บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยความรู้ในปัจจุบัน ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิด ดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลายว่า ญาณในปัจจุบันทั้งปวงมีอยู่โดยไม่แปลกกัน เพราะอาศัยพระบาลีว่า เมื่อเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ญาณแม้นั้น ย่อมชื่อว่าเป็นญาณอันบุคคลนั้นเห็นแล้วโดยความเป็นของไม่เที่ยง ดังนี้ สกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น จึงถามว่า ความรู้ในปัจจุบัน เป็นต้น คำรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวซักถามปรวาทีนั้นด้วยคำว่า บุคคลรู้ความรู้นั้นได้ด้วยความรู้นั้นหรือ เพื่อท้วงว่า ผิว่า ญาณในปัจจุบันมีโดยไม่แปลกกันแล้ว บุคคลก็พึงรู้ญาณแม้ในปัจจุบันขณะ ด้วยญาณนั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ญาณทั้ง ๒ ก็ไม่ใช่ญาณอันเดียวกัน บุคคลจะพึงรู้ญาณนั้นด้วยญาณนั้นได้อย่างไร. ในปัญหาเหล่านั้นปัญหาที่ ๑ ปรวาทีปฏิเสธว่า ไม่อาจรู้ญาณนั้นด้วยญาณนั้นได้. ในปัญหาที่ ๒ ปรวาทีตอบรับรอง หมายเอาการสืบต่อ. ปัญหานั้น อธิบายว่า เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งความแตกดับไปแห่งสังขารทั้งหลายโดยลำดับ บุคคลนั้นชื่อว่าย่อมเห็นภังคานุปัสสนาญาณได้ด้วยภังคานุปัสสนาญาณนั้นนั่นแหละ. แม้ในคำทั้งหลายคำว่า บุคคลรู้ความรู้นั้นได้ด้วยความรู้นั้นหรือ เป็นต้น ก็นัยนี้. คำทั้งหลายที่สกวาทีกล่าวว่า บุคคลถูกต้องผัสสะนั้นได้ด้วยผัสสะนั้น เป็นต้น เพื่อห้ามโอกาสอันมีเลศนัยของปรวาทีนั้น. ก็เพื่อให้ลัทธิตั้งไว้ ปรวาทีกล่าวคำใดว่า เมื่อพระโยคาวจรเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงแล้ว แม้ความรู้นั้นก็เป็นอันพระโยคาวจรนั้นได้เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงด้วยมิใช่หรือ คำตอบรับรองเป็นของสกวาที. ในปัญหานั้นอธิบายว่า ญาณนั้นชื่อว่าเห็นแล้วโดยนัย แต่ไม่เห็นโดยอารมณ์ เพราะฉะนั้น ลัทธิที่ปรวาทีตั้งไว้แล้วอย่างนี้ ก็ไม่เป็นอันตั้งไว้ได้เลย ดังนี้แล. อรรถกถาปัจจุปปันนญาณกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๕ ปัจจุปปันนญาณกถา จบ. |