ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 19อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 20อ่านอรรถกถา 33.2 / 21อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์
๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์

               พรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้าที่ ๑๙               
               ภายหลังต่อมาจากสมัยของพระปุสสพุทธเจ้า กัปนั้นพร้อมทั้งอันตรกัปล่วงไป ในเก้าสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนามว่าวิปัสสี ผู้เห็นแจ้งในธรรมทั้งปวง ทรงทราบกัปทั้งปวง ทรงมีความดำริยินดีแต่ประโยชน์ของสัตว์อื่น อุบัติขึ้นในโลก.
               พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายและบังเกิดในภพสวรรค์ชั้นดุสิตอันเป็นที่รุ่งโรจน์ด้วยแสงซ่านแห่งรัตนะมณีเป็นอันมาก จุติจากนั้นแล้วก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางพันธุมดี อัครมเหสีของพระเจ้าพันธุมะ ผู้มีพระญาติมาก กรุงพันธุมดี ถ้วนกำหนดทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ เขมมิคทายวัน เหมือนดวงจันทร์เพ็ญออกจากกลีบเมฆสีเขียวคราม
               ในวันรับพระนามของพระองค์โหรผู้ทำนายลักษณะ และพระประยูรญาติทั้งหลาย แลเห็นพระองค์หมดจด เพราะเว้นจากความมืดที่เกิดจากกระพริบตา ในระหว่างๆ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน จึงเฉลิมพระนามว่าวิปัสสี เพราะเห็นได้ด้วยตาที่เปิดแล้ว.
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า หรือพระนามว่าวิปัสสี เพราะพึงวิจัยค้นหาย่อมเห็น.
               พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่แปดพันปี ทรงมีปราสาท ๓ หลังชื่อว่านันทะ สุนันทะและสิริมา มีพระสนมกำนัลแสนสองหมื่นนางมีพระนางสุทัสสนาเทวีเป็นประมุข. พระนางสุทัสสนาเรียกกันว่าพระนางสุตนู ก็มี.
               ล่วงไปแปดพันปี เมื่อพระโอรสของพระนางสุตนูเทวี พระนามว่าสมวัฏฏขันธะ ทรงสมภพ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ จึงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า ทรงผนวช บุรุษแปดหมื่นสี่พันคนออกบวชตามเสด็จ.
               พระมหาบุรุษนั้นอันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมีเสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาสุทัสสนเศรษฐีถวาย ทรงพักกลางวัน ณ สาลวันที่ประดับด้วยดอกไม้ ทรงรับหญ้า ๘ กำที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อสุชาตะถวาย ทรงเห็นโพธิพฤกษ์ชื่อว่าปาฏลี คือต้นแคฝอยที่ออกดอก จึงเสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์นั้นทางทิศทักษิณ.
               วันนั้นลำต้นอันเกลากลมของต้นปาฏลีนั้นชะลูดขึ้นไป ๕๐ ศอก กิ่ง ๕๐ ศอก สูง ๑๐๐ ศอก วันนั้นนั่นเอง ต้นปาฏลีนั้นออกดอกดารดาษไปหมดทั้งต้น เริ่มแต่โคนต้นดอกทั้งหลายมีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เหมือนผูกไว้เป็นช่อ มิใช่ปาฏลีต้นนี้ต้นเดียวเท่านั้นที่ออกดอกในเวลานั้น ต้นปาฏลีทั้งหมดในหมื่นจักรวาลก็ออกดอกด้วย มิใช่ต้นปาฏลีอย่างเดียวเท่านั้น แม้ไม้ต้นไม้กอและไม้เถาทั้งหลายในหมื่นจักรวาลก็ออกดอกบาน แม้มหาสมุทรก็ดารดาษไปด้วยปทุม บัวสาย อุบลและโกมุท ๕ สี มีน้ำเย็นอร่อย ระหว่างหมื่นจักรวาลทั้งหมดก็เกลื่อนกล่นไปด้วยธงและมาลัย พื้นแผ่นธรณีอันตกแต่งด้วยดอกไม้กลิ่นหอมนานาชนิด ก็เกลื่อนกล่นด้วยพวงมาลัย มืดมัวไปด้วยจุรณแห่งธูป.
               พระองค์เสด็จเข้าไปยังต้นปาฏลีนั้น ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๓ ศอก ทรงอธิษฐานความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔ ประทับนั่ง ทำปฏิญาณว่ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเพียงใด ก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้เพียงนั้น.
               ครั้นประทับนั่งอย่างนี้แล้ว ทรงกำจัดกองกำลังมาร พร้อมทั้งตัวมาร ทรงทำมรรคญาณ ๔ โดยลำดับมรรค ผลญาณ ๔ ในลำดับต่อจากมรรค ปฏิสัมภิทา ๔ จตุโยนิปริจเฉทกญาณ ญาณเครื่องกำหนดรู้คติ ๕ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ และพระพุทธคุณทั้งสิ้นไว้ในพระหัตถ์ ทรงมีความดำริบริบูรณ์ ประทับนั่งเหนือโพธิบัลลังก์นั่นเอง ทรงเปล่งพระอุทานอย่างนี้ว่า
                                 อเนกชาติสํสารํ ฯลฯ   ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
                                 อโยฆนหตสฺเสว       ชลโต ชาตเวทโส
                                 อนุปุพฺพูปสนฺตสฺส     ยถา น ญายเต คติ.
                                 ใครๆ ย่อมไม่รู้คติ ความไปของดวงไฟ ที่ลุก
                         โพลง ถูกฟาดด้วยค้อนเหล็ก แล้วสงบลงโดยลำดับ
                         ฉันใด.
                                 เอวํ สมฺมา วิมุตฺตานํ     กามพนฺโธฆตารินํ
                                 ปญฺญาเปตุํ คตี นตฺถิ   ปตฺตานํ อจลํ สุขํ.
                                 ไม่มีใครจะล่วงรู้คติความไป ของท่านผู้หลุดพ้น
                         โดยชอบ ผู้ข้ามพันธะและโอฆะคือกาม ผู้ถึงสุขอันไม่
                         หวั่นไหวได้ก็ฉันนั้น.
               ทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ใกล้โพธิพฤกษ์นั่นเอง ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหม ทรงตรวจดูอุปนิสสัยสมบัติของพระขัณฑกุมาร กนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระองค์ และติสสกุมารบุตรปุโรหิต เสด็จไปทางอากาศ ลงที่เขมมิคทายวัน ทรงใช้พนักงานเฝ้าอุทยานไปเรียกท่านทั้งสองนั้นมาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางบริวารเหล่านั้น.
               ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาทั้งหลายประมาณมิได้.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         ต่อจากสมัยของพระปุสสพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้า
               พระนามว่าวิปัสสี ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า ผู้มีจักษุก็อุบัติ
               ขึ้นในโลก.
                         ทรงทำลายอวิชชาทั้งหมด๑- บรรลุพระโพธิญาณ
               อันสูงสุด เสด็จไปยังกรุงพันธุมดี เพื่อประกาศพระธรรมจักร.
                         พระผู้นำ ครั้นทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว ยัง
               กุมารทั้งสองให้ตรัสรู้แล้ว อภิสมัยครั้งที่ ๑ ไม่จำต้องกล่าว
               จำนวนผู้บรรลุ.

____________________________
๑- บาลีว่า อวิชฺชณฺฑํ กะเปาะไข่คืออวิชชา

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทาเลตฺวา แปลว่า ทำลาย. อธิบายว่า ทำลายความมืดคืออวิชชา. ปาฐะว่า วตฺเตตฺวา จกฺกมาราเม ดังนี้ก็มี
               ปาฐะนั้น บทว่า อาราเม ความว่า ณ เขมมิคทายวัน.
               บทว่า อุโภ โพเธสิ ได้แก่ ทรงยังกุมารทั้งสองคือ พระขัณฑราชโอรส กนิษฐภาดาของพระองค์ และติสสกุมารบุตรปุโรหิต ให้ตรัสรู้.
               บทว่า คณนา น วตฺตพฺโพ ความว่า ไม่มีการกำหนดจำนวนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยอภิสมัย.
               สมัยต่อมา ทรงยังภิกษุแปดหมื่นสี่พันซึ่งบวชตามพระขัณฑราชโอรส และติสสกุมารบุตรปุโรหิตให้ดื่มอมฤตธรรม นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         ต่อมาอีก พระผู้มีพระยศประมาณมิได้ ทรง
               ประกาศสัจจะ ณ เขมมิคทายวันนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒
               ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พัน.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ณ เขมมิคทายวัน.
               ในคำว่า จตุราสีติสหสฺสานิ สมฺพุทฺธมนุปพฺพชุํ นี้ บุรุษที่นับได้แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ก็คือพวกบุรุษที่รับใช้พระวิปัสสีกุมารนั่นเอง บุรุษเหล่านั้นไปยังที่รับใช้พระวิปัสสีกุมารแต่เช้า ไม่เห็นพระกุมาร ก็กลับไปเพื่อกินอาหารเช้า กินอาหารเช้าแล้วถามกันว่า พระกุมารอยู่ไหน แต่นั้น ได้ฟังข่าวว่า เสด็จไปยังที่ราชอุทยาน จึงพากันออกไปด้วยหวังว่าจักพบพระองค์ ณ ที่ราชอุทยานนั้น เห็นสารถีของพระองค์กลับมา ฟังว่าพระราชกุมารทรงผนวชแล้ว ก็เปลื้องอาภรณ์ทั้งหมดในที่ฟังข่าวนั่นเอง ให้นำผ้ากาสายะมาจากภายในตลาด ปลงผมและหนวดพากันบวช บุรุษเหล่านั้น ครั้นบวชแล้วก็พากันไปแวดล้อมพระมหาบุรุษ.
               แต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เราเมื่อจะบำเพ็ญความเพียร ยังคลุกคลีอยู่ ข้อนี้ไม่สมควร คนเหล่านี้ แต่ก่อนเป็นคฤหัสถ์ก็พากันมาแวดล้อมเราอย่างนั้น ประโยชน์อะไรด้วยคนหมู่นี้ ทรงระอาในการคลุกคลีด้วยหมู่ ทรงพระดำริว่าจะไปเสียวันนี้แหละ ทรงพระดำริอีกว่า วันนี้ยังไม่ใช่เวลา ถ้าเราจักไปในวันนี้ คนเหล่านี้จักรู้กันหมด พรุ่งนี้จึงจักไป.
               ในวันนั้นนั่นเอง มนุษย์ชาวบ้านในบ้านตำบลหนึ่งเช่นเดียวกับอุรุเวลคาม ได้จัดแจงข้าวมธุปายาสอย่างเดียว เพื่อบรรพชิตแปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น และพระมหาบุรุษ.
               ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันวิสาขบูรณมี พระวิปัสสีมหาบุรุษเสวยภัตตาหารกับชนที่บวชเหล่านั้นในวันนั้นแล้ว ก็เสด็จไปยังสถานที่ประทับอยู่ ณ ที่นั้น.
               บรรพชิตเหล่านั้นแสดงวัตรปฏิบัติแด่พระมหาบุรุษแล้ว ก็พากันเข้าไปยังสถานที่อยู่กลางคืนและที่พักกลางวันของตนๆ.
               แม้พระโพธิสัตว์ก็เสด็จเข้าไปสู่บรรณศาลา ประทับนั่งทรงพระดำริว่า นี้เป็นเวลาเหมาะที่จะออกไปได้ จึงเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ ทรงปิดประตูบรรณศาลา เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยังโพธิมัณฑสถาน.
               นัยว่า บรรพชิตเหล่านั้น เวลาเย็นก็พากันไปยังที่ปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ นั่งล้อมบรรณศาลา กล่าวว่าวิกาลมืดค่ำแล้วตรวจกันดูเถิด จึงเปิดประตูบรรณศาลาก็ไม่พบพระองค์ คิดกันว่า พระมหาบุรุษเสด็จไปไหนหนอ ยังไม่พากันติดตาม คิดแต่ว่า พระมหาบุรุษ เห็นทีจะเบื่อการอยู่เป็นหมู่ ประสงค์จะอยู่แต่ลำพัง เราจะพบพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงพากันออกจาริกมุ่งหน้าไปภายในชมพูทวีป.
               ลำดับนั้น บรรพชิตเหล่านั้นฟังข่าวว่า เขาว่า พระวิปัสสีถึงความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ประกาศพระธรรมจักร จึงประชุมกันที่เขมมิคทายวัน กรุงพันธุมดีราชธานี โดยลำดับ.
               แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงธรรมโปรดบรรพชิตเหล่านั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่ภิกษุแปดหมื่นสี่พัน นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         บุรุษแปดหมื่นสี่พัน บวชตามเสด็จพระวิปัสสี
               สัมพุทธเจ้า พระผู้มีจักษุทรงแสดงธรรมโปรดบรรพชิต
               เหล่านั้นซึ่งมาถึงอาราม.
                         บรรพชิตแม้เหล่านั้น ฟังธรรมของพระองค์ ซึ่ง
               ตรัสประทานโดยอาการทั้งปวง ก็บรรลุธรรมอันประเสริฐ
               อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่บรรพชิตเหล่านั้น.

               แก้อรรถ               
               ในคำว่า จตุราสีติสหสฺสานิ สมฺพุทฺธํ อนุปพฺพชุํ นี้ ในคาถานั้น พึงทราบว่า ท่านทำเป็นทุติยาวิภัตติว่า สมฺพุทฺธํ โดยประกอบนิคคหิตไว้.
               ความว่า บวชภายหลังพระสัมพุทธเจ้า. พึงถือลักษณะตามศัพทศาสตร์.
               ปาฐะว่า ตตฺถ อารามปตฺตานํ ดังนี้ก็มี.
               บทว่า ภาสโต แปลว่า ตรัสอยู่.
               บทว่า อุปนิสาทิโน ความว่า ผู้เสด็จไปประทานธรรมทานถามอุปนิสสัย.
               เตปิ ได้แก่ บรรพชิตนับได้แปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น เป็นผู้รับใช้พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า.
               บทว่า คนฺตฺวา ได้แก่ รู้ธรรมของพระองค์.
               อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่บรรพชิตเหล่านั้น ด้วยประการอย่างนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีประทับนั่งท่ามกลางภิกษุหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพันซึ่งบวชตามพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า และพระอัครสาวก ณ เขมมิคทายวัน ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ดังนี้ว่า
                                   ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
                                   นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
                                   น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
                                   น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต.

                         พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสตีติกขาขันติว่า เป็นตบะ
               อย่างยิ่ง ตรัสนิพพานว่าเป็นบรมธรรม ผู้ยังทำร้ายผู้อื่นหา
               เป็นบรรพชิตไม่ ผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่หาเป็นสมณะไม่.

                                   สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
                                   สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ.

                         การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การ
               ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
               ทั้งหลาย.

                                   อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร
                                   มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
                                   อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.

                         การไม่ว่าร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมในพระปาติโมกข์
               [คำสอนที่เป็นหลักเป็นประธาน] ความรู้จักประมาณในภัตตาหาร
               ที่นอนที่นั่งอันสงัด และการประกอบความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำ
               สอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

               พึงทราบว่า คาถาปาติโมกขุทเทศเหล่านี้เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.
               ต่อมาอีก สันนิบาตครั้งที่ ๒ ได้มีแก่ภิกษุแสนหนึ่งซึ่งเห็นยมกปาฏิหาริย์แล้วบวช.
               ครั้งพระกนิษฐภาดา ๓ พระองค์ต่างพระมารดาของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ปราบปัจจันตประเทศให้สงบแล้วได้รับพระราชทานพร ด้วยการทำการบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้า นำเสด็จมาสู่พระนครของพระองค์บำรุง ทรงสดับธรรมของพระพุทธองค์ แล้วทรงผนวช.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งท่ามกลางภิกษุแปดหมื่นเหล่านั้น ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ณ เขมมิคทายวัน นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีสันนิบาต
               ประชุมพระสาวกผู้ขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
                         การประชุมพระสาวกหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพันเป็นสันนิบาต
               ครั้งที่ ๑ การประชุมพระสาวกหนึ่งแสนเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
                         การประชุมพระภิกษุสาวกแปดหมื่นเป็นสันนิบาตครั้ง
               ที่ ๓ พระสัมพุทธเจ้าทรงรุ่งโรจน์ ท่ามกลางหมู่ภิกษุ ณ เขมมิค
               ทายวันนั้น.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฐสฏฺฐิสตสหสฺสานํ ความว่า ภิกษุหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพัน.
               บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ณ เขมมิคทายวันนั้น.
               บทว่า ภิกฺขุคณมชฺเฌ แปลว่า ท่ามกลางหมู่ภิกษุ.
               ปาฐะว่า ตสฺส ภิกฺขุคณมชฺเฌ ดังนี้ก็มี. ความว่า ท่ามกลางหมู่ภิกษุนั้น.
               ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพระยานาคชื่ออตุละ มีฤทธานุภาพมาก มีนาคหลายแสนโกฏิเป็นบริวาร สร้างมณฑปอันสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ เป็นส่วนอันมั่นคงผ่องแผ้วที่น่าดู เช่นเดียวกับดวงจันทร์ เพื่อทำสักการะแด่พระทศพลผู้มีกำลังและศีลที่ไม่มีผู้เสมอ มีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยพระกรุณา พร้อมทั้งบริวาร นิมนต์ให้ประทับนั่ง ณ มณฑปนั้น ถวายมหาทานอันเหมาะแก่สมบัติทิพย์ ๗ วัน ได้ถวายตั่งทองขจิตด้วยรัตนะ ๗ อันรุ่งเรืองด้วยประกายโชติช่วงแห่งมณีต่างๆ สมควรยิ่งใหญ่แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ครั้งนั้น พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้น เวลาจบอนุโมทนาปีฐทานว่า เก้าสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ไป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         สมัยนั้น เราเป็นพญานาค ชื่ออตุละ มีฤทธิ์มาก
               มีบุญ ทรงรัศมีโชติช่วง.
                         ครั้งนั้น เราแวดล้อมด้วยนาคหลายโกฏิ บรรเลง
               ทิพดนตรี เข้าไปเฝ้าพระผู้เจริญที่สุดในโลก.
                         ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว ก็นิมนต์พระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า
               ผู้นำโลก ได้ถวายตั่งทองอันขจิตด้วยรัตนะคือแก้วมณี
               และแก้วมุกดา ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างแด่พระผู้เป็น
               พระธรรมราชา.
                         พระพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้นประทับนั่งท่ามกลาง
               สงฆ์ ก็ทรงพยากรณ์เราว่า เก้าสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ ท่าน
               ผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
                         พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์
               อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
                         พระตถาคต ประทับนั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ
               ทรงรับข้าวมธุปายาสแล้วเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา.
                         พระชินเจ้าพระองคั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริมฝั่ง
               แม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัดแต่ง
               ไว้ เข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์.
                         แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ
               โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์
               ชื่อว่า อัสสัตถะ.
                         ท่านผู้นี้จักมีพระชนนีพระนามว่าพระนางมายา
               พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระองค์ทรงพระ
               นามว่าโคตมะ.
                         จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะ และพระ
               อุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่น
               พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุงพระชิน
               เจ้าผู้นี้.
                         จักมีอัครสาวิกาชื่อว่าพระเขมาและพระอุบลวรรณา
               ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น โพธิพฤกษ์
               ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าอัสสัตถะ ฯลฯ.
                         เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใส
               จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไปเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้
               บริบูรณ์.

                                   แก้อรรถ
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุญฺญวนฺโต แปลว่า ผู้มีบุญ. อธิบายว่า ผู้มีกองบุญอันสั่งสมไว้แล้ว.
               บทว่า ชุตินฺธโร ได้แก่ ประกอบด้วยรัศมี.
               บทว่า เนกานํ นาคโกฏีนํ ก็คือ อเนกาหิ นาคโกฏีหิ พึงเห็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถตติยาวิภัตติ.
               บทว่า ปริวาเรตฺวา ได้แก่ แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ทรงแสดงพระองค์ ด้วยคำว่า อหํ.
               บทว่า วชฺชนฺโต ได้แก่ บรรเลงประโคม.
               บทว่า มณีมุตฺตรตนขจิตํ ความว่า ขจิตด้วยรัตนะต่างชนิดมีแก้วมณีและแก้วมุกดาเป็นต้น.
               บทว่า สพฺพาภรณวิภูสิตํ ความว่าประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างที่สำเร็จด้วยรัตนะเช่นรูปสัตว์ร้ายเป็นต้น.
               บทว่า สุวณฺณปีฐํ ได้แก่ ตั่งที่สำเร็จด้วยทอง.
               บทว่า อทาสหํ ตัดบทเป็น อทาสึ อหํ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่าพันธุมดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าพันธุมา พระชนนีพระนามว่าพระนางพันธุมดี คู่พระอัครสาวกชื่อว่าพระขัณฑะและพระติสสะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอโสกะ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระจันทาและพระจันทมิตตา โพธิพฤกษ์ชื่อว่าปาฏลี พระสรีระสูง ๘๐ ศอก พระรัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไป ๗ โยชน์ทุกเวลา พระชนมายุแปดหมื่นปี พระอัครมเหสีของพระองค์พระนามว่าพระนางสุตนู พระโอรสของพระองค์พระนามว่าพระสมวัฏฏขันธะ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระนคร
               ชื่อพันธุมวดี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าพันธุมา พระชนนี
               พระนามว่าพระนางพันธุมดี.
                         พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระอัคร
               สาวกชื่อว่าพระขัณฑะและพระติสสะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า
               พระอโสกะ.
                         มีพระอัครสาวิกาชื่อว่าพระจันทาและพระจันทมิตตา
               โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่าต้น
               ปาฏลี.
                         พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผู้นำโลก สูง ๘๐ ศอก พระรัศมีของ
               พระองค์แล่นไปโดยรอบ ๗ โยชน์.
                         ในยุคนั้นมนุษย์มีอายุแปดหมื่นปี พระชนมายุของ
               พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยัง
               หมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
                         พระวิปัสสีพุทธเจ้า ทรงเปลื้องเทวดาและมนุษย์เป็น
               อันมากจากเครื่องผูก ทรงบอกทางและมิใช่ทางกะพวกปุถุชน
               ที่เหลือ.
                         พระองค์และพระสาวก สำแดงแสงสว่าง ทรงแสดงอมตบท
               รุ่งโรจน์แล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน เหมือนกองไฟโพลงแล้วก็ดับ
               ฉะนั้น.
                         พระวรฤทธิ์อันเลิศ พระบุญญาธิการอันประเสริฐ พระวร
               ลักษณ์อันบานเต็มที่แล้ว ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง
               ก็ว่างเปล่า แน่เท้.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พนฺธนา ความว่า เปลื้องปล่อยซึ่งเทวดาและมนุษย์จากเครื่องผูกมีกามราคสังโยชน์เป็นต้น.
               บทว่า มคฺคามคฺคญฺจ อาจิกฺขิ ความว่า ทรงบอกปุถุชนที่เหลือว่าทางนี้คือมัชฌิมาปฏิทา เว้นจากอุจเฉททิฏฐิและสัสทิฏฐิ เป็นทางเพื่อบรรลุอมตธรรม การทำตัวให้ลำบากเปล่าเป็นต้นนี้มิใช่ทาง.
               บทว่า อาโลกํ ทสฺสยิตฺวาน ได้แก่ ทรงแสดงแสงสว่างคือมรรคญาณ และแสงสว่างคือวิปัสสนาญาณ.
               บทว่า ลกฺขณญฺจ กุสุมิตํ ความว่า พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า บานแล้ว ประดับแล้ว ด้วยพระลักษณะอันวิจิตรเป็นต้น.
               คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล.
               จบพรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้า               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๑๙. วิปัสสีพุทธวงศ์ จบ.
อ่านอรรถกถา 33.2 / 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 19อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 20อ่านอรรถกถา 33.2 / 21อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=8190&Z=8242
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=51&A=7510
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=51&A=7510
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :