บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระมหาบุรุษสมภพแล้ว การงานที่คนทั้งปวงเริ่มไว้ และประโยชน์ที่ปรารถนาก็สำเร็จ เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติทั้งหลายของพระองค์จึงเฉลิมพระนามว่าสิทธัตถะ. พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่าโกกาสะ อุปปละและปทุมะ๑- ปรากฎมีสนมนารีแปดหมื่นสี่พันนางมีพระนางโสมนัสสาเทวีเป็นประมุข. ____________________________ ๑- บาลีว่า โกกนุทะ. เมื่อพระอนุปมกุมาร โอรสของพระนางโสมนัสสาเทวีสมภพแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ในวันอาสาหฬบูรณมี ก็ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยพระวอทอง เสด็จไปยังวีริย เล่ากันว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือนกับบรรพชิตเหล่านั้น ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาพราหมณ์ชื่อสุเนตตา ตำบล ทรงยับยั้งอยู่ ๗ วัน ทรงเห็นภิกษุแสนโกฏิที่บวชกับพระองค์ เป็นผู้สามารถ ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น บรรลุพระสัมโพธิญาณ แล้ว เมื่อทรงยังโลกทั้งเทวโลก ให้ข้ามโอฆะ เมื่อทรงยังโลก ทั้งเทวโลกให้ดับร้อน จึงทรงหลั่งฝนคือธรรมให้ตกลง. พระพุทธเจ้าผู้มีพระเดชที่ไม่มีผู้เทียบได้ พระองค์นั้น ทรงมีอภิสมัย ๓ ครั้ง อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ. แก้อรรถ บทว่า ธมฺมเมเฆน ได้แก่ เมฆฝน คือธรรมกถา. ต่อมาอีก ทรงทำทิศทั้งสิบให้เต็มด้วยพระสุรเสียงดังพรหม เสนาะดังเสียงนกการเวกร้อง สบายโสต ไพเราะอย่างยิ่ง จับใจบัณฑิตชน เฉกเช่นอภิเษกด้วยน้ำอมฤต ทรงลั่นอมตธรรมเภรี. ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ต่อมาอีก พระสิทธัตถพุทธเจ้า ทรงลั่นกลองธรรม ในภีมรถนคร อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ. ครั้งพระสิทธัตถพุทธเจ้าทรงแสดงพุทธวงศ์ในสมาคมพระญาติ กรุงเวภาระ ทรงยังธรรมจักษุให้เกิดแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าผู้สูงสุดในนรชนพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรม อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่ สัตว์เก้าสิบโกฏิ. พระราชาสองพี่น้องพระนามสัมพละและสุมิตตะ ทรงครองราชย์ ณ อมรนคร ซึ่งงามน่าดูดั่งนครแห่งเทพ. ลำดับนั้น พระสิทธัตถศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของพระราชาสองพระองค์นั้น จึงเสด็จไปทางนภากาศลง แต่นั้น พี่น้องสองพระราชาเห็นพระเจดีย์คือรอยพระบาท ก็เสด็จไปตามรอยพระบาท เข้าเฝ้าพระสิทธัตถศาสดาผู้บรรลุประโยชน์อย่างยิ่ง ถวายบังคมแล้วประทับนั่งล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่พระอัธยาศัยโปรดพระ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาต ประชุมสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง. สถาน ๓ เหล่านี้ คือ สันนิบาตพระสาวกร้อยโกฏิ เก้าสิบโกฏิ แปดสิบโกฏิ เป็นสันนิบาตของพระสาวก ขีณาสพผู้ไร้มลทิน. แก้อรรถ บทว่า เอเต อาสุํ ตโย ฐานา ความว่า มีสถานที่สันนิบาต ๓ เหล่านี้. ปาฐะว่า ฐานาเนตานิ ตีณิ อเหสุํ ดังนี้ก็มี. สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ชื่อว่ามังคละ กรุงสุรเสน จบ ลำดับนั้น พระศาสดาเสวยผลชมพูนั้นแล้วทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดเก้าสิบสี่กัปนับแต่กัปนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สมัยนั้น เราเป็นดาบสชื่อมังคละ มีเดชสูง อัน ใครๆ เข้าพบได้ยาก ตั้งมั่นด้วยกำลังแห่งอภิญญา. เรานำผลชมพูมาจากต้นชมพู ได้ถวายแด่พระ สิทธัตถพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าทรงรับแล้ว ตรัสพระ ดำรัสดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงดูชฏิลดาบสผู้มีตบะสูงผู้นี้ เก้า สิบสี่กัปนับแต่กัปนี้ ดาบสผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า. พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อ หน้าของท่านผู้นี้. เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์. แก้อรรถ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อเวภาระ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าอุเทน พระนามว่าพระเจ้าชัยเสนบ้างก็มี พระชนนีพระนามว่าสุผัสสา คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระสัมพละและพระสุมิตตะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระเรวตะ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระสีวลาและพระสุรามา กณิการรุกฺโข โพธึ สรีรํ สฏฺฐิหตฺถุพฺเพธํ อโหสิ ฯ โพธิพฤกษ์ชื่อว่ากณิการะ ต้นกรรณิการ์ พระสรีระสูง ๖๐ ศอก พระชนมายุแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่าพระนางโสมนัสสา พระโอรสพระนามว่าอนุปมะ ออก ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระนครชื่อเวภาระ พระชนกพระนามว่าพระเจ้าอุเทน พระชนนีพระนามว่าพระนางสุผัสสา. พระสิทธัตถพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระ อัครสาวกชื่อว่าพระสัมพละและพระสุมิตตะ พระพุทธ- อุปัฏฐากชื่อว่าพระเรวตะ. มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสีวลาและพระสุรามา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก กณิการะ ต้นกรรณิการ์. พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูงขึ้นสู่ฟ้า ๖๐ ศอก เสมือนรูปปฏิมาทอง จึงรุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ. พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้ เสมอ อันใครชั่งไม่ได้ เปรียบไม่ได้ ผู้มีจักษุพระองค์ นั้น ทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี. พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงแสดงพระรัศมีอัน ไพบูลย์ ยังสาวกทั้งหลายให้บานแล้ว ให้งดงามแล้ว ด้วยสมาบัติ อันประเสริฐแล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน. แก้อรรถ บทว่า กญฺจนคฺฆิยสงฺกาโส ได้แก่ น่าดูเสมอรูปปฏิมาที่สำเร็จด้วยทอง วิจิตรด้วยรัตนะต่างๆ. บทว่า ทสสหสฺสี วิโรจติ แปลว่า รุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ. บทว่า วิปุลํ ได้แก่ พระรัศมีอันโอฬาร. บทว่า ปุปฺผาเปตฺวาน ความว่า ทำให้บานแล้วด้วยดอกไม้ คือฌาน บทว่า วิลาเสตฺวา ได้เยื้องกรายเล่นแล้ว. บทว่า วรสมาปตฺติยา ได้แก่ ด้วยสมาบัติและอภิญญาอันเป็นโลกิยะ บทว่า นิพฺพุโต ได้แก่ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทาปรินิพพาน. ได้ยินว่า พระสิทธัตถศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ อโนมราชอุทยาน กรุง ในคาถาทั้งหลายที่เหลือก็ชัดเจนแล้วทั้งนั้นแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๖. สิทธัตถพุทธวงศ์ จบ. |