บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๒ / ๑๒. ยสเถราปทานที่ ๑ (๕๕๑) ว่าด้วยบุพจริยาของพระยสเถระ #- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ. [๑๔๑] ครั้งเมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นพญานาค ได้นำพระพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ พร้อม ด้วยพระภิกษุสงฆ์ผู้ดำลงสู่มหาสมุทร สู่ภาคพื้นที่ อยู่ของข้าพเจ้า อันสำเร็จด้วยการเนรมิตเป็นอย่าง ดี มีสระโบกขรณี ที่เนรมิตเป็นอย่างดี มีเสียง นกจากพรากร่ำร้องขับกล่อมอยู่. ภพที่อยู่นั้น มุงบังด้วยดอกมณฑารพ ด้วยดอกปทุมและดอกอุบล นที ก็ไหลผ่านไปใน ที่นั้น ๆ มีท่าขึ้นลงเป็นที่รื่นรมย์ใจ. คลาคล่ำไปด้วยหมู่ปลาและเต่า หมู่นก นานาพันธุ์ ก็โบยบินอยู่เบื้องบน นกยูงและนก กะเรียนก็ร่อนร้อง นกดุเหว่าก็ร่ำร้องซ้องสำเนียง เสนาะ. นกเขา นกคับแค นกจากพราก นก เป็ดน้ำ นกกะทา นกสาลิกา นกกะปูด นก ออกก็มีอยู่ในที่นั้น. หมู่หงส์ และนกกระเรียน ส่งเสียงร้อง ดัง นกแสกสีน้ำตาลก็มีมาก ภพที่อยู่นั้น สมบูรณ์ ด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ เช่นแก้วมณี แก้วมุกดา และแก้วประพาฬ. ต้นไม้เล่า ก็สำเร็จด้วยทองทั้งสิ้น ลำต้น ต่างก็โอนเอนไปมา ส่องแสงแวววาวทั้งวันทั้งคืน ภพที่อยู่มีทุกสิ่งตลอดกาล. มีนักดนตรีหญิงหกหมื่น ขับกล่อมทั้ง เย็นทั้งเช้า มีสตรีหนึ่งหมื่นหกพันนาง แวดล้อม บำรุงเราตลอดกาล. ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส มีใจเป็นสุข ถวาย บังคมพระพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ ผู้เป็น นายกของโลกผู้มีพระยศใหญ่นั้น ในกาลที่พระ- องค์เสด็จออกจากภพของข้าพเจ้า. ครั้นข้าพเจ้าถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า แล้ว ทูลนิมนต์พระองค์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ พระสุเมธพุทธเจ้าผู้จอมปราชญ์ ผู้เป็นนายกของ โลก พระองค์นั้น ทรงรับนิมนต์แล้ว. ครั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมกถาแก่ข้าพ- เจ้า ข้าพเจ้าได้ส่งพระมหามุนีเสด็จกลับแล้ว ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงกลับเข้าสู่ภพ ของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้า บอกกับบริวารชนทั้งหมดที่ กำลังประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้นว่า ในเวลาเช้าวัน รุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าจักเสด็จมายังภพของเรา. พวกเราเหล่าใด ทั้งที่อยู่ในสำนักของ พระองค์แม้พวกเราเหล่านั้น ไม่ใช่จะได้ลาภโดย ง่ายนัก จึงพวกเราจักบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประ- เสริฐ ผู้เป็นพระศาสดา. เมื่อเรา จัดตั้งภัตตาหารและน้ำฉันเสร็จ แล้ว จึงไปกราบทูลภัตกาล พระพุทธเจ้า ผู้เป็น นายกของโลกพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ผู้ชำนาญ ในฤทธิ์จำนวนหนึ่งแสนรูป จะเสด็จเข้ามาแล้ว. ข้าพเจ้าได้ทำการต้อนรับพระองค์ ด้วย การประโคมด้วยดนตรีเครื่องห้า พระองค์ ผู้เป็น บุรุษสูงสุด ประทับนั่งบนตั่งอันสำเร็จด้วยทองคำ ล้วน. ได้มีการมุงบังในเบื้องบน ครั้งนั้น อาสนะสำเร็จด้วยทองทั้งนั้น พัดวีชนี ก็พัด โบกพระองค์ผู้ไม่มีใครยิ่งกว่า พร้อมด้วยพระ- ภิกษุสงฆ์. ได้อังคาส พระพุทธองค์ พร้อมด้วย พระภิกษุสงฆ์ ให้อิ่มหนำ ด้วยข้าวและน้ำอัน เพียงพอ แล้วได้ถวายคู่ผ้าแด่พระองค์ และพระ- ภิกษุสงฆ์องค์ละคู่. พระสุเมธพุทธเจ้า พระองค์นั้น ผู้ควร รับเครื่องบูชา ประทับนั่งในท่ามกลางพระภิกษุ สงฆ์แล้ว จะตรัสพระดำรัส จึงตรัสพระคาถา เหล่านี้ ว่า บุคคลใด อังคาสเราด้วยข้าวและน้ำ ให้ เราเหล่านี้ทั้งหมดอิ่มพอแล้ว เราจะสรรเสริญผู้นั้น พวกท่านจงฟังเรากล่าวเถิด. ตลอดกาล ๑,๘๐๐ กัป ผู้นั้น จักชื่นชม ยินดีอยู่ในเทวโลก จักชื่นชมอยู่ในความเป็น พระราชา ๑,๐๐๐ ครั้ง แล้วจักเป็นพระเจ้าจักร- พรรดิ. เมื่ออุบัติในกำเนิดใด ก็อุบัติแต่ในกำเนิด เทวดาและมนุษย์เท่านั้น เครื่องมุงบังอันสำเร็จ ด้วยทองล้วน ก็จักกั้นอยู่เบื้องบนเขา. ในกัปที่สามหมื่น พระมหาบุรุษ พระ- นามว่า โคตมะ โดยพระโคตร จักทรงสมภพใน พระราชวงศ์แห่งพระเจ้าโอกกากราช จักเป็น พระศาสดาในโลก. เขาจักเป็นทายาทในธรรมของพระองค์ จักเป็นพระโอรส โดยธรรมเนรมิต เพราะกำหนด รู้อาสวะทั้งสิ้นแล้ว จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพ- พาน. เมื่อเขานั่งในท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ เขาจักบรรลือสีหนาท มนุษย์ทั้งหลาย จักสร้าง ฉัตรเบื้องบนจิตกาธานแล้วฌาปนกิจบนจิตกาธาน ภายใต้ฉัตร. สามัญผลเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าโดยลำดับ บรรดากิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้เผาหมดสิ้นแล้ว เมื่ออยู่ในเรือนยอด หรือโคนต้นไม้ ข้าพเจ้าก็ ไม่มีความหวาดกลัวเลย. ในกัปที่สามหมื่น ข้าพเจ้า ได้ถวาย ทานใดไว้ในกาลนั้น เพราะทานนั้นในกาลนี้ ข้าพเจ้ามิได้รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลของการ ถวายทานทั้งสิ้น. ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายหมดสิ้นแล้ว ภพทั้งหลาย ข้าพเจ้าถอนขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าตัด เครื่องผูกพันขาดสิ้นแล้ว เสมือนช้างตัดเครื่อง ผูกออกแล้วฉะนั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่. ข้าพเจ้าได้เป็นผู้มาดีแล้วแล ข้าพเจ้า ได้บรรลุวิชชาสามในสำนักของพระพุทธเจ้า ของ เรา คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำ เสร็จแล้ว. ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้กระทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของ พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว. ทราบว่า ท่านพระยสเถระได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- ๕๕๑. อรรถกถายสเถราปทาน อปทานของท่านพระยสเถระมีคำเริ่มต้นว่า มหาสมุทฺทํ โอคฺคยฺห ดังนี้. แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ท่านได้เป็นนาคราชผู้มีอานุภาพมาก ได้นำภิกษุสงฆ์มีพระ ด้วยบุญกรรมอันนั้น เขาได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก. ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐี นำเอารัตน ๗ ประการบูชารอบต้นมหาโพธิ์. ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้บวชแล้วในพระศาสนา ได้ ด้วยความประพฤติอย่างนี้ เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเฉพาะแต่สุคติอย่างเดียว. ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นบุตรของเศรษฐีผู้มีสมบัติมาก ในกรุงพาราณสี ได้บังเกิดในท้องของธิดาเศรษฐี ชื่อนางสุชาดาผู้ถวายข้าวปายาสผสมน้ำนมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าถึงชื่อ เขาชื่อว่ายสะ เป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง. ยสะนั้นมีปราสาท ๓ หลัง คือหลังหนึ่งสำหรับอยู่ในฤดูหนาว หลังหนึ่งสำหรับอยู่ในฤดูร้อน หลังหนึ่งสำหรับในฤดูฝน. เขาอยู่ในปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือนในฤดูฝน มีนักดนตรีสตรีล้วนบำเรออยู่ มิได้ลงมายังพื้นปราสาทชั้นล่างเลย. เขาอยู่บนปราสาทประจำฤดูหนาวตลอด ๔ เดือน ปิดบานประตูหน้าต่างอย่างสนิทดี อยู่ประจำบนปราสาทนั้นนั่นแล. เขาอยู่บนปราสาทประจำฤดูร้อน อันสมบูรณ์ด้วยบานประตูและหน้า กิจการงานที่เกี่ยวกับการนั่งเป็นต้น บนภาคพื้นไม่มี เพราะมือและเท้าของเขาละเอียดอ่อน. เขาลาดพื้นให้เต็มไปด้วยปุยนุ่นและปุยงิ้วเป็นต้นแล้ว จึงทำการงานบนหมอนที่รองพื้นนั้น. เมื่อความเพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้ง ๕ กำลังบำเรอขับกล่อมอยู่ ยสกุลบุตรนอนหลับก่อนเขา คล้ายเทวบุตรผู้อยู่ในเทวโลกอย่างนั้นแล แม้เมื่อพวกบริวารชนนอนหลับ และประทีปน้ำมันยังลุกโพลงอยู่ตลอดราตรี. ครั้นต่อมา ยสกุลบุตรตื่นก่อนเขาทั้งหมด ได้พบเห็นบริวารชนของตนนอนหลับไหล บางนางก็มีพิณอยู่ที่รักแร้ บางนางก็มีตะโพนอยู่ที่ข้างลำคอ บางนางก็มีเปิงมางอยู่ที่รักแร้ บางนางก็สยายผม บางพวกก็มีน้ำลายไหล บางพวกก็บ่นเพ้อละเมอ บางพวกก็นอนแบมือคล้ายซากศพในป่าช้า. ครั้นได้มองเห็นแล้ว โทษจึงได้ปรากฏชัดแก่ยสกุลบุตรนั้น จิตเบื่อหน่ายแล้วมีความดำรงมั่น. ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตรจึงได้เปล่งอุทานว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ที่นี่วุ่นวายหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย ที่นี่ขัดข้องหนอ. ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตรจึงสวมรองเท้าทองคำ เข้าไปยังประตูนิเวศน์ พวกอมนุษย์เปิดประตูแล้วด้วยคิดว่า ใครๆ อย่าทำอันตรายแก่ยสกุลบุตร เพื่อจะได้ออกจากเรือนบวช ดังนี้. ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตรจึงเข้าไปยังประตูพระนคร พวกอมนุษย์เปิดประตูแล้วด้วยคิดว่า ใครๆ อย่าทำอันตรายแก่ยสกุลบุตร เพื่อจะได้ออกจากเรือนไปบวชดังนี้. ลำดับนั้น ยสกุลบุตรจึงได้เข้าไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวันแล. ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด เสด็จจงกรมในเวลาจงกรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรแต่ไกลเทียว ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงเสด็จลงจากที่จงกรม ประทับนั่งบนบัญญัตตาอาสน์. ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตรได้เปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะยสกุลบุตรนั้นว่า ยสะ ที่นี่แลไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ยสะ เธอจงมานั่งเถิด เราจักแสดงธรรมให้เธอฟัง. ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตรดีใจร่าเริงว่า เราได้ยินว่าที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้องดังนี้แล้ว ดีใจ ถอดรองเท้าทองคำออกแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วจึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทานกถา ศีลกถา สัคค ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบถึงยสกุลบุตรนั้นว่า มีจิตสมควร มีจิตอ่อนโยน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตร่าเริง มีจิตแจ่มใส จึงได้ทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงเองอันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค. จิตอันปราศจากธุลี จิตอันปราศจากมลทิน คือธรรมจักษุได้เกิดขึ้นแก่ยสกุลบุตร ณ ที่นั่งนั้นนั่นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนมีความดับเป็นธรรมดา เปรียบเหมือนผ้าอันบริสุทธิ์สะอาดปราศจากจุดดำ พึงควรรับน้ำย้อมที่ดีได้ทันที. ลำดับนั้นแล มารดาของยสกุลบุตรนั้นไปยังปราสาท มองไม่เห็นยสกุลบุตร จึงเข้าไปหาท่านเศรษฐีคฤหบดี พอเข้าไปหาแล้วจึงกล่าวกะท่านเศรษฐีคฤหบดีนั่นว่า ท่านคฤหบดี ยสะ บุตรของท่านไม่เห็นปรากฏ. ลำดับนั้นแล ท่านเศรษฐีคฤหบดีจึงส่งพวกทูตม้าเร็วไปทั้ง ๔ ทิศแล้ว ตนเองก็เข้าไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน. ท่านเศรษฐีคฤหบดีได้พบแต่รองเท้าทองคำถอดไว้ ครั้นเห็นแล้วจึงได้ติดตามเข้าไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีคฤหบดีผู้มาแต่ที่ไกลทีเดียว ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงแสดงฤทธิ์ให้เศรษฐีคฤหบดีผู้นั่งอยู่แล้วในที่นี้มองไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่แล้วในที่นี้ ดังนี้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้แสดงฤทธิ์อย่างพระดำริแล้ว. ลำดับนั้น เศรษฐีคฤหบดีจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เห็นยสกุลบุตรบ้างไหม? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ท่านคฤหบดี เชิญนั่งก่อน ท่านนั่งแล้วในที่นี้ ก็จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่แล้วในที่นี้. ต่อมาเศรษฐีคฤหบดีคิดว่า นัยว่าเรานั่งแล้วในที่นี้เท่านั้น จักได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่แล้วในที่นี้เป็นแน่ ดังนี้แล้ว จึงร่าเริงดีใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่เศรษฐีคฤหบดีผู้นั่งอยู่แล้ว ณ ที่สมควรนั้นแล ฯลฯ ท่านเศรษฐีคฤหบดีเป็นผู้มีความเชื่อในคำสั่งสอนของพระศาสดา โดยมิต้องอาศัยผู้อื่นเป็นปัจจัย ได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระดำรัสน่ายินดียิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระดำรัสน่ายินดียิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดไฟให้สว่างไสวในที่มืด ด้วยคิดว่ารูปทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่คนนัยน์ตาดี ดังนั้นฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเช่นกัน ทรงแสดงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายแล้วแล. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์ขอถึงสรณะจนตลอดชีวิต. ท่านเศรษฐีนั้นได้เป็นอุบาสก (ผู้กล่าวถึงสรณะ ๓) คนแรกในโลกแล. ลำดับนั้นแล เมื่อพระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่บิดาของ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า เมื่อเราแสดงธรรม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงระงับอิทธาสังขารนั้นเสีย ท่านเศรษฐีคฤหบดีได้เห็นแล้วซึ่งยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่แล้วแล ครั้นได้เห็นแล้วจึงได้ ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตรได้แลดูพระผู้มีพระภาคเจ้า. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านเศรษฐีคฤหบดีนั้นว่า ท่านคฤหบดี ท่านจะสำคัญยสกุลบุตรนั้นอย่างไร ธรรมที่ยสกุลบุตรได้เห็นแล้ว ได้ทราบแล้วด้วยเสกขญาณ ด้วยเสกขทัสสนะเหมือนกับท่าน แต่เมื่อยสกุลบุตรนั้นพิจารณาถึงภูมิ ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ธรรมที่ยสกุลบุตรได้เห็นแล้ว ได้ทราบแล้วด้วยเสกขญาณ ด้วยเสกขทัสสนะเหมือนกับท่าน แต่เมื่อยสกุลบุตรนั้นได้พิจารณาถึงภูมิ ท่านเศรษฐีคฤหบดีได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงรับนิมนต์โดยดุษณีภาพแล้ว. ลำดับนั้นแล ท่านเศรษฐีคฤหบดีทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกขึ้นจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป. ลำดับนั้นแล ยสกุลบุตร เมื่อเศรษฐีคฤหบดีหลีกไปไม่นาน ก็ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วได้ตรัสว่า ธรรม พระวาจานั้นแลได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น. ก็ครั้นท่านเป็นพระอรหันต์แล้วเกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า มหาสมุทฺทํ โอคฺ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุทฺทํ มีความหมายว่า ชื่อว่าสมุทร เพราะอันบุคคล อีกความหมายหนึ่ง ชื่อว่าสมุทร เพราะผุดขึ้น กระเพื่อม ชำระด้วยดี คือทำเสียงครั่นครื้น ย่อมเคลื่อนไหวเป็นลูกคลื่น. สมุทรนั้นด้วย ใหญ่ด้วย ชื่อว่ามหาสมุทร ซึ่งมหา บทว่า โอคฺคยฺห ความว่า จมลงแล้ว เข้าไปภายใน คือเข้าไปภายในมหา ก็คำว่า โอคฺคยฺห ความว่าไหลท่วมเข้าไปในภายในคือไหลเข้าไปภาย บทนั้นพึงทราบว่าเป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ. บทว่า ภวนํ เม สุมาปิตํ ความว่า ชื่อว่าภวนะ เพราะเป็นที่มี ที่เกิด ที่อยู่อาศัย คือเป็นที่เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยอิริยาบถ ๔ ในที่อยู่นั้น วิมานนั้นเป็นของเรา ปราสาทนั้นคือนครที่เราสร้างไว้แล้วเป็นอย่างดีด้วยเรือนยอดมีปราการ ๕ แห่ง. หมายความว่า สร้างเป็นอย่างดีด้วยกำลังของตน. บทว่า สุนิมฺมิตา โปกฺขรณี ความว่า ชื่อว่าโปกขรณี เพราะเป็นสระใหญ่ดี ถึง ไป เป็นไป สร้างไว้แล้วโดยครู่เดียว. อธิบายว่า เพราะสร้างให้มีพร้อมด้วยปลา เต่า ดอกไม้ ทราย ท่าลงและน้ำหวานเป็นต้น. บทว่า จกฺกวากูปกูชิตา เชื่อมความว่า สระโปกขรณีนั้นมีนกจากพราก ไก่ป่าและหงส์ เป็นต้นร้องกึกก้องบันลือเสียง. เบื้องหน้าต่อแต่นี้ไป การพรรณนาถึงแม่น้ำ ป่า สัตว์ปีกชนิดสองเท้าและสี่เท้า การได้พบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ และการนิมนต์แล้วถวายทานตามลำดับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ทุกประเด็นบัณฑิตพอจะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียว. ในบทว่า โลกาหุติปฏิคฺคหํ นี้มีความหมายว่า เครื่องบูชาและสักการะในโลก เรียกว่า โลกาหุติ. พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรับเครื่องบูชาและสักการะของชาวโลก คือกามโลก, รูปโลกอรูปโลก เพราะเหตุนั้น จึงรวมเรียกว่า โลกาหุติปฏิคฺคหํ. อธิบายว่า ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สุเมธะ. เรื่องราวเกี่ยวกับการประทานพยากรณ์ และการบรรลุพระอรหัตผลที่เหลือ บัณฑิตพอจะกำหนดรู้ได้โดยง่ายทีเดียว. ----------------------------------------------------- เนื้อความในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- http://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=33&siri=141 .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน |