ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 22อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 23อ่านอรรถกถา 33.3 / 24อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๓. อโยฆรจริยา

               อรรถกถาอโยฆรจริยาที่ ๓               
               พึงทราบวินิจฉัยในอโยฆรจริยาที่ ๓ ดังต่อไปนี้.
               บทว่า อโยฆรมฺหิ สํวฑฺโฒ คือ เจริญแล้วในเรือนทำด้วยเหล็กทั้งหมดใหญ่ ทำ ๔ เหลี่ยมเพื่อป้องกันอมนุษย์และอันตราย.
               บทว่า นาเมนาสิ อโยฆโร เพราะความเป็นผู้เกิดและเจริญในเรือนเหล็ก จึงปรากฏชื่อว่าอโยฆรกุมาร.
               ความโดยย่อมีว่า
               ในกาลนั้น ในอัตภาพก่อนทางพระอัครมเหสีของพระเจ้ากาสี หญิงร่วมสามี ตั้งความปรารถนาว่า เราพึงกินบุตรที่เกิดแล้วๆ ของเจ้า แล้วเกิดในกำเนิดนางยักษิณี ครั้นได้โอกาสในการที่อัครมเหสีนั้นประสูติ จึงกินพระโอรสเสีย ๒ ครั้ง.
               แต่ในครั้งที่ ๓ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีนั้น.
               พระราชาทรงปรึกษากับพวกมนุษย์ว่า นางยักษิณีตนหนึ่งกินโอรสที่เกิดแล้วของพระเทวี. เราควรทำอย่างไรดี.
               เมื่อพวกมนุษย์ทูลว่า ธรรมดาอมนุษย์ย่อมกลัวเรือนเหล็ก จึงรับสั่งให้ช่างเหล็กสร้างเรือนเหล็กใหญ่เป็นโรง ๔ เหลี่ยม ด้วยเครื่องปรุงเรือนทั้งหมดสำเร็จด้วยเหล็ก ตั้งแต่เสาเป็นต้นให้สำเร็จ แล้วทรงให้พระเทวีซึ่งทรงพระครรภ์แก่ ประทับอยู่ ณ เรือนเหล็กนั้น.
               พระเทวีประสูติพระโอรสมีบุญลักษณะดี ณ เรือนเหล็กนั้น. ขนานพระนามว่าอโยฆรกุมาร.
               พระราชาทรงให้พระกุมารนั้นแก่พวกแม่นมจัดการอารักขาใหญ่โต ทรงนำพระเทวีเข้าไปประทับภายใน.
               แม้นางยักษิณีถึงวาระตักน้ำ นำน้ำไปให้ท้าวเวสสวัณก็สิ้นชีวิตไปแล้ว.
               พระมหาสัตว์ทรงเจริญอยู่ในเรือนเหล็กนั้นเอง ถึงความเป็นผู้รู้ เรียนศิลปะทั้งปวง ณ เรือนเหล็กนั้น.
               พระราชาทรงทราบว่า พระโอรสมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา จึงมีรับสั่งกะพวกอำมาตย์ว่า เราจักมอบราชสมบัติให้ พวกท่านจงนำโอรสของเรามาเถิด.
               พวกอำมาตย์กราบทูลรับพระบัญชาแล้วทรงให้ตกแต่งพระนคร นำมงคลหัตถีประดับด้วยเครื่องสรรพาลังการไป ณ ที่นั้น ตกแต่งพระกุมารให้ประทับนั่งที่คอมงคลหัตถี กระทำประทักษิณพระนคร แล้วนำมาเฝ้าพระราชา.
               พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระวรกายของพระโอรสงดงาม จึงทรงกอดพระโอรสนั้นด้วยความสิเนหาอย่างแรง รับสั่งกะพวกอำมาตย์ว่า พวกเจ้าจงอภิเษกโอรสของเราในวันนี้แหละ.
               พระมหาสัตว์ถวายบังคมพระชนกแล้วทูลว่า หม่อมฉันไม่ต้องการสมบัติ หม่อมฉันจักบวช ขอจงทรงอนุญาตให้หม่อมฉันบวชเถิด พระเจ้าข้า.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                         ทุกฺเขน ชีวิโต ลทฺโธ สมฺปีเฬ ปติโปสิโต
                                   ฯลฯ
                         ตสฺมา รชฺชํ ปริจฺจชึ

               คำแปลปรากฏอยู่แล้วในบาลีแปลข้างต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺเขน คือ พระบิดาตรัสว่า ลูกเอ๋ย พี่ชายของลูก ๒ คนถูกนางยักษิณีตนหนึ่งกิน. ลูกได้ความทุกข์ความลำบากที่ทำเพื่อป้องกันลูกจากภัยของอมนุษย์นั้นตั้งแต่เกิด.
               บทว่า สมฺปีเฬ ปติโปสิโต เขาเลี้ยงลูกไว้ในที่คับแคบ.
               ความว่า ลูกเจริญเติบโตมาในที่คับแคบตั้งแต่คลอดในเรือนเหล็กอันคับแคบเพื่อป้องกันอมนุษย์หลายๆ อย่างจนกระทั่งอายุได้ ๑๖.
               บทว่า อชฺเชว ปุตฺต ปฏิปฏิปชฺช เกวลํ วสุธํ อิมํ วันนี้ ลูกจงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้นนี้.
               ความว่า ลูกได้อภิเษกด้วยสังข์ ๓ สังข์ วางอยู่บนกองรัตนะภายใต้เศวตฉัตรประดับด้วยมาลัยทอง วันนี้จงปกครองมหาปฐพีนี้ พร้อมทั้งแว่นแคว้นอันมีมหาสมุทรเป็นที่สุดทั้งสิ้นอย่างเดียว อันเป็นของตระกูลนี้ พร้อมทั้งชาวนิคมอันเป็นหมู่บ้านใหญ่ พร้อมทั้งบริวารชนมากมาย.
               อธิบายว่า ลูกจงเสวยราชสมบัติเถิด.
               บทว่า วนฺทิตฺวา ขตฺติยํ, อญฺชลึ ปคฺคเหตฺวาน อิทํ วจนมพฺรวึ คือ เราถวายบังคมจอมกษัตริย์พระชนกของเราผู้เป็นราชาแห่งแคว้นกาสี ประคองอัญชลีแด่พระองค์แล้วจึงได้กล่าวคำนี้ :-
               บทว่า เย เกจิ มหิยา สตฺตา คือ สัตว์ทั้งหลายบางพวกในมหาปฐพีนี้.
               บทว่า หีนอุกฺกฏฺฐมชฺฌิมา คือ ลามก อุกฤษฏ์และปานกลาง เพราะเป็นอยู่ในท่ามกลางของสัตว์ทั้งสอง.
               บทว่า สเก เคเห คือ สัตว์ทั้งหมดเหล่านั้นเจริญในเรือนของตน.
               บทว่า สกญาติหิ พร้อมด้วยญาติของตน คือสัตว์ทั้งหลายบันเทิง คุ้นเคย ไม่ลำบากย่อมเจริญด้วยสมบัติกับญาติของตน.
               บทว่า อิทํ โลเก อุตฺตริยํ คือ การเลี้ยงดูนี้ไม่มีใครเหมือนในโลกเป็นพิเศษเฉพาะข้าพระองค์. การเลี้ยงดูข้าพระองค์ในที่คับแคบ คือความเจริญเติบโตของข้าพระองค์ในที่คับแคบนั้นเป็นอย่างไร. เป็นความเจริญเติบโตในเรือนเหล็ก ปราศจากแสงจันทร์และดวงอาทิตย์.
               บทว่า สํวฑฺโฒมฺหิ คือ ข้าพระองค์เจริญเติบโต.
               บทว่า ปูติกุณปสมฺปุณฺณา เต็มไปด้วยซากศพเน่า คือเมื่อความสงสัยในชีวิตเป็นไปอยู่ ข้าพระองค์ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี เต็มไปด้วยซากศพนานัปการ มีกลิ่นเหม็น เช่นกับคูถนรกได้อย่างไร.
               บทว่า ตโต โฆรตเร คือ ทารุณยิ่งกว่าอยู่ในครรภ์ เป็นทุกข์เพราะอยู่ไม่ดีเลย.
               บทว่า ปกฺขิตฺตโยฆเร คือ ใส่ไว้ในเรือนเหล็ก.
               ท่านแสดงว่า ได้เป็นดุจขังไว้ในเรือนจำ.
               บทว่า ยทิ ในบทว่า ยทิหํ นี้ เป็นเพียงนิบาต.
               บทว่า ตาทิสํ คือ ข้าพระองค์ได้รับทุกข์ทารุณอย่างยิ่ง เช่นที่กล่าวไว้แล้วในครั้งก่อน ถ้ายังยินดีในราชสมบัติ. เมื่อเป็นอย่างนั้น ข้าพระองค์ก็จะเลวทรามยิ่งกว่าคนเลวทรามชั่วช้าลามกไป.
               บทว่า อุกฺกณฺฐิโตมฺหิ กาเยน คือ ข้าพระองค์เบื่อหน่ายด้วยกายอันเน่ามียังไม่พ้นจากการอยู่ในครรภ์เป็นต้น.
               บทว่า รชฺเชนมฺหิ อนตฺถิโก คือ ข้าพระองค์ไม่ต้องการแม้ราชสมบัติ. ถึงแม้ข้าพระองค์จะพ้นจากเงื้อมมือของนางยักษิณี ก็จะไม่พ้นชราและมรณะไปได้เลย. ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่ข้าพระองค์. เพราะธรรมดาราชสมบัติเป็นที่ประชุมของอนัตตาทั้งปวง. ตั้งแต่เวลาที่ตั้งอยู่ในราชสมบัตินั้น เป็นอันออกไปได้ยาก เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จักไม่ครองราชสมบัติจักแสวงหาความดับ.
               บทว่า ยตฺถ มํ มจฺจุ น มทฺทิเย ความว่า ข้าพระองค์จักแสวงหาธรรมเครื่องดับ คืออมตมหานิพพาน ซึ่งเป็นที่ที่มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่พึงย่ำยี พึงท่วมทับข้าพระองค์ผู้ตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว.
               บทว่า เอวาหํ จินฺตยิตฺวาน ความว่า เราคิดโดยแยบคายด้วยการพิจารณาถึงโทษในสงสารมีประการต่างๆ ดังได้กล่าวไว้แล้วนี้อย่างนี้ และด้วยการเห็นอานิสงส์ในนิพพาน.
               บทว่า วิวรนฺเต มหาชเน คือ เมื่อมหาชนมีพระชนกชนนีเป็นหัวหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ด้วยอดกลั้นถึงทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากเราไปไม่ได้.
               บทว่า นาโคว พนฺธนํ เฉตฺวา ความว่า เราได้ตัดเครื่องผูกด้วยการตัดเครื่องผูกคือตัณหา ในชนนั้นมีญาติสงเคราะห์เป็นต้น แล้วเข้าสู่ป่าใหญ่ด้วยการเข้าถึงบรรพชา เหมือนคชสารมีกำลังมากตัดเครื่องผูก คือเชือกอันไม่มีความแข็งแรง ได้โดยง่ายฉะนั้น.
               คาถาสุดท้ายมีความดังได้กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
               อนึ่ง พึงทราบความในบทนั้นดังต่อไปนี้.
               พระมหาสัตว์ทรงแน่พระทัยในการบวชของพระองค์แล้ว เมื่อพระราชาตรัสว่า ลูกรัก ลูกจะบวชไปทำไม จึงทูลว่า ข้าแต่พระชนก ลูกอยู่ในครรภ์ของพระชนนีตลอด ๑๐ เดือน เหมือนอยู่ในคูถนรก.
               ครั้นออกจากพระครรภ์ของพระชนนีแล้วก็ยังต้องอยู่ในเรือนจำอีกถึง ๑๖ ปี เพราะกลัวนางยักษิณี ไม่ได้แม้แต่จะเห็นในภายนอก ได้เป็นเหมือนตกอยู่ในอุสนรก.
               แม้ลูกพ้นจากนางยักษิณีก็จะไม่พ้นความแก่และความตายไปได้เลย.
               ขึ้นชื่อว่ามัจจุนี้ อันใครๆ ไม่สามารถจะชนะได้.
               ลูกเบื่อหน่ายในภพ ลูกจักบวชประพฤติธรรมจนกว่าพยาธิ ชราและมรณะจะไม่มาถึงลูกได้ พอกันทีสำหรับราชสมบัติของลูก. ข้าแต่พระชนก ขอจงทรงอนุญาตให้ลูกบวชเถิด.
               แล้วทรงแสดงธรรมแก่พระชนกด้วยคาถา ๒๔ คาถามีอาทิว่า :-
                         มนุษย์อยู่ในห้องตลอดคืนหนึ่ง ครั้นมนุษย์
                         นั้นลุกไป. เมื่อเขาไป ย่อมไม่กลับมาอีก.
               แล้วทูลว่า ข้าแต่พระบิดา ราชสมบัติของพระบิดาก็จงเป็นของพระบิดาเท่านั้นเถิด ลูกไม่ต้องการราชสมบัตินี้เลย. เมื่อลูกพูดอยู่กับพระบิดานี่แหละ พยาธิ ชราและมรณะ ก็พึงมาถึง. จงทรงหยุดเถิด พระเจ้าข้า.
               แล้วทรงละกามทั้งหลาย ดุจช้างตกมันตัดเชือกเหล็ก ดุจลูกสีหะทำลายกรงทองฉะนั้น แล้วถวายบังคมพระชนกชนนีเสด็จออกบรรพชา.
               ลำดับนั้น พระชนกของพระมหาสัตว์ทรงดำริว่า กุมารนี้ใคร่จะบวช ก็เราเล่าจะอยู่ไปทำไม แม้เราก็ไม่ต้องการราชสมบัติ. จึงทรงสละราชสมบัติเสด็จออกบรรพชา.
               เมื่อพระราชาเสด็จออกบรรพชา ชาวพระนครทั้งสิ้นมีพระเทวี อำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้น ก็ทิ้งโภคสมบัติออกบวช. ได้เป็นมหาสมาคม มีบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์. พระมหาสัตว์ทรงพาชนเหล่านั้นเสด็จเข้าสู่หิมวันตประเทศ.
               ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า พระมหาสัตว์เสด็จออกบวชจึงทรงส่งพระวิษณุกรรมให้สร้างอาศรมบท ยาว ๑๒ โยชน์กว้าง ๗ โยชน์ ทรงมอบบริขารบรรพชิตครบ.
               ในจริยานี้ การบรรพชาของพระมหาสัตว์ การให้โอวาท การไปสู่พรหมโลก และการปฏิบัติโดยชอบของบริษัททั้งหมด พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในมหาโควินจริยานั่นแล.
               พระชนกชนนีในครั้งนั้นได้เป็นราชตระกูลใหญ่ในครั้งนี้.
               บริษัททั้งหลายคือพุทธบริษัท.
               อโยฆรบัณฑิต คือพระโลกนาถ.
               การเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือ และการประกาศถึงอานุภาพของพระโพธิสัตว์นั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               จบอรรถกถาอโยฆรจริยาที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น ๓. อโยฆรจริยา จบ.
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 22อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 23อ่านอรรถกถา 33.3 / 24อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=9214&Z=9236
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=52&A=5011
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=52&A=5011
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :