถิตอยู่บนภูเขาหรือบนบก เห็นภิกษุเหล่าอื่นล่วงล้ำสีมาเข้ามาแล้ว หรือกำลังล่วงล้ำเข้ามา แต่พวกเธอผู้มีความสำคัญว่า พร้อมเพรียงเพราะไม่รู้ หรือเพราะสำคัญว่า จักเป็นผู้มากันแล้ว.
               เวมติกปัณณรสกะ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               วินิจฉัยในกุกกุจจปกตปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้ :-
               บุคคลผู้ถูกความอยากครอบงำแล้ว ท่านกล่าวว่า ผู้อันความอยากตรึงไว้แล้ว ฉันใด ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แม้ทำความสันนิษฐานในชั้นต้นแล้ว ยังถูกความรังเกียจกล่าวคือ ความเป็นผู้มีความสำคัญในการไม่ควรว่าเป็นการควร ครอบงำ ในขณะกระทำพึงทราบว่า ผู้อันความรังเกียจตรึงไว้แล้ว ฉันนั้น.
               ในเภทปุเรกขารปัณณรสกะ ท่านปรับถุลลัจจัย เพราะเหตุที่อกุศลจิตแรงกล้า.
               ในอาวาสิเกนะ อาคันตุกเปยยาละ พึงทราบคำเป็นต้นว่า เต น ชานนฺติ อตฺถญฺเญ อาคนฺตุกา เหมือนคำที่ได้กล่าวแล้วในอาวาสเกนะ อาวาสิกเปยยาละ อันมีมาก่อนว่า เต น ชานนฺติ อตฺถญฺเญ อาวาสิกา เป็นอาทิ.
               ส่วนในอาคันตุเกนะ อาวาสิกเปยยาละ พึงเติมคำว่า อาคนฺตุกา ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ เหมือนคำที่มาในปุริมเปยยาละ ว่า อาวาสิกา ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ แต่ในอาคันตุเกนะ อาคันตุกเปยยาละ พึงประกอบด้วยอำนาจภิกษุอาคันตุกะ ในบททั้ง ๒ ฉะนี้แล.
               วินิจฉัยในข้อว่า อาวาสิกานํ ภิกฺขูนํ จาตุทฺทโส โหติ, อาคนฺตุกานํ ปณฺณรโส นี้ พึงทราบดังนี้ :-
               อุโบสถของอาคันตุกะเหล่าใด เป็นวัน ๑๕ ค่ำ พึงทราบว่า อาคันตุกะเหล่านั้นมาแล้วจากนอกแว่นแคว้น หรือได้ทำอุโบสถที่ล่วงไปแล้วเป็นวัน ๑๔ ค่ำ.
               ข้อว่า อาวาสิกานํ อนุวตฺติตพฺพํ มีความว่า เมื่อพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นทำบุพกิจอยู่ว่า อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส อุโบสถวันนี้ ๑๔ ค่ำ พวกภิกษุอาคันตุกะพึงคล้อยตาม คือไม่พึงคัดค้าน.
               ข้อว่า นากามา ทาตพฺพา มีความว่า สามัคคีอันพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นไม่พึงให้แก่พวกภิกษุอาคันตุกะ ด้วยความไม่เต็มใจ.
               บทว่า อาวาสิกาการํ ได้แก่ อาการ.
               อธิบายว่า อาจาระของภิกษุผู้เจ้าถิ่น.
               ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
               สภาพเป็นเครื่องจับอาจารสัณฐาน ของภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า ภิกษุเหล่านี้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรหรือไม่? ชื่อว่า อาการ.
               ธรรมชาติซึ่งส่อ๑- ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้น ผู้เร้นอยู่ในที่นั้นๆ.
               อธิบายว่า ซึ่งให้รู้ได้ แม้มองไม่เห็น. ชื่อว่า ลิงค์.
               ธรรมชาติเป็นที่เห็นแล้วรู้ซึ่งภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า มี ชื่อว่า นิมิต.
               สภาพเป็นเครื่องชี้ ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า เป็นผู้มีบริขารเช่นนี้.
               อธิบายว่า เป็นเหตุได้ข้ออ้างเช่นนั้น ชื่อว่า อุทเทส.
               คำว่าอาการนั้นเป็นต้นทั้งหมด เป็นชื่อของเสนาสนบริขารต่างๆ มีเตียงและตั่งที่จัดตั้งไว้เป็นอันดีเป็นต้น และเป็นชื่อของเสียงฝีเท้าเป็นต้น ก็แลคำว่า อาการเป็นต้นนั้น พึงประกอบตามที่ควรประกอบ แม้ในอาการของภิกษุอาคันตุกะเป็นต้น ก็นัยนี้แล.
____________________________
๑- ฎีกาและโยชนา แก้ คมยติ ว่า โพเธติ โดยนัยนี้ก็แปลว่า ธรรมชาติซึ่งให้รู้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญาตกํ ได้แก่ เป็นของๆ ภิกษุเหล่าอื่น.
               สามบทว่า ปาทานํ โธตํ อุทกนิสฺเสกํ ได้แก่ สถานที่รดน้ำแห่งเท้าทั้งหลายที่ล้างแล้ว. เอกพจน์ในบทว่า โธตํ พึงทราบในอรรถแห่งพหูพจน์.
               อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า ปาทานํ โธตอุทกนิสฺเสกํ. ความว่า สถานเป็นที่รดน้ำสำหรับล้างเท้าทั้งหลาย.
               วินิจฉัยในนานาสังวาสกาทิวัตถุ พึงทราบดังนี้ :-
               บทว่า สมานสํวาสกทิฏฺฐึ ได้แก่ ความเห็นว่า ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านี้ มีสังวาสเสมอกัน.
               บทว่า น ปุจฺฉนฺติ ได้แก่ ไม่ถามถึงลัทธิของภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้น คือไม่ถามก่อน ทำวัตรและวัตรอาศัย คือวัตรใหญ่น้อยแล้ว ทำอุโบสถร่วมกัน.
               บทว่า นาภิวิตรนฺติ ได้แก่ ไม่สามารถจะย่ำยี คือปราบปรามข้อที่เป็นนานาสังวาสกันได้. อธิบายว่า ให้ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นสละทิฏฐินั้นไม่ได้.
               ข้อว่า สภิกฺขุกา อาวาสา มีความว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ทำอุโบสถมีอยู่ในอาวาสใด ภิกษุไม่อาจออกจากอาวาสนั้นไปสู่อาวาสใดในวันนั้นเทียว อาวาสนั้นยังไม่ได้ทำอุโบสถ ไม่ควรไป.
               สองบทว่า อญฺญตฺร สงฺเฆน ได้แก่ เว้นจากภิกษุทั้งหลายซึ่งครบจำนวนเป็นสงฆ์.
               สองบทว่า อญฺญตฺร อนฺตรายา ได้แก่ เว้นอันตราย ๑๐ อย่างที่กล่าวแล้วในหนหลังเสีย. แต่ว่า เมื่อมีอันตราย ก็ควรจะไปกับสงฆ์. มีตนเป็นที่ ๔ หรือมีตนเป็นที่ ๕ โดยกำหนดอย่างต่ำที่สุด.
               ประเทศแห่งใดแห่งหนึ่ง มีศาลานวกรรมเป็นต้น ชื่ออนาวาส. เหมือนอย่างว่า อาวาสเป็นต้นภิกษุไม่ควรไป ฉันใด ถ้าภิกษุทั้งหลายทำอุโบสถกันในวัด สีมาก็ดี แม่น้ำก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปเพื่ออธิษฐานอุโบสถ ก็ฉันนั้น แต่ถ้ามีภิกษุบางรูปอยู่ที่สีมาและแม่น้ำนี้ไซร้ จะไปสู่สำนักภิกษุนั้น ควรอยู่. จะไปเสียจากอาวาส แม้ที่เลิกอุโบสถเสียแล้ว ควรอยู่. ภิกษุผู้ใดไปแล้วอย่างนั้น ย่อมได้แม้เพื่ออธิษฐาน อันภิกษุแม้ผู้อยู่ป่า ในวันอุโบสถ เที่ยวบิณฑบาตในบ้านแล้ว ต้องกลับไปวัดของตนเท่านั้น. ถ้าเข้าไปสู่วัดอื่น ต้องทำอุโบสถในวัดนั้นก่อน จึงค่อยไป ไม่ทำก่อนแล้วไปเสีย ไม่ควร.
               ข้อว่า ยํ ชญฺญา สกฺโกมิ อชฺเชวคนฺตุํ มีความว่า ภิกษุพึงทราบซึ่งอาวาสใดว่า เราสามารถไปที่นั่นได้ในวันนี้ทีเดียว อาวาสเห็นปานนั้น ควรไป. จริงอยู่ ภิกษุนี้แม้ทำอุโบสถกับภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้น จักเป็นผู้ไม่ทำอันตรายแก่อุโบสถเลยทีเดียว ฉะนี้แล.
               การเข้าสู่หัตถบาสเท่านั้น เป็นประมาณ ในข้อว่า ภิกฺขุนิยา นิสินฺนปริสาย เป็นอาทิ.
               ข้อว่า อญฺญตฺร อวุฏฺฐิตาย ปริสาย มีความว่า
               จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า การให้ปาริวาสิยปาริสุทธิ ปาริสุทธิที่แรมวัน นี้ย่อมไม่ควร จำเดิมแต่การที่บริษัทลุกออกไป แต่เมื่อบริษัทยังไม่ลุกออกไป ย่อมควร เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เว้นแต่บริษัทยังไม่ลุกออกไป. ลักษณะแห่งปาริวาสิยปาริสุทธินั้น พึงถือเอาจากวรรณนาแห่งปาริวาสิยฉันททานสิกขาบทในภิกขุนีวิภังค์.๒-
               วันที่ไม่ใช่วันอุโบสถนั้น ได้แก่วันอื่น นอกจากวันอุโบสถ ๒ วันนี้ คือ วันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ ๑ วันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ๑.
               ข้อว่า อญฺญตฺร สงฺฆสามคฺคิยา มีความว่า เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว สังฆสามัคคีอันใด อันสงฆ์กลับทำได้อีก เหมือนสังฆสามัคคีของภิกษุชาวโกสัมพี เว้นสังฆสามัคคีเห็นปานนั้นเสีย. ก็แลในกาลนั้น สงฆ์พึงทำอุโบสถ สวดว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ อชฺชุโปสโถ สามคฺคี.
               อนึ่ง ภิกษุเหล่าใด เมื่อมีภิกษุผู้ทำการทะเลาะวิวาทกันเล็กน้อยไม่สู้สำคัญ จึงงดอุโบสถไว้แล้ว กลับเป็นผู้พร้อมเพรียงกันอีก อันภิกษุเหล่านั้นต้องทำอุโบสถแท้ ฉะนี้แล.
____________________________
๒- สมนฺต. ทุติย.

               อรรถกถาในวัคคสมัคคสัญญิโนปัณณรสกาทิกถา จบ               
               อุโบสถกขันธกวรรณนา จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธกะ ทำอุโบสถไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อเป็นต้น จบ.
อ่านอรรถกถา 4 / 1อ่านอรรถกถา 4 / 186อรรถกถา เล่มที่ 4 ข้อ 191อ่านอรรถกถา 4 / 197อ่านอรรถกถา 4 / 252
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=4&A=5034&Z=5248
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=3&A=3221
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=3&A=3221
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๒  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :