บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] หน้าต่างที่ ๒ / ๓. ขึ้นชื่อว่าการขโมยช้างแก้ว หรือม้าแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิแล้วเทียมยานน้อยไป นั่นไม่ใช่ฐานะ มิใช่เหตุ หรือว่า ชื่อว่าการขโมยจักรรัตนะแล้วห้อยไว้ที่เกวียนบรรทุกฟางเอาไป ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่เหตุที่เป็นไปได้ หรือว่า ชื่อว่าการขโมยมณีรัตนะที่สามารถส่องแสงไกลประมาณโยชน์ใส่ไว้ในกระเช้าฝ้ายแล้วใช้สอย ก็ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่เหตุที่เป็นไปได้ เพราะเหตุไร? เพราะเป็นภัณฑะสมควรแก่พระเจ้าจักร ว่าด้วยพระอภิธรรมมีนิทาน จริงอยู่ ชื่อว่า ปเทสะ (ในปเทสสูตร) มี ๑๐ อย่าง คือ ขันธปเทสะ อายตนปเทสะ ธาตุปเทสะ สัจจปเทสะ อินทริยปเทสะ ปัจจยาการปเทสะ สติปัฏฐานปเทสะ ฌานปเทสะ นามปเทสะ ธรรมปเทสะ บรรดาปเทสะ ๑๐ เหล่านั้น พึงทราบดังต่อไปนี้. พระศาสดาทรงแทงตลอดเบญจขันธ์โดยสิ้นเชิง (นิปปเทสะ) ณ ควงไม้มหาโพธิ์ แล้วทรงประทับอยู่ด้วยเวทนาขันธ์นั้นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดอายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยอำนาจเวทนาในธัมมายตนะ และด้วยอำนาจเวทนาในธัมมธาตุนั้นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดสัจจะ ๔ โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยอำนาจเวทนาในทุกขสัจจะนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดอินทรีย์ ๒๒ โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยอำนาจแห่งอินทรีย์ในหมวด ๕ แห่งเวทนาตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดการหมุนเวียนแห่งปัจจยาการ ๑๒ บท โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยเวทนาอันมีผัสสะเป็นปัจจัยตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดสติปัฏฐาน ๔ โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยสามารถแห่งเวทนาสติปัฏฐานตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดฌาน ๔ ด้วยสามารถแห่งเวทนาในองค์ฌานนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดนามโดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยสามารถแห่งเวทนาในนามนั้นนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดธรรมทั้งหลายโดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยสามารถแห่งเวทนาติกะนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ดังนี้. พระเถระกล่าวนิทานแห่งพระอภิธรรม ด้วยสามารถแห่งปเทสวิหารสูตรไว้อย่างนี้. ฝ่ายพระสุธรรมเทวเถระผู้อยู่ในคามวาสี เมื่อจะเปลี่ยนแปลงธรรมที่ภายใต้โลหปราสาท กล่าวไว้ว่า ปรวาทีบุคคลนี้ เป็นเหมือนประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ในป่า และสร้างคดีที่ไม่มีพยาน จึงไม่ทราบแม้พระอภิธรรมว่ามีนิทาน แล้วกล่าวอย่างนี้อีกว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริชาต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอภิธรรมกถาแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา เป็นต้น. ส่วนในพระสูตรอื่นๆ ก็มีนิทานอย่างเดียวกันนั่นแหละ. พระอภิธรรมมีนิทาน ๒ อย่าง ถามว่า พระอภิธรรมนี้ ให้เจริญมาด้วยอะไร? ให้งอกงามไว้ในที่ไหน? บรรลุแล้วในที่ไหน? บรรลุแล้วในกาลไร? ใครบรรลุ? วิจัยแล้วในที่ไหน? วิจัยแล้วในกาลไร? ใครวิจัยแล้ว? แสดงในที่ไหน? แสดงแล้วเพื่อประโยชน์แก่ใคร? แสดงแล้วเพื่ออะไร? พวกใครรับไว้? พวกไหนกำลังศึกษา? พวกไหนศึกษาแล้ว? พวกไหนย่อมทรงจำไว้? เป็นคำของใคร? ใครนำมา ดังนี้. ในปัญหานั้น มีวิสัชนาดังนี้. คำถามว่า พระอภิธรรมนี้ ให้เจริญมาด้วยอะไร มีคำตอบว่า ให้เจริญมาด้วยศรัทธามุ่งไปสู่ปัญญาเครื่องตรัสรู้. คำถามที่ว่า ให้งอกงามไว้ในที่ไหน? มีคำตอบว่า ให้งอกงามในชาดก ๕๕๐. คำถามที่ว่า บรรลุแล้วในที่ไหน? มีคำตอบว่า ที่ควงไม้โพธิ์. คำถามที่ว่า บรรลุในกาลไร มีคำตอบว่า ในวันเพ็ญเดือนหก. คำถามว่า ใครบรรลุ มีคำตอบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า. คำถามว่า วิจัยที่ไหน ตอบว่า ที่ควงไม้โพธิ์. คำถามว่า วิจัยแล้วในกาลไร ตอบว่า ในเวลาตลอด ๗ วัน ณ เรือนแก้ว. คำถามว่า ใครวิจัย ตอบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า. คำถามว่า แสดงที่ไหน ตอบว่า ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. คำถามว่า แสดงแล้วเพื่อประโยชน์แก่ใคร ตอบว่า แก่เทวดาทั้งหลาย. คำถามว่า แสดงแล้วเพื่ออะไร ตอบว่า เพื่อออกไปจากโอฆะ ๔. คำถามว่า ใครรับไว้ ตอบว่า พวกเทพ. คำถามว่า ใครกำลังศึกษา ตอบว่า พระเสขะและกัลยาณปุถุชน. คำถามว่า ใครศึกษาแล้ว ตอบว่า พระอรหันต์ขีณาสพ. คำถามว่า ใครทรงไว้ ตอบว่า เป็นไปแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นย่อมทรงจำไว้. คำถามว่า เป็นถ้อยคำของใคร ตอบว่า เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คำถามว่า ใครเป็นผู้นำมา ตอบว่า อันอาจารย์นำสืบต่อกันมา. จริงอยู่ พระอภิธรรมนี้ อันพระเถระทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือพระสารีบุตรเถระ พระภัททชิ พระโสภิต พระปิยชาลี พระปิยปาละ พระปิยทัสสี พระโกสิยบุตร พระสิคควะ พระสันเทหะ พระโมคคลิบุตร พระติสสทัตตะ พระธัมมิยะ พระทาสกะ พระโสนกะ พระเรวตะเป็นผู้นำมาจนถึงกาลแห่งตติยสังคีติ ต่อ ส่วนพระอภิธรรมที่พระมหานาคเหล่านี้นำมาสู่เกาะนี้ ตามที่พระโบราณาจารย์ประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า ในกาลนั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มี ปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทเถระ ๑ พระอิฏฏิยเถระ ๑ พระอุตติยเถระ ๑ พระ สัมพลเถระ ๑ พระเถระผู้เป็นบัณฑิต ชื่อว่า ภัททะ ๑ มาในเกาะสิงหลนี้ จากชมพูทวีป. ต่อจากนั้น พระอภิธรรมนั้นอันอาจารย์อื่นๆ กล่าวคือศิษยานุศิษย์ของพระเถระเหล่านั้นนั่นแหละนำมาจนถึงกาลปัจจุบันนี้ ก็กล่าวถึงอธิคมนิทานอันใดนั้น จำเดิมแต่พระทศพลพระนามว่าทีปังกร จนถึงมหา อธิคมนิทาน ว่าด้วยเรื่องสุเมธดาบส สุเมธบัณฑิต คิดว่า ปิยชนทั้งหลายของเรามีบิดาและปู่เป็นต้น รวบรวมทรัพย์นี้ไว้แล้วพากันไปปรโลก มิได้ถือเอาแม้กหาปณะหนึ่งไป ส่วนเราจะทำเหตุที่ให้ถือเอาไปได้จึงจะสมควร ดังนี้ จึงกราบทูลแด่พระราชา แล้วให้ตีกลองประกาศในพระนคร ให้ทานแก่มหาชนแล้วบวชเป็นดาบส. บัณฑิตพึงกล่าวกถาว่าด้วยสุเมธดาบสไว้ที่นี้. จริงอยู่ เรื่องสุเมธดาบสนี้ ท่านกล่าวไว้ในพุทธวงศ์ (ทีปังกรกถาที่หนึ่ง) ว่า ในสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป มีพระนครชื่อว่าอมรวดี เป็นนครน่าชม น่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยข้าวน้ำสมบูรณ์ ไม่ว่างเว้นจากเสียง ๑๐ ประการ คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์ เสียงรถ เสียงพิณ เสียงตะโพน เสียงกังสดาล เสียงบัณเฑาะว์ เสียงเรียกมาบริโภคข้าวน้ำว่า พวกท่านจงกิน จงดื่มเถิด เมืองนั้นถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะทั้งปวง เข้าถึงความใคร่ พอใจทุกอย่าง สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขวักไขว่ไปด้วยชนต่างๆ เป็นเมืองที่สำเร็จแล้วดังเทพนครเป็นที่อยู่ของผู้มีบุญทั้งหลาย เราเป็นพราหมณ์ นามว่าสุเมธ ในนครอมรวดี สั่งสมทรัพย์ไว้หลายโกฏิ มีสมบัติมากมาย เป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้ทรงมนต์ เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งไตรเพท เป็นผู้สำเร็จวิชาทายลักษณะและคัมภีร์อิติหาสอันสมบูรณ์ ในครั้งนั้น เรานั่งอยู่ในที่ลับได้คิดอย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดในภพใหม่เป็นทุกข์ การแตกทำลายของร่างกายก็เป็นทุกข์ การตายด้วยความหลงก็เป็นทุกข์ การถูกชราย่ำยีก็เป็นทุกข์. ก็ในกาลนั้น เรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความชราเป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จักแสวงหาพระนิพพานอันไม่แก่ไม่ตาย อันเป็นแดนเกษม ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้ไม่มีความอาลัยในชีวิต ไม่ต้องการ พึงละกายเปื่อยเน่านี้ อันเต็มไปด้วยซากศพต่างๆ ไป ทางนั้นอันใครๆ ไม่พึงอาจดำเนินไปได้เพราะไม่มีเหตุหรือ ทางนั้นต้องมีอยู่ จักมีแน่ เราจักแสวงหาทางนั้น เพื่อความหลุดพ้นจากภพ. เมื่อมีความเจริญ ความเสื่อมก็จำต้องปรารถนา เปรียบเหมือนเมื่อมีความทุกข์ แม้ชื่อว่าความสุขก็ย่อมมี ฉะนั้น. เมื่อไฟ ๓ กองมีอยู่ นิพพาน (ความดับไฟ) ก็จำต้องปรารถนา เปรียบเหมือนเมื่อมีความร้อน ชื่อว่าความเย็นก็ย่อมมีฉะนั้น. ความเกิดมีอยู่ ก็จำต้องปรารถนาความไม่เกิด เปรียบเหมือนเมื่อมีความชั่ว แม้ความดีก็ย่อมมี ฉะนั้น. เมื่อสระน้ำอมฤตอันเป็นสถานที่ชำระกิเลสมีอยู่ แต่บุคคลนั้นไม่แสวงหาสระนั้น นั่นมิใช่เป็นความผิดของสระอมฤตนั้น เปรียบเหมือนบุรุษตกหลุมคูถ เห็นสระมีน้ำเต็มแล้วไม่ไปหาสระ จะไปโทษสระนั้นไม่ได้ ฉะนั้น. บุคคลผู้ถูกกิเลสกลุ้มรุมแล้ว เมื่อหนทางอันปลอดภัยมีอยู่ แต่ไม่แสวงหาทางนั้น นั่นมิใช่ความผิดของทางนั้น เปรียบเหมือนบุรุษถูกข้าศึกล้อมไว้ เมื่อทางสำหรับจะหนีไปมีอยู่ แต่ไม่หนีไปจะโทษทางนั้นไม่ได้ ฉะนั้น. บุคคลมีทุกข์ ถูกพยาธิคือกิเลส เบียดเบียนรอบด้าน ไม่แสวงหาอาจารย์ นั่นมิใช่ความผิดของอาจารย์ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ป่วยไข้ เมื่อหมอมีอยู่ แต่ไม่ให้รักษาเยียวยา จะโทษหมอนั้นไม่ได้ ฉะนั้น. เราพึงเป็นผู้ไม่อาลัย ไม่ต้องการพึงละทิ้งกายอันเปื่อยเน่า อันสะสมซึ่งซากศพต่างๆ นี้ไปเถิด เปรียบเหมือนบุรุษแก้ห่อซากศพผูกไว้ที่คออันน่ารังเกียจไป ก็จะพึงมีความสุข มีเสรี มีอำนาจ ตามลำพังตนเอง ฉะนั้น. เราจักทิ้งกายนี้ อันเต็มด้วยซากศพต่างๆ ไป ดุจถ่ายอุจจาระไว้ในส้วม เปรียบเหมือนบุรุษและสตรีถ่ายมูตรคูถไว้ในที่ถ่ายแล้วไป ไม่อาลัย ไม่ต้องการ ฉะนั้น. เราจักละกายนี้ซึ่งมี ๙ ช่อง มีปฏิกูลไหลออกเป็นนิตย์ไป ดุจเจ้าของเรือทิ้งเรือเก่าคร่ำคร่า เปรียบเหมือนเจ้าของเรือทิ้งเรือที่ทรุดโทรม หักพัง ที่รั่วไป ไม่อาลัย ไม่ต้องการ ฉะนั้น. เราจักละกายนี้ อันเป็นดังมหาโจรไป เพราะกลัวแต่การทำลายตระกูล เปรียบเหมือนบุรุษเดินมากับพวกโจรแล้วทิ้งพวกโจรไป เพราะเห็นภัยคือการทำลายสิ่งของฉะนั้นเถิด. ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว จึงให้ทรัพย์หลายร้อยโกฏิแก่ชนทั้งหลาย ทั้งที่มีที่พึ่งและไม่มีที่พึ่งแล้วเข้าไปสู่หิมวันต์ ในที่ไม่ไกลหิมวันต์มีภูเขา ชื่อว่าธรรมิกบรรพต เราสร้างอาศรมไว้ดีแล้ว บรรณศาลาก็มุงบังไว้ดีแล้ว เราสร้างที่จงกรมปราศจากโทษ ๕ ประการ ประกอบด้วยคุณ ๘ ประการ อันเป็นที่นำมาซึ่งกำลังแห่งอภิญญา เราละผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๑๒ ประการในที่นั้น นุ่งห่มผ้าคากรองอันประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ เราละบรรณศาลาอันเกลื่อนกล่นด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าอาศัยโคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ เราละข้าวเปลือกที่เขาหว่านปลูกไว้ ถือเอาผลไม้ที่หล่นตามแต่จะได้ ซึ่งประกอบด้วยคุณเป็นอเนกประการ เราได้ตั้งความเพียรในการนั่ง การยืนและการจงกรม ภายในสัปดาห์ก็บรรลุถึงกำลังแห่งอภิญญา ดังนี้. บรรดาคาถาเหล่านั้น พระบาลีว่า อสฺสโม สุกโต มยฺหํ ปณฺณสาลา สุมาปิตา (แปลว่า เราสร้างอาศรมไว้ดีแล้ว บรรณศาลาเราก็มุงบังไว้ดีแล้ว) นี้ ความว่า สุเมธบัณฑิตผู้ออกไปด้วยคิดว่า เราจักบวช ดังนี้ ท่านกล่าวไว้เหมือนอาศรม บรรณศาลาและที่จงกรมนั้น ท่านสร้างด้วยมือของตนเอง. แต่ในพระบาลีนั้น พึงทราบเนื้อความดังนี้ว่า ก็พระมหาสัตว์หยั่งลงสู่หิมวันต์แล้ว คิดว่า วันนี้เราจักเข้าไปสู่บรรพต ชื่อว่าธรรมิก ดังนี้. ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาทรงทอดพระเนตรเห็นสุเมธบัณฑิตผู้ออกไปด้วยคิดว่า เราจักบวช ดังนี้ จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสสั่งว่า สุเมธบัณฑิตนี้ออกไปแล้วด้วยคิดว่า เราจักบวช ดังนี้ ดูก่อนพ่อ พ่อจงไปสร้างที่สำหรับอยู่แก่พระมหาสัตว์เถิด. วิสสุกรรมเทพบุตรนั้นรับคำของท้าวเธอแล้วก็ไปนิรมิตอาศรมบทอันน่ารื่นรมย์ บรรณศาลาอันคุ้มครองดีแล้ว และที่จงกรมอันเป็นที่พอใจ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอาศรมบทนั้นอันสำเร็จด้วยบุญญานุภาพของตน ในกาลนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร อาศรมเราสร้างไว้ ดีแล้ว บรรณศาลาเราก็สร้างไว้ดีแล้ว ใกล้ ธรรมิกบรรพตนั้น เราสร้างที่จงกรมซึ่งเว้น จากโทษ ๕ อย่าง ไว้ที่อาศรมบทนั้น. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า สุกโต มยฺหํ แปลว่า เราสร้างไว้ดีแล้ว. คำว่า ปณฺณสาลา สุมาปิตา ความว่า แม้ศาลาที่มุงด้วยใบไม้ก็ได้ชื่อว่า เป็นศาลาอันเราสร้างดีแล้ว. ว่าด้วยที่จงกรมมีโทษ ๕ อย่าง ๑. เป็นที่แข็งและขรุขระ (ถทฺธวิสมตา) ๒. มีต้นไม้ภายใน (อนฺโตรุกฺขตา) ๓. เป็นที่ปกปิดด้วยชัฏ (คหนจฺฉนฺนตา) ๔. ที่แคบเกินไป (อติสมฺพาธนตา) ๕. ที่กว้างเกินไป (อติสาลตา). จริงอยู่ ที่จงกรมที่มีภูมิภาคแข็งขรุขระ เท้าทั้งสองของผู้จงกรมย่อมเจ็บ เท้าย่อมบวม จิตย่อมไม่ได้เอกัคคตา กรรมฐานย่อมวิบัติ. แต่ในพื้นที่อ่อนสม่ำเสมอกัน โยคีอาศัยที่อาศัยอยู่อันผาสุกแล้ว ก็ทำกรรมฐานให้สมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบที่จงกรม เพราะเป็นภูมิภาคแข็งและขรุขระ ว่าเป็นโทษที่หนึ่ง. เมื่อต้นไม้มีอยู่ภายในที่จงกรม หรือมีอยู่ในท่ามกลาง หรือในที่สุดแห่งที่จงกรม ผู้จงกรมอาศัยความประมาทแล้ว ย่อมกระทบกับหน้าผากหรือศีรษะ เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมมีต้นไม้ภายใน พึงทราบว่าเป็นโทษที่สอง. เมื่อจงกรมในที่จงกรมอันรกด้วยชัฏมีหญ้าและเครือไม้เถาเป็นต้น ย่อมเหยียบสัตว์มีงูเป็นต้น ในเวลามืดให้ตาย หรือถูกสัตว์มีงูเป็นต้น ขบกัดเอา เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมปกคลุมด้วยชัฏ พึงทราบว่าเป็นโทษที่สาม. เมื่อเดินจงกรมในที่จงกรมแคบเกินไป โดยกว้างหนึ่งศอก หรือครึ่งศอก เล็บก็ดี นิ้วเท้าก็ดี ย่อมแตก เพราะลื่นไปในที่จำกัด เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมแคบเกินไป พึงทราบว่าเป็นโทษที่สี่. เมื่อจงกรมในที่จงกรมกว้างเกินไป จิตย่อมพล่าน ย่อมไม่ได้เอกัคคตา เพราะฉะนั้น ความที่ที่จงกรมกว้างเกินไป พึงทราบว่าเป็นโทษที่ห้า. ว่าด้วยที่จงกรมอันไม่มีโทษ ความสุขของสมณะ ๘ อย่าง ๑. ความไม่หวงแหนวัตถุทั้งหลายมีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น ๒. ความเป็นผู้แสวงหาบิณฑบาตปราศจากโทษ ๓. ความเป็นผู้ฉันบิณฑบาตอันสงบ ๔. เมื่อราชกุลบีบคั้นชาวแว่นแคว้นยึดทรัพย์ที่มีสาระ หรือทาสชายหญิงและกหาปณะเป็นต้นอยู่ ความเป็นผู้ไม่ต้องเศร้าหมองเพราะการบีบคั้นชาวแว่นแคว้น ๕. ความไม่มีฉันทราคะในเครื่องใช้ทั้งหลาย ๖. ความปราศจากภัยในการถูกโจรปล้น ๗. ความไม่คลุกคลีด้วยพระราชา และมหาอำมาตย์ของพระราชา ๘. ความไม่กระทบกระทั่งในทิศทั้ง ๔. คำนี้มีอธิบายว่า ชนผู้อยู่ในอาศรมนั้นอาจเพื่อประสบความสุขของสมณะ ๘ อย่างเหล่านี้ ฉันใด เราสร้างอาศรมนั้นประกอบด้วยคุณ ๘ ประการฉันนั้น. คำว่า อภิญฺญาพลมาหรึ (นำมาซึ่งกำลังแห่งอภิญญา) ความว่า เราอยู่ในอาศรมบทนั้นกระทำกสิณบริกรรม เริ่มวิปัสสนาโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพื่อต้องการให้อภิญญาทั้งหลายและสมาบัติทั้งหลายเกิดขึ้น แล้วนำวิปัสสนาพละอันมีกำลังมา. อธิบายว่า ข้าพเจ้าอยู่ในที่นั้น ย่อมอาจเพื่อนำกำลังนั้นมาได้ ฉันใด ข้าพเจ้าสร้างอาศรมอันสมควรแก่วิปัสสนาพละนั้น เพื่อต้องการอภิญญานั้น ฉันนั้น. ว่าด้วยวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตอาศรมบทเป็นต้น ได้ยินว่า เมื่อวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตสิ่งทั้งปวงที่เป็นเครื่องใช้สอยของพวกบรรพชิตอย่างนี้ คือนิรมิตอาศรมอันประดับด้วยกุฎีที่เร้นที่จงกรมเป็นต้น อันดารดาษไปด้วยต้นไม้มีดอกและผล อันเป็นที่รื่นรมย์ใจ มีสระน้ำใสสะอาดปราศจากพาลมฤคและเสียงสกุณชาติที่น่ากลัว สมควรแก่ความสงบสงัด จัดแจงแผ่นกระดานสำหรับยึดในที่สุดทั้งสองของจงกรมอันประดับแล้ว นิรมิตแผ่นศิลามีพื้นเสมอกัน มีสีดังถั่วเขียวไว้ในท่ามกลางแห่งที่จงกรม เพื่อประโยชน์แก่การนั่ง นิรมิตบริขารของดาบสมีชฎา มณฑล ผ้าคากรอง ไม้สามขา และเต้าน้ำเป็นต้นไว้ภายในบรรณ สุเมธบัณฑิตเลือกหาที่อันเป็นผาสุกอันสมควรแก่ที่อยู่ของตนตามแนวแห่งซอกเขาที่ชายป่าหิมวันต์ เห็นอาศรมบทอันวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตไว้ซึ่งท้าวสักกะประทานให้ อันเป็นที่น่ารื่นรมย์ที่คุ้งแม่น้ำ แล้วจึงไปในที่สุดแห่งที่จงกรมไม่เห็นรอยเท้า จึงคิดว่า บรรพชิตผู้อยู่ประจำไปแสวงหาภิกษาในหมู่บ้านใกล้ๆ จักเป็นผู้มีร่าง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สาฏกํ ปชหึ ตตฺถ เป็นต้น (เราละผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ อย่างในที่นั้น). อธิบายว่า ดูก่อนสารีบุตร เราเข้าไปด้วยอาการอย่างนี้ แล้วละผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ อย่างที่บรรณศาลานั้น ท่านแสดงไว้ว่า สุเมธบัณฑิตนั้น เมื่อละผ้าสาฎกได้เห็นโทษ ๙ อย่างจึงละ. ว่าด้วยผ้าสาฎกมีโทษ ๙ อย่าง ผ้าคากรองมีอานิสงส์ ๑๒ อย่าง คำว่า ทฺวาทสคุณมุปาคตํ (ประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ) ความว่า ประกอบด้วยอานิสงส์ ๑๒ ประการ. จริงอยู่ ผ้าคากรองมีอานิสงส์ ๑๒ อย่าง คือ เป็นผ้ามีค่าน้อยดี เป็นของควร นี้เป็นอานิสงส์ข้อแรกก่อน สามารถเพื่อทำได้ด้วยมือของตน นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒ ใช้แล้วค่อยๆ เปื้อน แม้ซักก็ไม่ชักช้า นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๓ แม้เก่าเพราะการใช้สอยก็ไม่ต้องเย็บ นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๔ เมื่อแสวงหาอีกก็ทำได้ง่าย นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕ สมควรแก่การบวชเป็นดาบส นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๖ พวกข้าศึกไม่ใช้ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๗ ไม่ใช่เป็นเครื่องประดับของผู้ใช้ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๘ เป็นของเบาในเวลาครอง นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๙ เป็นของผู้มีความปรารถนาน้อยในจีวรเป็นปัจจัย นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๐ ความไม่มีโทษของผู้ทรงธรรม เพราะเกิดแต่เปลือกไม้ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๑ แม้เมื่อผ้าคากรองพินาศไปก็ไม่อาลัย นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๒. บทคาถาว่า อฏฺฐโทสสมากิณฺณํ ปชหึ ปณฺณสาลกํ แห่งคาถาว่า อฏฺฐโทสสมากิณฺณํ ปชหึ ปณฺณสาลกํ อุปาคมึ รุกฺขมูลํ คุเณหิ ทสหุปาคตํ ดังนี้ ถามว่า สุเมธบัณฑิต ละผ้านั้นได้อย่างไร? ตอบว่า นัยว่า สุเมธบัณฑิตนั้นเมื่อจะเปลื้องผ้าสาฎกทั้งคู่นั้น ถือเอาผ้าคากรองที่ย้อมแล้ว เช่นกับพวงดอกอังกาบ ซึ่งพาดอยู่ที่ราวจีวร นุ่งแล้ว ก็ห่มผ้าคากรองมีสีเหมือนสีทองคำอีกผืนหนึ่งทับผ้านุ่งนั้น แล้วทำหนังเสือเหลืองมีกีบเท้าเช่นกับสัณฐานดอกบุนนาค ให้เป็นผ้าอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง แล้วสวมใส่มณฑลชฎา สอดหมุดแข็งกับมวยผม เพื่อต้องการทำให้ไม่หวั่นไหว แล้วตั้งเต้าน้ำมีสีดังแก้วประพาฬไว้ในสาแหรกเช่นกับข่ายแก้วมุกดา แล้วถือเอาไม้คานอันคดในที่สามแห่ง แล้วคล้องเต้าน้ำไว้ที่ปลายไม้คานข้างหนึ่ง คล้องไม้ขอกระเช้าและไม้สามขาเป็นต้นไว้ที่ปลายไม้คานข้างหนึ่ง แล้วหาบเครื่องบริขารขึ้นบ่า ถือไม้เท้าคนแก่ด้วยมือข้างขวา ออกจากบรรณศาลา จงกรมไปมาในที่จงกรมใหญ่ยาวประมาณ ๖๐ ศอก แลดูเพศของตนแล้วเกิดความอุตสาหะขึ้นว่า มโนรถของเราถึงที่สุดแล้ว บรรพชาของเรางามหนอ ก็ชื่อว่าบรรพชานี้ วีรบุรุษทั้งปวงมีพระ ต้องแสวงหาทัพสัมภาระ (เครื่องทำเรือน) ทั้งหลายด้วยเครื่องประกอบมากมารวม พระมหาสัตว์เห็นโทษ ๘ อย่างเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงละบรรณศาลา ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เราละบรรณศาลาอันเกลื่อนกล่น ด้วยโทษ ๘ อย่าง เข้าสู่โคนไม้อันประกอบ ด้วยคุณ ๑๐ อย่าง ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราครั้นปฏิเสธเครื่องมุง (บรรณศาลา) แล้วเข้าไปสู่โคนไม้ อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ อย่าง ดังนี้. โคนต้นไม้มีคุณ ๑๐ อย่าง พระมหาสัตว์กำหนดเหตุทั้งหลายเหล่านี้มีประมาณเท่านี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น จึงเข้าไปสู่บ้านเพื่อภิกษา. ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในบ้านที่พระมหาสัตว์ไปถึงนั้น ได้ถวายภิกษาด้วยความอุตสาหะใหญ่. พระมหาสัตว์ทำภัตกิจเสร็จแล้วกลับมาสู่อาศรมนั่งแล้ว คิดว่า มิได้บวชด้วยความคิดว่า เราจักไม่ได้อาหาร ขึ้นชื่อว่า อาหารที่ดีนั่น ย่อมยังความเมาในการถือตนและเมาในความเป็นบุรุษให้เจริญ ก็ความสิ้นทุกข์ที่มีอาหารเป็นมูล หามีไม่ ไฉนหนอ เราพึงละอาหารอันเกิดแต่ธัญชาติที่เขาหว่านและปลูก โดยเด็ดขาด แล้วถือเอาผลตามแต่จะหาได้ อันถึงพร้อมด้วยคุณมิใช่น้อย เพราะฉะนั้น เราจึงละอาหารอันเกิดแต่ธัญชาติที่เขาหว่านและปลูกแล้ว บริโภคผลไม้ตามที่หาได้ ดังนี้ จำเดิมแต่กาลนั้น พระมหาสัตว์ก็ทำอย่างนั้น แล้วสืบต่ออยู่ พยายามอยู่ภายใน ๗ วันก็ยังสมาบัติแปดและอภิญญาห้าให้เกิดขึ้นแล้ว. ว่าด้วยการทำทางและได้รับพยากรณ์ เราละธัญชาติที่หว่านแล้วปลูกแล้วโดยไม่เหลือถือเอาผลไม้ที่ตกตามแต่หาได้ ซึ่งถึงพร้อมด้วยคุณมิใช่น้อย เราตั้งความเพียรในการนั่ง การยืน การจงกรมในที่นั้น ในภายในสัปดาห์ เราก็บรรลุกำลังแห่งอภิญญา เมื่อเราถึงความสำเร็จเป็นผู้ชำนาญแล้วในพระศาสนาอย่างนี้ พระชินเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ผู้เป็นนายกของโลก ก็ทรงอุบัติขึ้น เรามัวยินดีในฌาน จึงมิได้เห็นนิมิต ๔ คือ เมื่อพระองค์ทรงอุบัติ ทรงประสูติ ตรัสรู้และแสดงธรรม พวกมนุษย์ผู้มีจิตยินดี นิมนต์พระตถาคตให้เสด็จไปในเขตแดนประเทศชายแดน แล้วพากันแผ้วถางทางเป็นที่เสด็จ สมัยนั้น เราครองผ้าคากรองของตนออกจากอาศรม เหาะไปในท้องฟ้า ในกาลนั้น เราเห็นชนมีโสมนัส ยินดี ร่าเริงบันเทิงใจ จึงลงจากท้องฟ้า ถามพวกมนุษย์ในขณะนั้นว่า มหาชนผู้มีโสมนัส มีความยินดีร่าเริงแล้ว ย่อมแผ้วถางทางทำถนนเพื่อใคร พวกมหาชนเหล่านั้นถูกเราถามแล้ว จึงบอกแก่เราว่า พระชินพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ไม่มีผู้ยิ่งกว่า เป็นนายกของโลกทรงอุบัติขึ้นในโลก มหาชนย่อมแผ้วถางทางทำถนนเชื่อมต่อกันไปเพื่อพระองค์นั้น เพราะฟังพระนามว่า พุทฺโธ ดังนี้ ปีติก็เกิดขึ้นแก่เราในทันทีทันใดนั้น เมื่อเราจะกล่าวว่า พุทฺโธ พุทฺโธ ดังนี้ จึงประกาศถึงความโสมนัส มีความยินดีแล้ว ก็มีจิตสลดยืนคิดอยู่ในที่นั้นว่า เราจักปลูกพืชทั้งหลายไว้ในที่นี้ ขอขณะ (เวลา) อย่าได้ล่วงเราไปเสียเลย ถ้าว่าพวกท่านแผ้วถางทางเพื่อพระพุทธเจ้าไซร้ ขอพวกท่านจงให้ช่องว่าง (ทาง) ส่วนหนึ่งแก่เราเถิด แม้เราก็จักแผ้วถางทางทำถนน พวกเขาได้ให้ช่องว่างทางส่วนหนึ่งแก่เราเพื่อชำระทำถนนในครั้งนั้น เราคิดอยู่ว่า พุทฺโธ พุทฺโธ ดังนี้ ชำระทางอยู่ในกาลนั้น เมื่อทางถนนของเรายังไม่สำเร็จ พระชินมหามุนีทีปังกร พร้อมด้วยพระขีณาสพประมาณสี่แสน ผู้มีอภิญญา ๖ ผู้คงที่ ปราศจากมลทินก็เสด็จดำเนินมาสู่หนทาง การต้อนรับก็กำลังเป็นไป กลองดนตรีทั้งหลายเป็นอันมากก็กึกก้องขึ้น เหล่ามนุษย์และเทพยดาทั้งหลายต่างก็พากันยินดีปรีดา ได้ยังสาธุการให้เป็นไปแล้ว พวกเทวดาก็มองดูพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็มองเห็นเทวดาทั้งหลาย พวกเทวดาและมนุษย์แม้ทั้งสองต่างก็ยกมือประณม เดินตามพระตถาคต พวกเทวดาก็ประโคมดนตรีทิพย์ พวกมนุษย์ก็ประโคมดนตรีของมนุษย์ เทวดาและมนุษย์แม้ทั้งสองพวกต่างก็ พวกเทวดาไปทางอากาศโปรยดอกมณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะอันเป็นทิพย์ ไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่ ทั้งได้โปรยจุรณจันทน์และของหอมอันประเสริฐ อันเป็นทิพย์ลงสู่ทิศน้อยใหญ่ทั้งสิ้น พวกมนุษย์ซึ่งเดินตามพื้นดินต่างก็ชูดอกจำปา ดอกสน ดอกประดู่ ดอกกระทิง ดอกบุนนาคและดอกการะเกดทั่วทุกทิศานุทิศ ส่วนเราสยายผมออก และเปลื้องผ้าคากรองและหนังเสือลาดไว้บนเปือกตมแล้ว นอนคว่ำลง (โดยตั้งใจว่า) ขอพระพุทธเจ้าจงทรงเหยียบเรา เสด็จไปพร้อมด้วยหมู่พระสาวกเถิด อย่าได้ทรงเหยียบโคลนตมเลย การที่พระองค์ทรงดำเนินไปเช่นนั้น จักเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เมื่อเรานอนที่พื้นดินแล้ว ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราเมื่อปรารถนาอยู่ วันนี้จักฆ่ากิเลสทั้งหลายได้ การที่เรากระทำให้แจ้งซึ่งธรรม ด้วยเพศอันบุคคลอื่นไม่รู้จักในที่นี้ จะมีประโยชน์อะไร? เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ความที่เราเป็นบุรุษแสดงความสามารถข้ามไปคนเดียว จะมีประโยชน์อะไร? เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว จักยังมนุษยโลกทั้งเทวโลกให้ข้ามไปพร้อมกัน ความที่เราเป็นบุรุษมีบุญญาธิการ ส่องถึงความสามารถคนเดียวนี้ จะมีประโยชน์อะไร? เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว จักยังประชุมอันมากให้ข้ามตาม เราตัดกระแสสงสารแล้ว กำจัดภพทั้งสามขึ้นสู่ธรรมนาวาแล้ว จักยังมนุษย์พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามไปพร้อมกัน. พระทีปังกรพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องสักการะที่เขานำมาบูชา ประทับยืนบนศีรษะเรา ได้ตรัสคำนี้ว่า พวกเธอจงดูดาบสนี้ ผู้เป็นชฎิลมีตบะกล้าในกัปที่นับไม่ถ้วน แต่กัปนี้ไปจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก เธอจักเป็นพระตถาคตเสด็จออกจากนครกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ จักทรงตั้งความเพียรกระทำทุกร พวกมนุษย์และเทวดาฟังพระดำรัสของพระมเหสีเจ้า ผู้ไม่มีใครเสมอว่า ดาบสนี้จักเป็นพุท พระทีปังกรพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องสักการะอันมนุษย์และเทวดานำมาบูชาแล้ว ทรงประกาศกรรมของเราแล้ว ก็ทรงยกพระบาทเบื้องขวาขึ้นเสด็จดำเนินไป เหล่าชินบุตรเหล่าใดอยู่ในที่นั้น ทั้งหมดต่างก็กระทำประทักษิณเรา พวกมนุษย์ นาคและคนธรรพ์ต่างก็อภิวาทแล้วก็หลีกไป เมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งหมู่ภิกษุสงฆ์ ก้าวล่วงการมองดูของเราแล้ว เรามีจิตยินดีร่าเริงแล้วลุกขึ้นจากอาสนะในกาลนั้น เรามีความสุขด้วยความสุข มีความบันเทิงด้วยความปราโมทย์ บริบูรณ์แล้วด้วยปีติ แล้วคู้บัลลังก์ในกาลนั้น เราครั้นนั่งคู้บัลลังก์ในกาลนั้นแล้ว ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงอภิญ เมื่อเราคู้บัลลังก์อยู่ เหล่าเทพเจ้าในหมื่นโลกธาตุ ต่างก็เปล่งเสียงบันลือลั่นไปว่า ท่านจักเป็นพระ เรา (สุเมธบัณฑิต) สดับพระดำรัสของพระพุทธเจ้าและเหล่าเทวดาหมื่นโลกธาตุทั้งสองแล้ว มีความโสมนัสยินดีร่าเริงบันเทิงใจแล้ว ได้มีความคิดในกาลครั้งนั้นอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีถ้อยคำไม่เป็นสอง พระชินะทั้งหลาย พระวาจาไม่เป็นโมฆะ ถ้อยคำอันไม่เป็นจริงไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ก้อนดินบุคคลขว้างไปในท้องฟ้าย่อมตกลงสู่พื้นดินแน่แท้ ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเป็นพระดำรัสเที่ยงแท้แน่นอนฉันนั้นเหมือนกัน ความตายย่อมเป็นของแท้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายแม้ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดก็มีพระดำรัสเที่ยงแท้ ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อราตรีสิ้นไปแล้วพระอาทิตย์ต้องขึ้นไปแน่ ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดก็เป็นพระดำรัสจริงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อสีหะออกจากที่นอนแล้วย่อมบันลือแน่แท้ ฉันใด พระดำรัสของพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ก็เป็นพระดำรัสจริงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ทั้งหลายแบกของหนักไปถึงที่ประสงค์แล้ว ย่อมวางลงแน่ ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ก็เป็นพระดำรัสเที่ยงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน. ว่าด้วยพุทธการกธรรม ๑๐ จริงอยู่ พุทธการกธรรมจะมีเท่านี้ก็หามิได้ เราจักเลือกเฟ้นธรรมอันบ่มโพธิญาณแม้อื่นๆ เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ในครั้งนั้น ได้เห็นสีลบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๒ อันพระมเหสีเจ้าทั้งหลาย ในกาลก่อนปฏิบัติแล้วซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า เจ้าจงบำเพ็ญสีลบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๒ นี้ สมาทานทำให้มั่นก่อน ถ้าเธอปรารถนาบรรลุโพธิญาณ สัตว์จามรีมีขนหางติดอยู่ในที่ใดๆ ย่อมยอมตายในที่นั้นๆ ย่อมไม่ให้ขนหางเสียไป แม้ฉันใด เธอจงบำเพ็ญศีลทั้งหลายในภูมิ ๔ จงรักษาศีลทุกเมื่อ เหมือนจามรีรักษาขนหาง ฉันนั้นเหมือนกัน. อันพุทธการกธรรมจักมีเท่านี้ก็หาไม่ เราเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลายอันบ่มโพธิญาณแม้อื่นๆ เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ในกาลนั้น ได้เห็นเนกขัมมบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๓ อันพระมเหสีทั้งหลายในกาลก่อน ทรงปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า ท่านจงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๓ นี้ สมาทานกระทำให้มั่นก่อน ถ้าเธอปรารถนาบรรลุโพธิญาณ บุรุษผู้ติดอยู่ในเรือนจำ มีความทุกข์สิ้นกาลนาน เขาไม่มีความยินดีในเรือนจำนั้น แสวงหาการพ้นไปเท่านั้น ฉันใด เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ จงดูภพทั้งหมดเหมือนเรือนจำ จงมุ่งหน้าต่อเนกขัมมะเพื่อความหลุดพ้นเถิด. อันพุทธการกธรรมทั้งหลายจักมีเพียงเท่านี้ก็หาไม่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลายอันบ่มโพธิญาณแม้อื่นๆ เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ในครั้งนั้น ได้เห็นปัญญาบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๔ อันพระมเหสีเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า ท่านจงบำเพ็ญปัญญาบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๔ นี้ สมาทานทำให้มั่นก่อน ถ้าเธอปรารถนาบรรลุโพธิญาณ ภิกษุผู้ขอบิณฑะในตระกูลต่ำ ปานกลาง ชั้นสูง ไม่เว้นตระกูลทั้งหลาย ย่อมได้อาหารพอยังอัตภาพให้เป็นไปอย่างนี้ แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงสอบถามชนผู้รู้ตลอดกาล บำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ. อันพุทธการกธรรมจักมีเพียงเท่านี้ก็หาไม่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลายบ่มโพธิญาณแม้อื่นๆ เมื่อเราเลือกเฟ้นในครั้งนั้น ได้เห็นวิริยบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๕ อันพระมเหสีเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนปฏิบัติแล้วซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า ท่านจงบำเพ็ญวิริยบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๕ นี้ สมาทานทำให้มั่นก่อน ถ้าท่านปรารถนาบรรลุโพธิญาณ สีหมิคราชมีความเพียรไม่ท้อถอย มีใจประคับประคองแล้วในการนั่ง การยืน การเดินทุกเมื่อ แม้ฉันใด ถึงท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน จงบำเพ็ญวิริยบารมีประคองความเพียรไว้ให้มั่น แล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณ. อันพุทธการกธรรมจักมีเท่านั้นก็หามิได้ เราจักเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลายบ่มโพธิญาณแม้อื่นๆ เมื่อเราเลือกเฟ้นธรรมในครั้งนั้น ได้เห็นขันติบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๖ อันพระมเหสีทั้งหลายในกาลก่อนปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า เธอจงสมาทานพุทธการกธรรมข้อที่ ๖ นี้ ทำให้มั่นก่อน เธอมีใจไม่เป็นสองในขันติบารมีนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณ ธรรมดาว่า แผ่นดินย่อมทนสิ่งที่สะอาดบ้าง สิ่งที่ไม่สะอาดบ้างทั้งหมดที่เขาทิ้งไป ย่อมไม่ทำความยินดียินร้าย แม้ฉันใด ถึงท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน ต้องอดทนต่อการนับถือ และความดูหมิ่นของชนทั้งปวง ท่านบำเพ็ญขันติบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ. อันพุทธการกธรรมทั้งหลายมิได้มีเพียงเท่านี้ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้อื่นๆ บ่มโพธิญาณเมื่อเราเลือกเฟ้น ในครั้งนั้นได้เห็นสัจจบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๗ อันพระมเหสีทั้งหลายในปางก่อนปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า ท่านจงสมาทานพุทธการกธรรมข้อที่ ๗ นี้ ทำให้มั่นก่อน ท่านมีวาจาไม่เป็นสองในสัจจบารมีนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณ ธรรมดาว่า ดาวประกายพรึก เป็นดาวประจำวิถี ในโลกนี้และเทวโลก ย่อมไม่ก้าวล่วงวิถีในสมัยฤดูร้อนหรือฤดูฝน แม้ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อย่าก้าวล่วงวิถีในสัจจะทั้งหลาย ท่านบำเพ็ญสัจจบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ. อันพุทธการกธรรมทั้งหลายจักไม่มีเพียงเท่านี้ จักเลือกธรรมแม้อื่นๆ บ่มโพธิญาณ เมื่อเราเลือกเฟ้น ในครั้งนั้นได้เห็นอธิษฐานบารมี อันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๘ อันพระมเหสีทั้งหลายในปางก่อนปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า ท่านจงสมาทานทำพุทธการกธรรมข้อที่ ๘ นี้ให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ภูเขาศิลาล้วน ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นดีแล้ว ไม่หวั่นไหวด้วยลมที่แรงกล้า ย่อมดำรงอยู่ในที่ของตนเท่านั้น แม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตั้งมั่นในอธิษฐานบารมีในกาลทั้งปวง เธอบำเพ็ญอธิษฐานบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ. อันพุทธการกธรรมทั้งหลายจักไม่มีเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้อื่นๆ บ่มโพธิญาณ เมื่อเราเลือกเฟ้น ในครั้งนั้นได้เห็นเมตตาบารมี อันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๙ อันพระมเหสีทั้งหลายในกาลก่อนปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า เธอจงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา สมาทานพุทธการกธรรมข้อที่ ๙ นี้ ให้มั่นก่อน ถ้าท่านปรารถนาบรรลุโพธิญาณ ธรรมดาว่าน้ำย่อมแผ่ความเย็นไปสม่ำเสมอ และย่อมชำระล้างมลทิน คือธุลีในชนทั้งหลายทั้งคนดีและคนชั่ว แม้ฉันใด เธอก็จงเป็นฉันนั้นนั่นแหละ พึงเจริญเมตตาบารมีเจริญเมตตาไปสม่ำเสมอในชน ผู้ทำประโยชน์และผู้ไม่ทำประโยชน์แล้ว ท่านจักบรรลุสัมโพธิญาณ. อันพุทธการกธรรมทั้งหลายจักไม่มีเพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมแม้อื่นๆ บ่มโพธิญาณ เมื่อเราเลือกเฟ้น ในครั้งนั้นได้เห็นอุเบกขาบารมีอันเป็นพุทธการกธรรมข้อที่ ๑๐ อันพระมเหสีเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน ปฏิบัติแล้ว ซ่องเสพแล้ว จึงสอนตนว่า เธอเป็นผู้คงที่มั่นคง สมาทานพุทธการกธรรมข้อที่ ๑๐ นี้ ให้มั่นก่อนแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ธรรมดาแผ่นดินเว้นจากความยินดียินร้ายเหล่านั้นทั้งสอง ย่อมวางเฉยสิ่งอันไม่สะอาดและสิ่งสะอาดที่บุคคลโยนไปแล้ว แม้ฉันใด เธอก็จงเป็นฉันนั้นนั่นแหละ บำเพ็ญอุเบกขาบารมี เป็นผู้คงที่ในสุขและทุกข์ในกาลทุกเมื่อแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ. ธรรมทั้งหลายอันบ่มโพธิญาณในโลกมีประมาณเท่านี้แหละ ไม่เกินจากนี้ ท่านจงตั้งมั่นอยู่ในธรรมเหล่านั้นเถิด เมื่อเราพิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่เป็นสภาวะรสะและลักษณะเหล่านี้อยู่ ด้วยเดชแห่งธรรมเหล่านั้น แผ่นดินหมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหว แผ่นดินหวั่นไหวอยู่ ส่งเสียงดังเหมือนเครื่องยนตร์หีบอ้อยที่เขาบีบแล้ว แผ่นดินย่อมสั่นสะเทือนเหมือนจักรยนต์น้ำมันฉะนั้น. มหาสมุทรทั้งหลายก็ตีฟองนองเนือง ทั้งจอมเขาที่มหาสมุทรนั้นก็โอนอ่อนน้อมลงแล้ว เสียงดังหึ่งๆ ก็ดังก้องไปแล้วที่เขาสิเนรุราช บริษัททั้งหลายอยู่ในที่อังคาสพระพุทธเจ้าหวั่นไหวอยู่ หมดสติล้มลง ณ พื้นดินในที่นั้น หม้อน้ำหลายพัน ตุ่มน้ำหลายร้อยกระทบกันและกันแตกละเอียดไปในที่นั้น มหาชนทั้งหลายต่างก็สะดุ้งตกใจ กลัวหมุนไป มีใจหวาด ครั้งนั้น พระมหามุนีทีปังกรพุทธเจ้าทรงยังมหาชนเหล่านั้นให้ทราบแล้วว่า ท่านทั้งหลายจงวางใจเถิด อย่ากลัวเลยในการหวั่นไหวแห่งแผ่นดินนี้ เราได้พยากรณ์ดาบสใดในวันนี้ว่า เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก ดาบสนี้พิจารณาธรรมอันพระชินเจ้าซ่องเสพแล้วในกาลก่อน เมื่อดาบสนั้นพิจารณาธรรมอันเป็นพุทธภูมิโดยไม่เหลือ ด้วยเหตุนั้น แผ่นดินหมื่นโลกธาตุในมนุษย์และเทวดานี้ จึงหวั่นไหวแล้ว เพราะสดับฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ใจของพวกเขาก็สงบทันที มนุษย์และเทวดาทั้งหมดจึงเข้าไปหาเราแล้วอภิวาทอีกครั้งหนึ่ง เราสมาทานพุทธคุณกระทำใจให้มั่นแล้ว นมัสการพระทีปังกรพุทธเจ้า แล้วลุกขึ้นจากอาสนะในขณะนั้น เมื่อเราลุกจากอาสนะ เทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวกต่างก็โปรยปรายดอกไม้ทั้งทิพย์ ทั้งเป็นของมนุษย์ เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวกต่างก็ให้เราทราบถึงความสวัสดีว่า ความปรารถนาที่ท่านปรารถนาแล้วเป็นเรื่องใหญ่ ท่านจักได้โพธิญาณนั้นตามความปรารถนา ขอเสนียดจัญไรทั้งปวงจงพินาศไป ความโศก โรคจงสูญสิ้นไป อันตรายจงอย่ามีแก่ท่าน ขอท่านจงตรัสรู้โพธิญาณอันยอดเยี่ยมพลันเถิด ต้นไม้ดอกย่อมเบ่งบานในสมัย (ฤดู) ที่มาถึงแล้ว แม้ฉันใด ข้าแต่มหาวีระ ขอท่านจงเบิกบานด้วยพุทธญาณฉันนั้นเถิด พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ฉันใด ขอ เรานั้นอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายชมเชยสรรเสริญแล้ว สมาทานธรรมทั้ง ๑๐ เมื่อจะบำเพ็ญธรรมเหล่านั้นให้บริบูรณ์ จึงเข้าไปสู่ป่าใหญ่ (ป่าหิมพานต์) ในกาลนั้นแล. ชาวรัมมนครเหล่านั้นอังคาสพระโลกนายกพร้อมทั้งหมู่สงฆ์ ในกาลนั้นแล้วพากันเข้าถึงพระศาสดาพระ ศาสนาของพระทีปังกรนั้น ในการตรัสรู้ครั้งแรกของหมู่สัตว์ ได้มีประมาณถึงร้อยโกฏิ ในครั้งที่สองมีประมาณเก้าสิบโกฏิ ในครั้งที่สาม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ดาวดึงส์พิภพ ได้มีการตรัสรู้ของเทพยดาถึงเก้าหมื่นโกฏิ. ในศาสนาของพระทีปังกรนั้นได้มีการประชุมใหญ่สามครั้ง ครั้งแรกมีพระสาวกมาประชุมประมาณแสนโกฏิ ครั้งที่สอง เมื่อพระชินเจ้าทรงเข้านิโรธสมาบัติที่นารทกูฏะ มีพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทินมาประชุมร้อยโกฏิ ครั้งที่สาม เมื่อพระมหาวีระประทับอยู่ ณ ภูเขาสุทัสสนะ ได้ประชุมทำปวารณากรรมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณเก้าหมื่นโกฏิ. ในสมัยนั้น เราบวชเป็นชฏิล มีตบะกล้า บรรลุอภิญญา ๕ เที่ยวไปในอากาศ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ถึงสองแสนโกฏิ ส่วนตรัสรู้ทีละพัน หรือสองพันมีประมาณมากมาย ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ในครั้งนั้น บริสุทธิ์ปราศจากมลทินแพร่หลาย เจริญรุ่งเรืองเป็นประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก พระขีณาสพประมาณ ๔ แสนบรรลุอภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก ย่อมแวดล้อมพระพุทธเจ้าทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลกทุกเวลา. สมัยนั้น ใครๆ ซึ่งยังเป็นพระเสขะ ยังไม่ถึงที่สุดพรหมจรรย์ ย่อมละความเป็นมนุษย์ (ตาย) ไป เขาผู้นั้นย่อมถูกติเตียน ปาพจน์ คือพระธรรมวินัยของพระองค์นั้นอันพระขีณาสพปราศจากมลทิน เป็นพระอรหันต์ผู้คงที่ประกาศดีแล้ว ย่อมงามในโลกทั้งเทวโลก. นครที่พระองค์ทรงอุบัติ ชื่อว่ารัมมวดี กษัตริย์นามว่าสุเทพ เป็นพระชนก พระนางสุเมธาเทวี เป็นพระชนนีของพระศาสดาพระนามว่า ทีปังกร พระสุมังคละและพระติสสะได้เป็นคู่อัครสาวก อุปัฏฐากของพระศาสดาทีปังกร ชื่อว่าพระสาคตะ พระเถรีชื่อว่านันทา พระเถรีชื่อว่าสุนันทา ได้เป็นคู่อัครสาวิกา ต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียกว่า ปิปผลิ (ไม้เลียบ). พระมหามุนีทีปังกร มีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก งามดุจไม้ประจำทวีป ชื่อว่าพระยารัง ซึ่งบานสะพรั่ง รัศมีของพระองค์แผ่ซ่านไปโดยรอบ ๑๒ โยชน์ มีพระชนมายุแสนปี พระองค์ดำรงอยู่ ยังประชุมชนมากให้ข้ามพ้นสงสาร ทรงยังพระสัทธรรมให้โชติช่วงแล้ว ให้มหาชนข้ามพ้นสาครไป แล้วตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์พร้อมทั้งพระสาวก ได้ประกาศพระธรรมวินัยให้รุ่งโรจน์แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟที่ลุกโพลงขึ้นแล้วก็ดับไป พระฤทธิ์ พระยศและจักรรัตนะที่ฝ่าพระยุคลบาททั้งหมดก็อันตรธานไปพร้อมกัน เพราะสังขารทั้งปวง เป็นของว่างเปล่า มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาแน่แท้. โกณฑัญญกถาที่ ๒ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่าวิชิตาวี ได้ถวายมหาทานแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมีประมาณนับได้แสนโกฏิ พระศาสดาได้พยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม. พระโพธิสัตว์นั้นทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว ทรงมอบราชสมบัติ ออกผนวช (บวช) ทรงศึกษาพระไตรปิฎก ทรงให้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้น มีฌานไม่เสื่อมแล้วทรงอุบัติขึ้นในพรหมโลก. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า พระนามว่าโกณฑัญญะ นั้นชื่อว่ารัมมวดี พระมหากษัตริย์พระนามว่าสุนันทะ เป็นพระราชบิดา พระนางเทวีพระนามว่าสุชาดา เป็นพระมารดา พระภัททเถระและสุภัททเถระเป็นอัครสาวก พระเถระนามว่าอนุทธะ เป็นพุทธุปัฏฐาก พระติสสาเถรีและพระอุปติสสาเถรี เป็นคู่อัครสาวิกา มีไม้ที่ตรัสรู้ชื่อว่าสาลกัลยาณี พระสรีระของพระมหามุนีนั้นสูง ๘๘ ศอก พระองค์มีพระชนมายุแสนปี. มังคลกถาที่ ๓ ได้ยินว่า อานันทกุมาร เป็นพระภาดาต่างพระมารดากับพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พร้อมทั้งบริษัท ๙๐ โกฏิ ได้เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา เพื่อทรงสดับธรรม. พระศาสดาตรัสอนุปุพพิกถาแก่เธอ เธอพร้อมด้วยบริษัท บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พระศาสดาทรงตรวจดูบุรพจริยาของกุลบุตรเหล่านั้น ทรงเห็นอุปนิสัยของการได้บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ตรัสว่า "พวกเธอจงเป็นภิกษุ" ดังนี้ ขณะนั้นนั่นแหละ กุลบุตรทั้งปวงก็ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ เป็นเหมือนพระเถระมีพรรษา ๖๐ ถึงพร้อมด้วยกิริยามารยาทมาแวดล้อมถวายบังคมพระศาสดา. ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ก็มีสาวกสันนิบาตสามครั้ง. ก็รัศมีสรีระของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอื่นๆ มีประมาณ ๘๐ ศอก โดยรอบเป็นประมาณ แต่ว่า รัศมีสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ามังคละ นั้นหาเหมือนพระพุทธเจ้าอื่นๆ ไม่ คือมีพระรัศมีแผ่ออกไปสู่แสนโลกธาตุตั้งอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์ ต้นไม้ ภูเขา มหาสมุทรเป็นต้น โดยที่สุดมีหม้อข้าวเป็นต้น ได้เป็นเหมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทองคำฉะนั้น ก็พระชนมายุของพระองค์มีประมาณเก้าหมื่นปี ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ พระจันทร์ พระอาทิตย์เป็นต้น ไม่อาจเพื่อเปล่งรัศมีของตนได้ การกำหนดกลางคืนและกลางวันไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายเที่ยวไปด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้าเป็นนิตย์ ดุจกลางวันด้วยแสงอาทิตย์ สัตวโลกกำหนดกลางคืนและกลางวันได้ ด้วยดอกไม้บานว่าเป็นเวลาเย็น กำหนดเสียงนกร้องเป็นเวลาเช้า. ถามว่า ก็อานุภาพนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นไม่มีหรือ? ตอบว่า มิใช่ไม่มี จริงอยู่ พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อจำนงอยู่ก็พึงแผ่พระรัศมีไปสู่หมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ แต่ว่าพระรัศมีสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่ามังคละ แผ่ไปสู่หมื่นโลกธาตุตั้งอยู่เป็นนิตย์ทีเดียว ด้วยอำนาจการตั้งความปรารถนาไว้ในบุรพชาติ เหมือนพระรัศมีวาหนึ่งของพระพุทธเจ้าอื่นๆ. ได้ยินว่า พระมังคลพุทธเจ้านั้น ในขณะที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ดำรงอัตภาพเช่นเดียวกับพระเวสสันดร พร้อมทั้งบุตรและภรรยา อยู่ที่ภูเขาเช่นกับภูเขาวงกฏ ครั้งนั้น มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่าขรทาฐิกะ ทราบว่า พระมหาบุรุษมีพระทัยในการจำแนกทาน จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เข้าไป แล้วทูลขอทารกทั้งสองพระองค์ กะพระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์ทรงยินดีร่าเริง แล้วด้วยทรงพระดำริว่า เราจักให้ลูกน้อยแก่พราหมณ์ ดังนี้ แล้วพระราชทานทารกทั้งสอง อันสามารถยังแผ่นดินให้หวั่นไหวจดน้ำรองแผ่นดิน ยักษ์ยืนพิงแผ่นกระดานที่พิงไว้ในที่สุดแห่งที่จงกรม เมื่อพระมหาสัตว์มองดูอยู่นั่นแหละ เคี้ยวกินทารกทั้งสองพระองค์ เหมือนเคี้ยวกินกองรากไม้ มหาบุรุษแลดูยักษ์ เมื่อยักษ์นี้สักว่าอ้าปากเท่านั้น ธารโลหิตก็หลั่งออกดุจเปลวไฟ พระมหาบุรุษนั้น แม้เห็นปากของยักษ์นั้น ก็มิได้เสียพระทัย แม้เพียงปลายผมให้เกิดขึ้น ทรงพระดำริว่า สุทินฺนํ วต เม ทานํ (ทานเราให้ดีแล้ว) แล้วยังปีติโสมนัสอันใหญ่ให้เกิดแก่พระองค์. พระมหาบุรุษนั้น ทรงตั้งความปรารถนาว่า ด้วยวิบากเป็นเครื่องไหลออกแห่งบุญของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงออกจากสรีระโดยทำนองนี้ ดังนี้ เมื่อพระองค์อาศัยเหตุนั้นตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีทั้งหลายจึงออกจากพระสรีระแผ่ไปสู่ที่มีประมาณเท่านี้. บุรพจริยาอีกอย่างหนึ่งของพระมังคลพุทธเจ้า ได้ยินว่า พระมังคลพุทธเจ้านั้น ในเวลาที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ เห็นเจดีย์พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ได้คิดว่า เราควรสละชีวิตบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จึงพันสรีระทั้งสิ้นดุจพันประทีปคบเพลิง แล้วเอาเนยใสใส่ถาดทองคำสูงประมาณหนึ่งศอก มีราคาแสนกหาปณะจนเต็มแล้ว จุดประทีปพันไส้ในถาดนั้นให้โพลงแล้วทูนถาดนั้นด้วยศีรษะ ยังสรีระทั้งสิ้นให้โพลงแล้วกระทำประทักษิณ พระเจดีย์ตลอดราตรีทั้งสิ้น เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่อย่างนี้จนอรุณขึ้น แม้สักว่าขุมขนเส้นหนึ่งก็ไม่ไหม้ ได้เป็นเหมือนเวลาเข้าไปสู่กอปทุม ฉะนั้น. จริงอยู่ ชื่อว่า ธรรมนั้นย่อมรักษาตนไว้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมา ให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่บุคคลประพฤติ ดีแล้ว ผู้มีปกติประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ ทุคติ. ด้วยวิบากเป็นเครื่องไหลออกแห่งกรรมแม้นี้ รัศมีพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า มังคละนั้น จึงแผ่ซ่านไปสู่หมื่นโลกธาตุตั้งอยู่แล้ว. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายเป็นพราหมณ์นามว่าสุรุจิ คิดว่า เราจะทูลนิมนต์พระศาสดา ดังนี้จึงเข้าไปเฝ้า ได้สดับมธุรธรรมกถา แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงรับภิกษาของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พราหมณ์ เธอต้องการภิกษุเท่าไร. พราหมณ์สุรุจิทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้เป็นบริวารของพระองค์มีประมาณเท่าไร. ครั้งนั้น เป็นสาวกสันนิบาตครั้งแรกของพระศาสดา เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ประมาณแสนโกฏิ. พราหมณ์จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์พร้อมด้วยหมู่ภิกษุทั้งหมด จงรับภิกษาของข้าพระองค์ พระศาสดาทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพแล้ว. พราหมณ์ครั้นทูลนิมนต์เพื่อรับภัตในวันรุ่งขึ้นแล้ว เมื่อเดินกลับบ้าน ได้คิดว่า เราสามารถจะถวายวัตถุทั้งหลายมีข้าวยาคู ภัตและผ้าเป็นต้นแก่ภิกษุ มีประมาณเท่านี้ได้ แต่ว่า ที่สำหรับนั่งจักทำอย่างไร ดังนี้. ความคิดของพราหมณ์นั้นได้ยังความเร่าร้อนเกิดขึ้นแก่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ของท้าวสักกเทวราชซึ่งตั้งอยู่ไกลถึงแปดหมื่นสี่พันโยชน์ (๘๔,๐๐๐ โยชน์) ท้าวสักกะทรงตรวจดูอยู่ด้วยทิพยจักษุว่า ใครหนอประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากอาสนะนี้ ทรงเห็นแล้วซึ่งมหาบุรุษ จึงทรงทราบว่า สุรุจิพราหมณ์นิมนต์หมู่ภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้คิดถึงการจัดที่นั่งถวาย แม้เราก็ควรจะไปยังที่นั้น เพื่อถือเอาส่วนบุญ ดังนี้ แล้วนิรมิตเพศเป็นช่างไม้ถือมีดและขวานยืนปรากฏข้างหน้ามหาบุรุษ ถามว่า มีใครจะจ้างทำกิจการอะไรบ้างไหม? มหาบุรุษเห็นนายช่างไม้นั้น จึงถามว่า ท่านทำอะไรได้บ้าง. ช่างไม้นั้นตอบว่า ขึ้นชื่อว่าศิลปะที่ข้าพเจ้าไม่รู้มิได้มี ใครจะให้ข้าพเจ้าทำเรือนหรือมณฑป หรือสิ่งใด ข้าพเจ้าทำได้ทั้งนั้น. มหาบุรุษกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เรามีงานอยู่. ช่างไม้ถามว่า นาย ท่านมีงานอะไรหรือ? มหาบุรุษตอบว่า เรานิมนต์ภิกษุแสนโกฏิให้มาฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว ท่านจงช่วยทำมณฑปสำหรับเป็นที่นั่งให้ภิกษุเหล่านั้น. ช่างไม้กล่าวว่า ถ้าท่านอาจให้ค่าจ้างแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็กระทำมหาบุรุษกล่าวว่า เราจักให้ท่าน ช่างไม้รับคำว่า ดีละ ข้าพเจ้าจักกระทำแล้วไปแลดูประเทศหนึ่ง ประเทศนั้นมีประมาณ ๑๒ หรือ ๑๓ โยชน์ มีพื้นเรียบดุจมณฑลกสิณ. พระอินทร์ช่างไม้ คิดว่า ขอมณฑปสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ จงตั้งขึ้นในที่มีประมาณเท่านี้ ดังนี้ แล้วแลดูอยู่ ทันทีนั้นเอง มณฑปก็ทำลายแผ่นดินผุดขึ้น มณฑปนั้น ที่เสาทั้งหลายสำเร็จด้วยทอง มีบัวเสาสำเร็จด้วยเงิน บรรดาเสาที่สำเร็จด้วยเงินมีบัวเสาสำเร็จด้วยทอง บรรดาเสาที่สำเร็จด้วยแก้วมณีมีบัวเสาสำเร็จด้วยแก้วประพาฬ บรรดาเสาแก้วประพาฬ มีบัวเสาสำเร็จด้วยแก้วมณี บรรดาเสาสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ มีบัวเสาสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ แต่นั้นก็ตรวจดูอธิษฐานว่า ขอข่ายกระดิ่งจงห้อยในระหว่างที่สุดแห่งมณฑป ดังนี้ พร้อมกับการแลดูนั่นแหละ ข่ายกระดิ่งก็ห้อยย้อยแล้ว กระดิ่งใดถูกลมอ่อนๆ พัด กระดิ่งนั้นก็เปล่งเสียงไพเราะดุจเสียงไพเราะของดนตรีมีเครื่อง ๕ ทีเดียว เวลานั้นได้เป็นเหมือนกาลเวลาบรรเลงทิพยสังคีต แล้วอธิษฐานว่า ขอพวงดอกไม้หอมและพวงมาลัยทั้งหลายจงห้อยภายในระหว่าง พวงเหล่านั้นก็ห้อยย้อยแล้ว ต่อจากนั้น พระอินทร์ซึ่งเป็นช่างไม้ก็อธิษฐานว่า ขออาสนะทั้งหลายและที่นั่งสำหรับภิกษุแสนโกฏิจงทำลายแผ่นดินผุดขึ้น ในทันทีทันใดนั้น สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น ต่อจากนั้น ก็อธิษฐานว่า ขอตุ่มน้ำทั้งหลายจงตั้งขึ้นมุมละหนึ่งตุ่ม แม้ตุ่มน้ำทั้งหลายก็ตั้งขึ้น ท้าวสักกะเนรมิตสรรพสิ่งเห็นปานนี้ แล้วจึงไปสู่สำนักของพราหมณ์ แล้วเรียนว่า ท่านพราหมณ์จงมาตรวจดูมณฑปของท่านแล้ว โปรดให้ค่าจ้างแก่ข้าพเจ้า ดังนี้. มหาบุรุษไปตรวจดูมณฑปแล้ว เมื่อแลดูอยู่นั่นแหละ ปีติ ๕ อย่างก็ถูกต้องสรีระแผ่ซ่านไปไม่มีระหว่างคั่น. ลำดับนั้น พระมหาบุรุษครั้นตรวจดูมณฑปแล้ว ได้มีความคิดว่า มณฑปนี้มิใช่มนุษย์ทำ แต่อาศัยอัชฌาสัยและคุณของเรา จึงทำพิภพของท้าวสักกะร้อนแน่แท้ เพราะฉะนั้น มณฑปนี้จักเป็นมณฑปอันท้าวสักกะสร้างให้ ก็การที่เราจักถวายทานเพียงวันเดียวในมณฑปเห็นปานนี้ไม่ควรเลย เราจักถวายทานสัก ๗ วัน ดังนี้. ก็การให้ทานด้วยวัตถุอันเป็นภายนอกแม้มีประมาณเพียงไร ก็ไม่สามารถจะยังใจของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายให้เบิกบาน แต่ว่า ความเบิกบานใจของพระโพธิสัตว์จะมีก็เพราะการบริจาคในกาลได้ตัดศีรษะอันตกแต่งแล้ว ควักลูกตาทั้งสองที่หยอดยาแล้ว ควักเนื้อหทัยแล้วให้ไป ในสีวิราชชาดกพรรณนาไว้ว่า เมื่อพระโพธิสัตว์แม้ของเราทั้งหลายสละทรัพย์ทุกๆ วัน วันละประมาณ ๕ แสนกหาปณะให้ทานอยู่ในพระนครที่ประตูเมืองทั้ง ๔ การบริจาคทานนั้นก็ไม่ยังใจให้เบิกบานได้ แต่ว่า เมื่อใด ท้าวสักกเทวราชปลอมเป็นพราหมณ์มาขอพระเนตรทั้งคู่ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงควักพระเนตรให้อยู่นั่นแหละ ความเบิกบานพระทัยจึงเกิดขึ้น จิตของพระองค์มิได้เป็นอย่างอื่นสักเท่าปลายผม ชื่อว่า ความเบิกบานใจของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเพราะอาศัยทานเห็นปานนี้ จึงไม่มี เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษแม้นั้น จึงคิดว่า เราควรจะถวายทานแก่ภิกษุแสนโกฏิ ๗ วัน ดังนี้ จึงนิมนต์หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขให้นั่งในมณฑปนั้น แล้วได้ถวายอาหารทานชื่อว่า ควบาน ๗ วัน. คำว่า ควบาน ท่านเรียกโภชนะที่เอาน้ำนมใส่ในหม้อใหญ่จนเต็มแล้วยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ เมื่อน้ำนมข้นแล้วใส่ข้าวสารไปหน่อยหนึ่ง แล้วปรุงด้วยน้ำผึ้งจุรณะน้ำตาลกรวดและเนยใส. ก็มนุษย์ทั้งหลายไม่สามารถจะอังคาสภิกษุได้ทั่วถึง เทวดาทั้งหลายจึงแทรกเข้าไปช่วยอังคาสแล้ว ที่มีประมาณ ๑๒-๑๓ โยชน์ ก็ไม่เพียงพอให้ภิกษุนั่ง แต่ว่าภิกษุทั้งหลายนั่งได้ด้วยอานุภาพของตน. ในวันสุดท้าย พระโพธิสัตว์ให้ล้างบาตรภิกษุทั้งหมดบรรจุเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เพื่อต้องให้เป็นเภสัชแล้วถวายพร้อมกับไตรจีวร ผ้าจีวรที่ภิกษุนวกะในสงฆ์ได้มีราคาถึงแสนกหาปณะ. พระศาสดาเมื่อจะกระทำอนุโมทนาทรงใคร่ครวญดูว่า บุรุษนี้ ได้ให้ทานใหญ่เห็นปานนี้ จักเป็นอะไรหนอ ทรงเห็นว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งสองอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป จักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ ดังนี้ จึงตรัสเรียกมหาบุรุษมาแล้วทรงพยากรณ์ว่า ล่วงกาลประมาณเท่านี้แล้ว เธอจักเป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ. มหาบุรุษสดับฟังพยากรณ์ว่า ได้ยินว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือนของเราเล่า เราจักบวช ดังนี้ แล้วละสมบัติเห็นปานนั้น ดุจถ่มก้อนเขฬะแล้วบวชในสำนักพระศาสดา ก็ครั้นบวชแล้วก็เรียนพระพุทธวจนะ ยังอภิญญาทั้งหลายและสมาบัติทั้งหลายให้เกิดแล้ว ในเวลาสิ้นสุดอายุแล้วก็บังเกิดขึ้นในพรหมโลก. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ามังคละ ได้มีชื่อว่าอุตตระ พระบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่าอุตตระ พระมารดาพระนามว่าอุตตรา พระสุเทวเถระและพระธรรมเสนเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พระอุปัฏฐากชื่อว่าปาลิตะ พระสีวลีเถรีและพระอโสกาเถรี เป็นคู่พระอัครสาวิกา ไม้กากะทิงเป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูง ๘๘ ศอก ดำรงพระชนมายุอยู่ ๙ หมื่นปีก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว หมื่นจักรวาลก็ได้มืดพร้อมกันหมด การร้องไห้รำพันใหญ่ได้มีแก่มนุษย์ทั้งหลายในจักรวาลทั้งหมดแล. สุมนกถาที่ ๔ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นนาคราช นามว่าอตุละ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว จึงพาหมู่ญาติออกจากนาคพิภพ มาประโคมดนตรีทิพย์บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุประมาณแสนโกฏิเป็นบริวาร ได้ถวายมหาทานแล้วถวายผ้าคู่หนึ่งแต่ละองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย พระศาสดาสุมนะนั้นได้พยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า ในอนาคตกาล อตุลนาคราชนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะนั้น ชื่อว่าเมขลา พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าสุทัตตะ พระมารดาพระนามว่าสิริมา พระสรณเถระและพระภาวิตัตตเถระเป็นคู่อัครสาวก ภิกษุอุปัฏฐากชื่อว่าอุเทนเถระ พระโสนาเถรีและพระอุปโสนาเถรี เป็นคู่อัครสาวิกา ไม้กากะทิงเป็นไม้ตรัสรู้ มีพระสรีระกายสูง ๙๐ ศอก พระชนมายุของพระองค์ประมาณ ๙ หมื่นปีแล. เรวตกถาที่ ๕ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ นามว่าอติเทพ สดับฟังพระธรรมเทศนาแล้วตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย ประนมอัญชลีไว้เหนือเศียรเกล้า กล่าวสรรเสริญการละกิเลสของพระศาสดาพระองค์นั้นแล้วได้บูชาด้วยผ้าห่ม พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า เรวตะพระองค์นั้นมีพระนคร ชื่อว่าสุธัญญวดี พระบิดาเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าวิปุละ พระมารดาพระนามว่าวิปุลา พระวรุณเถระและพรหมเทวเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พุทธุปัฏฐากชื่อว่าสัมภวะ พระภัททาเถรีและพระสุภัททาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา ไม้กากะทิงเป็นไม้ตรัสรู้ พระองค์มีพระสรีระสูง ๘๐ ศอก มีพระชนมายุหกหมื่นพรรษาแล. โสภิตกถาที่ ๖ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์นามว่าอชิตะ สดับพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย ได้ถวายมหาทานแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้พระโสภิตพุทธเจ้าก็พยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโสภิตนั้น มีชื่อว่าสุธรรม พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าสุธรรม พระมารดาพระนามว่าสุธรรมา พระอสมเถระและพระสุเนตรเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พุท อโนมทัสสีกถาที่ ๗ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นเสนาบดียักษ์ตนหนึ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เป็นใหญ่กว่ายักษ์หลายแสนโกฏิ เสนาบดียักษ์นั้นฟังว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว ได้มาถวายมหาทานแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้พระศาสดาก็ได้พยากรณ์ยักษ์นั้นว่า ในอนาคตกาลจักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนามว่าจันทวดี พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่ายสวา พระมารดาพระนามว่ายโสธรา พระนิสภเถระและพระอโนมเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พุทธุปัฏฐากชื่อว่าวรุณะ พระสุนทรีเถรีและพระสุมนาเถรีเป็นคู่อัครสาวิกา ต้นไม้รกฟ้าเป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าสูง ๕๘ ศอก มีพระชนมายุแสนปีแล. ปทุมกถาที่ ๘ ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในป่าชัฏนั้นนั่นแหละ พระโพธิสัตว์เป็นพญาสีหะ ได้เห็นพระศาสดาผู้เข้านิโรธสมาบัติแล้วมีจิตเลื่อมใสหมอบลงจบ (ไหว้) กระทำประทักษิณ มีปีติโสมนัสเกิดแล้ว บันลือสีหนาทสามครั้งไม่ละเว้นปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่ออกไปหาอาหาร เพราะความสุขอันเกิดแต่ปีตินั่นแหละ ได้ทำการสละชีวิตเข้าไปยืนเฝ้าอยู่ ๗ วัน ครั้นล่วงไป ๗ วัน พระศาสดาทรงออกจากนิโรธแล้ว ทอดพระเนตรเห็นพญาสีหะแล้วทรงดำริว่า สีหะนี้ยังจิตให้เลื่อมใสแม้ในหมู่ภิกษุแล้วจักจบสงฆ์ ขอสงฆ์จงมา ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายมาแล้วในขณะนั้นทีเดียว พญาสีหะก็ยังจิตให้เลื่อมใสในสงฆ์ พระศาสดาทรงตรวจดูภูมิธรรมอันมีในใจของพญาสีหะจึงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล พญาสีหะนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีชื่อว่าจัมปกะ พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าอสมะ แม้พระ นารทกถาที่ ๙ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษีเป็นผู้ชำนาญในอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้ถวายมหาทานแก่หมู่ภิกษุ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้วบูชาด้วยจันทน์แดง แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในอนาคตกาล เขาจักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็มีนามว่าธัญญวดี พระบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่าสุเทวะ พระมารดาพระนามว่าอโนมา พระภัททสาลเถระและชิตมิตตเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พุทธุปัฏฐากชื่อว่าพระวาสิฏฐะ พระอุตตราเถรีและผัคคนีเถรีเป็นคู่พระอัครสาวิกา ต้นไม้อ้อยช้างใหญ่เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นพระพรรษาแล. ปทุมุตตรกถาที่ ๑๐ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นผู้ปกครองมหารัฐ นามว่าชฏิละ ได้ถวายทานพร้อมทั้งจีวรแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้พระปทุมุตตรพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ได้พยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า ในอนาคต กาลชฏิละนี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ ก็ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ชื่อว่าผู้เป็นเดียรถีย์มิได้มี เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงได้ถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นสรณะ พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า นามว่าหังสวดี พระบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่าอานันทะ พระมารดาพระนามว่าสุชาดา พระเทวิลเถระและพระสุชาตเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พระอุปัฏฐากนามว่าสุมนะ พระอมิตตาเถรีและพระอสมาเถรี เป็นคู่พระอัครสาวิกา ไม้สาละเป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูง ๘๘ ศอก รัศมีพระวรกายแผ่ไป ๑๒ โยชน์ พระชนมายุหนึ่งแสนพรรษาแล. สุเมธกถาที่ ๑๑ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพนามว่าอุตตระ สละทรัพย์ที่ฝังเก็บไว้ถึง ๘๐ โกฏิ ถวายมหาทานแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฟังธรรม ตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลายแล้วออกบวช พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ได้พยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในอนาคตกาล เขาจักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ชื่อว่าสุทัศนะ พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าสุทัตตะ พระมารดาพระนามว่าสุทัตตา พระสรณเถระและพระสัพพกามเถระเป็นพระอัครสาวก พระอุปัฏฐากนามว่าสาครเถระ พระรามาเถรีและพระสุรามาเถรีเป็นคู่พระอัครสาวิกา ไม้สะเดาใหญ่เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นพรรษาแล. สุชาตกถาที่ ๑๒ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงสดับว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าทรงฟังธรรมแล้วถวายราชสมบัติในทวีปทั้ง ๔ พร้อมด้วยรัตนะ ๗ ประการแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นถือรายได้ของรัฐมาให้สำเร็จกิจกรรมของอารามถวายมหาทานเป็นนิตย์แก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระเจ้าจักรพรรดินั้นแล้ว. ก็พระนครของพระสุชาตพุทธเจ้านามว่าสุมังคละ พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าอุคคตะ พระมารดาพระนามว่าปภาวดี พระสุทัสสนเถระและพระสุเทวเถระเป็นคู่พระอัครสาวก พระอุปัฏฐากนามว่านารทะ พระนาคาเถรีและพระนาคสุมาลาเถรีเป็นคู่พระอัครสาวิกา มีต้นไผ่ใหญ่เป็นไม้ตรัสรู้ ได้ยินว่าต้นไผ่นั้นกลม ไม่เป็นโพรงลำต้นแข็ง งดงามด้วยกิ่งใหญ่ขึ้นไปเบื้องบน เหมือนกำหางนกยูง พระสรีระของพระองค์สูง ๕๐ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นพรรษาแล. ปิยทัสสีกถาที่ ๑๓ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นมาณพนามว่ากัสสป ถึงฝั่งแห่งไตรเพท ได้สดับพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วบริจาคทรัพย์หนึ่งแสนโกฏิสร้างสังฆาราม ดำรงอยู่ในสรณะและศีลทั้งหลาย ครั้งนั้นพระศาสดาได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า เมื่อล่วงไปหนึ่งพันแปดร้อยกัปแล้ว ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. อโนมนคร๑- ได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าสุทินนะ๒- พระ ____________________________ ๑- ขุ. อปทานเล่ม ๓๓ ว่าเป็น สุธัญญนคร ๒- สุทัตตะ ๓- สุจันทา ๔- พระไตรปิฎก ขุ. อปทาน เล่ม ๓๓ เป็นต้นกุ่ม. อัตถทัสสีกถาที่ ๑๔ ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสมีฤทธิ์มาก นามว่าสุสิมา ได้นำฉัตรดอกมณฑารพจากเทวโลกมาบูชาพระศาสดา แม้พระศาสดาก็ได้พยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นแล้ว. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนามว่าโสภณ พระบิดาเป็นพระราชาพระนามว่าสาคระ พระ |