พระโพธิสัตว์นั้นทรงดำริว่า เราออกมหาภิเนษกรมณ์เสียในวันนี้ทีเดียว จึงเสด็จลุกขึ้นจากพระที่บรรทม เสด็จไปใกล้ประตูตรัสว่า ใครอยู่ที่นั่น. นายฉันนะนอนเอาศีรษะหนุนธรณีประตูอยู่กราบทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ข้าพระองค์ ฉันนะ. ตรัสว่า วันนี้เรามีประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์ จงจัดหาม้าให้เราตัวหนึ่ง.
เขาทูลรับว่า ได้ พระเจ้าข้า แล้วถือเอาเครื่องม้าไปยังโรงม้า เมื่อดวงประทีปน้ำมันหอมยังลุกโพลงอยู่ เห็นพญาม้ากัณฐกะยืนอยู่บนภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ ภายใต้เพดานแผ่นดอกมะลิ คิดว่า วันนี้ เราควรจัดม้าตัวนี้แหละถวาย จึงได้จัดม้ากัณฐกะ.
ม้ากัณฐกะนั้นเมื่อนายฉันนะจัดเตรียมอยู่ ได้รู้ว่าการจัดเตรียมคราวนี้กระชับแน่นจริง ไม่เหมือนการจัดเตรียมในคราวเสด็จประพาสเล่นในสวนเป็นต้น ในวันอื่นๆ วันนี้พระลูกเจ้าของเรา จักมีพระประสงค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์.
ทีนั้นก็มีใจยินดีจึงร้องดังลั่น เสียงนั้นจะพึงกลบไปทั่วทั้งพระนคร แต่เทวดาทั้งหลายกั้นเสียงนั้นไว้มิให้ใครๆ ได้ยิน.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงใช้นายฉันนะไปแล้วทรงดำริว่า เราจักเยี่ยมดูลูกเสียก่อน จึงเสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์ที่ประทับ เสด็จไปยังที่อยู่ของพระมารดาพระราหุล ทรงเปิดประตูห้อง ขณะนั้นดวงประทีปน้ำมันหอมยังลุกไหม้อยู่ในภายในห้อง พระมารดาพระราหุลทรงบรรทมวางพระหัตถ์เหนือเศียรพระโอรส บนที่บรรทมอันเกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิซ้อนและดอกมะลิลาเป็นต้น.
พระโพธิสัตว์ประทับยืนวางพระบาทบนธรณีประตู ทอดพระเนตรดูแล้วทรงดำริว่า ถ้าเราจักเอามือพระเทวีออกแล้วจับลูกของเราไซร้ พระเทวีก็จักตื่นบรรทม เมื่อเป็นอย่างนั้น อันตรายจักมีแก่เรา เราจักเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อนจึงจักมาเยี่ยมดูลูก ครั้นทรงดำริแล้วจึงเสด็จลงจากพื้นปราสาทไป.
ก็คำที่กล่าวไว้ในอรรถกถาชาดกว่า ตอนนั้น พระราหุลกุมารประสูติได้ ๗ วัน ดังนี้ ไม่มีอยู่ในอรรถกถาที่เหลือ เพราะฉะนั้น พึงถือเอาคำนี้แหละ.
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากพื้นปราสาทอย่างนี้แล้ว เสด็จเข้าไปใกล้ม้าตรัสอย่างนี้ว่า นี่แน่ะพ่อกัณฐกะ วันนี้ เจ้าจงให้เราข้ามฝั่งสักคืนหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ก็กระโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ. ม้ากัณฐกะโดยความยาวเริ่มแต่คอวัดได้ ๑๘ ศอก ประกอบด้วยส่วนสูงอันเหมาะสมกับความยาวนั้น สมบูรณ์ด้วยกำลังและความเร็ว ตัวขาวปลอดประดุจสังข์ที่ขัดแล้ว.
ถ้าม้ากัณฐกะนั้นพึงร้องหรือกระทำเสียงที่เท้า เสียงก็จะพึงกลบไปทั่วทั้งพระนคร เพราะฉะนั้น เทวดาทั้งหลายจึงปิดเสียงร้องของม้านั้นโดยประการที่ใครๆ จะไม่ได้ยิน ด้วยอานุภาพของตน แล้วเอาฝ่ามือเข้าไปรองรับในวาระที่ม้าก้าวเท้าเหยียบไปๆ. พระโพธิสัตว์เสด็จอยู่ท่ามกลางหลังม้าตัวประเสริฐ ให้นายฉันนะจับหางม้า เสด็จถึงยังที่ใกล้ประตูใหญ่ตอนเที่ยงคืน.
ก็ในกาลนั้น พระราชาทรงให้กระทำบานประตูสองบาน แต่ละบานจะต้องใช้บุรุษหนึ่งพันคนเปิด ด้วยทรงพระดำริว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ บุตรของเราจักไม่อาจเปิดประตูเมืองออกไปได้ ไม่ว่าเวลาไหนๆ. แต่พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง เมื่อเทียบกับช้าง ทรงกำลังเท่าช้างถึงพันโกฏิเชือก เมื่อเทียบกับบุรุษ ทรงกำลังเท่าบุรุษถึงหมื่นโกฏิ. พระองค์จึงทรงดำริว่า ถ้าใครไม่เปิดประตู วันนี้เรานั่งอยู่บนหลังม้ากัณฐกะนี่แหละ จักเอาขาอ่อนหนีบม้ากัณฐกะพร้อมทั้งนายฉันนะผู้ยืนจับหางอยู่ โดดข้ามกำแพงสูง ๑๘ ศอกไป.
ฝ่ายนายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักให้พระลูกเจ้าผู้เป็นนายของตนประทับนั่งบนคอ เอาแขนขวาโอบรอบท้องม้ากัณฐกะกระทำให้อยู่ในระหว่างรักแร้ โดดข้ามกำแพงออกไป.
ฝ่ายม้ากัณฐกะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักยกนายของตนทั้งที่นั่งอยู่บนหลัง พร้อมทั้งนายฉันนะผู้ยืนจับหางอยู่ โดดข้ามกำแพงออกไป. ถ้าประตูไม่เปิด ชนทั้งสามนั้นคนใดคนหนึ่งพึงทำให้สำเร็จตามที่คิดไว้ได้แน่ แต่เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตูเปิดประตูให้.
ในขณะนั้นนั่นเอง มารผู้มีบาปคิดว่าจักให้พระโพธิสัตว์กลับ จึงมายืนอยู่ในอากาศแล้วทูลว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าออกเลย ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป จักรรัตนะจักปรากฏแก่ท่าน ท่านจักครอบครองราชสมบัติในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร จงกลับเถิด ท่านผู้นิรทุกข์.
พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? มารตอบว่า เราเป็นวสวัตดีมาร.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาร เรารู้ว่าจักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา เราไม่มีความต้องการราชสมบัติ เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ทำหมื่นโลกธาตุให้บันลือ.
มารกล่าวว่า จำเดิมแต่บัดนี้ไป ในเวลาที่ท่านคิดถึงกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตกก็ตาม เราจักรู้ ดังนี้ คอยหาช่องติดตามไปเหมือนเงาฉะนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ไม่ทรงห่วงใยละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติอันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระนครด้วยสักการะยิ่งใหญ่ ก็ในวันเพ็ญเดือน ๘ เมื่อนักขัตฤกษ์ในเดือน ๘ หลังกำลังดำเนินไปอยู่ พระโพธิสัตว์เสด็จออกไปแล้ว มีพระประสงค์จะแลดูพระนครอีกครั้ง ก็แหละเมื่อพระโพธิสัตว์นั้นมีความคิดพอเกิดขึ้นอย่างนี้เท่านั้น มหาปฐพีเหมือนจะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบุรุษ พระองค์ไม่ต้องหันกลับมาทำการทอดพระเนตรดอก ได้แยกขาดออกหมุนกลับให้ ประดุจวงล้อของนายช่างหม้อ.
พระโพธิสัตว์ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางพระนคร ทอดพระเนตรดูพระนครแล้วทรงแสดงเจดีย์สถานที่กลับม้ากัณฐกะ ณ ปฐพีประเทศนั้น แล้วทรงกระทำม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปในทางที่จะเสด็จ ได้เสด็จไปแล้วด้วยสักการะอันยิ่งใหญ่ ด้วยความงามสง่าอันโอฬาร.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิงไปข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้นหกหมื่นดวง ข้างหลังหกหมื่นดวง ข้างขวาหกหมื่นดวงและข้างซ้ายหกหมื่นดวง. เทวดาอีกพวกหนึ่งชูคบเพลิงหาประมาณมิได้ที่ขอบปากจักรวาล. เทวดากับนาคและครุฑเป็นต้นอีกพวกหนึ่ง เดินบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ จุณและธูปอันเป็นทิพย์. ท้องฟ้านภาดลได้เนืองแน่นไปด้วยดอกปาริฉัตรและดอกมณฑารพ เหมือนเนืองแน่นด้วยสายธารน้ำ ในเวลามีเมฆฝนอันหนาทึบ. ทิพยสังคีตทั้งหลายได้บรรเลงแล้ว ดนตรีหกล้านแปดแสนชนิดได้บรรเลงโดยรอบๆ คือด้านหน้าแปดแสน ด้านข้างและด้านหลังด้านละสองล้าน เสียงดนตรีเหล่านั้นย่อมเป็นไป เหมือนเวลาที่เมฆคำรามในท้องมหาสมุทร และเหมือนเวลาที่สาครมีเสียงกึกก้องในท้องภูเขายุคลธร.
พระโพธิสัตว์เสด็จไปด้วยสิริโสภาคย์นี้ ล่วงเลยราชอาณาจักรทั้ง ๓ โดยราตรีเดียวเท่านั้น บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที ในที่สุด ๓๐ โยชน์.
ถามว่า ก็สามารถไปเกินกว่านั้นได้หรือไม่?
ตอบว่า ไม่สามารถ หามิได้ เพราะม้านั้นเที่ยวไปทางชายๆ ขอบห้องจักรวาลหนึ่ง เหมือนเหยียบขอบกงของวงล้อที่อยู่ในดุม สามารถจะกลับมาก่อนอาหารเช้าตรู่ แล้วบริโภคอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับตน.
ก็ในกาลนั้น ม้าต้องดึงร่างที่ทับถมด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นที่เทวดา นาคและครุฑเป็นต้นยืนโปรยอยู่ในอากาศจนกระทั่งอุรุประเทศขาอ่อน แล้วตะลุยชัฏแห่งของหอมและดอกไม้ไป จึงได้มีความล่าช้ามาก เพราะฉะนั้นจึงไปได้เพียง ๓๐ โยชน์เท่านั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร? นายฉันนะทูลว่า ชื่ออโนมานที พระเจ้าข้า.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า การบรรพชาของเราจักไม่ทราม จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้า และม้าก็ได้กระโดดไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำอันกว้าง ๘ อุสภะ.
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนบนเนินทรายอันเป็นเสมือนแผ่นเงิน แล้วตรัสเรียกนายฉันนะมาตรัสว่า นี่แน่ะฉันนะผู้สหาย เธอจงพาเอาอาภรณ์และม้ากัณฐกะของฉันไป ฉันจักบวช.
นายฉันนะทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช. พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งว่า เธอยังบวชไม่ได้ เธอจะต้องไป จึงทรงมอบอาภรณ์และม้าให้แล้ว ทรงดำริว่า ผมทั้งหลายของเรานี้ไม่สมควรแก่สมณะ ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มี.
ลำดับนั้น จึงทรงดำริว่า เราจักเอาพระขรรค์ตัดด้วยตนเองทีเดียว จึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์ เอาพระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก) พร้อมกับพระเมาลี (มวยผม) แล้วจึงตัด. พระเกสาเหลือประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนบติดพระเศียร. พระเกสาเหล่านั้นได้มีอยู่ประมาณนั้นเท่านั้นจนตลอดพระชนม์ชีพ. และพระมัสสุก็ได้มีพอเหมาะกับพระเกสานั้น.
ชื่อว่ากิจในการปลงพระเกสาและพระมัสสุ ไม่มีอีกต่อไป.
พระโพธิสัตว์ถือพระจุฬากับพระเมาลีแล้วทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระสัมพุทธเจ้า จงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าจักไม่ได้เป็น จงตกลงบนแผ่นดิน แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ พระจุฬานั้นลอยขึ้นไปถึงที่มีประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วได้ตั้งอยู่ในอากาศ.
ท้าวสักกะเทวราชทรงตรวจดูด้วยทิพยจักษุ แล้วทรงเอาผอบแก้วมีประมาณโยชน์หนึ่งรับไว้ ให้ประดิษฐานไว้ในเจดีย์ชื่อว่าจุฬามณีเจดีย์ ในดาวดึงส์พิภพ.
พระศากยะผู้ประเสริฐ ได้ตัดพระเมาลีอันอบด้วยกลิ่นหอม
อันประเสริฐ แล้วโยนขึ้นไปยังเวหาส ท้าววาสวะผู้มีพระเนตร
ตั้งพัน เอาผอบแก้วอันประเสริฐทูนพระเศียรรับไว้แล.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริสืบไปว่า ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านี้ไม่สมควรแก่สมณะสำหรับเรา.
ครั้งนั้น ฆฏิการมหาพรหมผู้เป็นสหายเก่าของพระโพธิสัตว์ ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า มีความเป็นมิตรยังไม่เสื่อมคลายตลอดพุทธันดรหนึ่ง คิดว่า วันนี้ สหายเราออกมหาภิเนษกรมณ์ เราจักถือเอาสมณบริขารของสหายเรานั้นไป จึงนำเอาบริขาร ๘ เหล่านี้มาถวายคือ
บริขารเหล่านี้ คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม รัดประคด เป็น ๘
กับผ้ากรองน้ำ ย่อมสมควรแก่ภิกษุผู้ประกอบความเพียร.
พระโพธิสัตว์นุ่งห่มธงชัยของพระอรหันต์ ทรงถือเพศบรรพชิตอันอุดม แล้วตรัสว่า ฉันนะ เธอจงกราบทูลถึงความสบายไม่ป่วยไข้แก่พระชนกและพระชนนีตามคำของเรา ดังนี้แล้วทรงส่งไป.
นายฉันนะถวายบังคมพระโพธิสัตว์ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
ส่วนม้ากัณฐกะได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ผู้ตรัสอยู่กับนายฉันนะ คิดว่า บัดนี้เราจะไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป เมื่อละคลองจักษุไป ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้ มีหทัยแตกตายไป บังเกิดเป็นเทพบุตรชื่อกัณฐกะ ในภพดาวดึงส์.
ครั้งแรก นายฉันนะได้มีความโศกเพียงอย่างเดียว แต่เพราะม้ากัณฐกะตายไปถูกความโศกครั้งที่สองบีบคั้น จึงได้ร้องไห้ร่ำไรไปยังพระนคร.
พระโพธิสัตว์ครั้นบวชแล้วทรงยับยั้งอยู่ในอนุปิยอัมพวันซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้น ๗ วัน ด้วยความสุขอันเกิดจากบรรพชา แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทสิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์โดยวันเดียวเท่านั้น ได้เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์. ก็ครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว ก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก.
พระนครทั้งสิ้นได้ถึงความตื่นเต้น เพราะได้เห็นพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์เท่านั้น เหมือนกรุงราชคฤห์ตื่นเต้นในเมื่อช้างธนปาลกะเข้าไป และเหมือนเทพนครตื่นเต้นในเมื่ออสุรินทราหูเข้าไป.
ราชบุรุษทั้งหลายไปกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุคคลชื่อเห็นปานนี้เที่ยวบิณฑบาตในพระนคร ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบเกล้าว่า ผู้นี้ชื่อไร จะเป็นเทพหรือมนุษย์ นาคหรือครุฑ.
พระราชาประทับยืนที่พื้นปราสาท ได้ทรงเห็นพระมหาบุรุษ อัศจรรย์พระหฤทัยไม่เคยเป็น ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า นี่แน่ะพนาย พวกท่านจงไปพิจารณาดู ถ้าจักไม่ใช่มนุษย์ เขาจักออกจากพระนครหายไป ถ้าจักเป็นเทวดา เขาจักไปทางอากาศ ถ้าจักเป็นนาค เขาจักดำดินไป ถ้าจักเป็นมนุษย์เขาจักบริโภคภิกษาหารตามที่ได้.
ฝ่ายพระมหาบุรุษรวบรวมภัตอันสำรวมกัน รู้ว่าภัตมีประมาณเท่านี้ เพียงพอแก่เรา เพื่อที่จะยังอัตภาพให้เป็นไป จึงเสด็จออกจาก
พระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามานั้นแหละ บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ประทับนั่งใต้ร่มเงาแห่งภูเขาปัณฑวะ เริ่มเสวยพระกระยาหาร.
ลำดับนั้น พระอันตะใส้ใหญ่ของพระมหาบุรุษนั้นได้ถึงอาการจะกลับออกทางพระโอษฐ์.
ลำดับนั้น พระองค์แม้จะทรงอึดอัดด้วยอาหารอันปฏิกูลนั้น เพราะด้วยทั้งพระอัตภาพนั้นไม่ทรงเคยเห็นอาหารนั้นแม้ด้วยพระจักษุ จึงทรงโอวาทตนด้วยพระองค์เองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสิทธัตถะ เธอแม้เกิดในสถานที่ที่บริโภคโภชนะแห่งข้าวสาลีหอมเก็บไว้ ๓ ปี มีรสเลิศต่างๆ ในตระกูลที่หาข้าวและน้ำได้ง่าย ได้เห็นท่านผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรรูปหนึ่งจึงคิดว่า เมื่อไรหนอ แม้เราก็จะเป็นผู้เห็นปานนี้ เที่ยวบิณฑบาตบริโภค กาลนั้นจักมีแก่เราไหมหนอ ดังนี้จึงออกบวช บัดนี้ เธอจะกระทำข้อที่คิดไว้นั่นอย่างไร ครั้นทรงโอวาทพระองค์อย่างนี้แล้วไม่มีพระอาการอันผิดแผกเสวยพระกระยาหาร.
ราชบุรุษทั้งหลายเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงไปกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงสดับคำของทูตแล้ว จึงรีบเสด็จออกจากพระนคร เสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ ทรงเลื่อมใสเฉพาะในพระอิริยาบถ จึงทรงยกความเป็นใหญ่ทั้งปวงให้แก่พระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม อาตมภาพปรารถนาพระอภิสัมโพธิญาณอันยอดยิ่ง จึงออกบวช.
พระราชาแม้จะทรงอ้อนวอนเป็นอเนกประการ ก็ไม่ทรงได้น้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์ จึงถือเอาปฏิญญาว่า พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แล้ว ก็พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อน.
นี้เป็นความสังเขปในที่นี้ ส่วนความพิสดารพึงตรวจดูปัพพัชชาสูตร๑- นี้ว่า เราจักสรรเสริญการบวช เหมือนท่านผู้มีจักษุบวชแล้วดังนี้ พร้อมทั้งอรรถกถาแล้วพึงทราบเถิด.
____________________________
๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๕๔
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงให้ปฏิญญาแก่พระราชาแล้ว เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ เสด็จเข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตรและอุทกดาบสรามบุตร ทำสมาบัติให้เกิดแล้วคิดว่า นี้ไม่ใช่ทางเพื่อการตรัสรู้ จึงยังไม่พอพระทัยสมาบัติภาวนาแม้นั้น เพื่อจะทรงแสดงเรี่ยวแรงและความเพียรของพระองค์แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก จึงมีพระประสงค์จะเริ่มตั้งความเพียรใหญ่ จึงเสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ทรงพระดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ จึงเสด็จเข้าอยู่ในอุรุเวลาประเทศนั้น เริ่มตั้งมหาปธาน ความเพียรใหญ่.
พระปัญจวัคคีย์มีพระโกณฑัญญะเป็นประธานแม้เหล่านั้น เที่ยวไปเพื่อภิกษาหารในคามนิคมและราชธานีทั้งหลาย ได้ไปประจวบกับพระโพธิสัตว์ ณ ตำบลอุรุเวลาประเทศนั้น.
ลำดับนั้น พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นได้อยู่ในสำนักคอยดูอุปัฏฐากพระโพธิสัตว์ผู้เริ่มตั้งมหาปธานความเพียรตลอด ๖ พรรษา ด้วยวัตรปฏิบัติมีการกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังใจว่า เดี๋ยวจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทำทุกรกิริยาให้ถึงที่สุด จึงทรงยับยั้งอยู่ด้วยข้าวสารเมล็ดงาหนึ่งเป็นต้น ได้ทรงกระทำการตัดอาหารแม้โดยประการทั้งปวง.
ฝ่ายเทวดาทั้งหลายก็นำเอาโอชะทั้งหลายเข้าไปแทรกทางขุมขน.
ลำดับนั้น พระวรกายของพระโพธิสัตว์นั้นแม้จะมีวรรณะดังสีทอง ก็ได้มีวรรณะดำคล้ำไป เพราะไม่มีพระกระยาหารและเพราะได้รับความกะปลกกะเปลี้ยอย่างยิ่ง พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการก็มิได้ปรากฏออกมา.
บางคราวเมื่อทรงเพ่งอานาปานกฌานคือลมหายใจเข้าออก ถูกเวทนาใหญ่ครอบงำ ถึงกับสลบล้มลงในที่สุดที่จงกรม.
ลำดับนั้น เทวดาบางพวกกล่าวถึงพระโพธิสัตว์นั้นว่า พระสมณโคดมทำกาลกิริยาแล้ว. เทวดาบางพวกกล่าวว่า นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอรหันต์เท่านั้น.
บรรดาเทวดาเหล่านั้น เทวดาผู้มีความสำคัญว่า พระสมณโคดมทำกาลกิริยาแล้ว ได้ไปกราบทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชว่า พระราชโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว.
พระเจ้าสุทโธทนมหาราชตรัสว่า บุตรของเรายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า จะยังไม่ตาย.
เทวดาเหล่านั้นกราบทูลว่า พระโอรสของพระองค์ไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงล้มที่พื้นบำเพ็ญเพียรอยู่สวรรคตแล้ว.
พระราชาได้ทรงสดับดังนี้ จึงตรัสห้ามว่า เราไม่เชื่อ บุตรของเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณ จะไม่ทำกาลกิริยา.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระราชาจึงไม่ทรงเชื่อ?
ตอบว่า เพราะได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์ในวันที่ให้ไหว้พระกาลเทวิลดาบส และที่โคนต้นหว้า.
เมื่อพระโพธิสัตว์กลับได้สัญญาเสด็จลุกขึ้น เทวดาเหล่านั้นได้ไปกราบทูลแก่พระราชาอีกว่า ข้าแต่มหาราช โอรสของพระองค์ไม่มีพระโรคแล้ว.
พระราชาตรัสว่า เรารู้ว่าบุตรของเราไม่ตาย.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงทำทุกรกิริยาอยู่ ๖ พรรษา กาลเวลาได้เป็นเหมือนขอดปมไว้ในอากาศ. พระมหาสัตว์นั้นทรงดำริว่า ชื่อว่าการทำทุกรกิริยานี้ ย่อมไม่เป็นทางเพื่อที่จะตรัสรู้ จึงเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในคามและนิคม เพื่อจะนำอาหารหยาบมาแล้วเสวยพระกระยาหาร.
ครั้งนั้น มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของพระมหาสัตว์ก็ได้กลับเป็นปกติ แม้พระกายก็มีวรรณดุจทองคำ.
ภิกษุปัญจวัคคีย์พากันคิดว่า พระมหาบุรุษนี้แม้ทรงทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ บัดนี้เที่ยวบิณฑบาตในคามนิคมเป็นต้น นำอาหารหยาบมา จักอาจตรัสรู้ได้อย่างไร พระมหาบุรุษนี้คลายความเพียร เวียนมาเป็นคนมักมากเสียแล้ว การที่พวกเราคิดคาดคะเนเอาคุณวิเศษจากสำนักของพระมหาบุรุษนี้ เหมือนคนผู้ประสงค์จะสนานศีรษะคิดคะเนเอาหยาดน้ำค้างฉะนั้น พวกเราจะประโยชน์อะไรด้วยพระมหาบุรุษนี้ จึงพากันละพระมหาบุรุษ ถือบาตรและจีวรของตนๆ เดินทางไป ๑๘ โยชน์เข้าไปยังป่าอิสิปตนะ.
ก็สมัยนั้นแล ทาริกาชื่อว่าสุชาดา ผู้เกิดในเรือนของเสนานิกุฎุมพี ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เจริญวัยแล้วได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทรต้นหนึ่งว่า ถ้าข้าพเจ้าไปยังเรือนสกุลที่มีชาติเสมอกัน ได้บุตรชายในครรภ์แรกไซร้ ข้าพเจ้าจักทำพลีกรรมโดยบริจาคทรัพย์แสนหนึ่งแก่ท่านทุกปีๆ.
ความปรารถนานั้นของนางสำเร็จแล้ว นางมีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ เมื่อครบปีที่ ๖ แห่งพระมหาสัตว์ผู้ทรงทำทุกรกิริยามา และก่อนหน้านั้นแหละ ได้ปล่อยแม่โคนมพันตัวให้เที่ยวไปในป่าชะเอม ให้แม่โคนม ๕๐๐ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑,๐๐๐ ตัวนั้น แล้วให้แม่โคนม ๒๕๐ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๕๐๐ ตัวนั้น รวมความว่า นางต้องการความข้นความหวานและความมีโอชะของน้ำนม จึงได้กระทำการหมุนเวียนไป จนกระทั่งแม่โคนม ๘ ตัวดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑๖ ตัว ด้วยประการฉะนี้.
ในวันเพ็ญเดือน ๖ นางคิดว่าจักทำพลีกรรมตั้งแต่เช้าตรู่ จึงลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งของราตรี แล้วให้รีดนมแม่โคนม ๘ ตัวนั้น ลูกโคทั้งหลายยังไม่ทันมาใกล้เต้านมของแม่โคนม แต่เมื่อพอนำภาชนะใหม่เข้าไปที่ใกล้เต้านม ธารน้ำนมก็ไหลออกโดยธรรมดาของตน.
นางสุชาดาเห็นความอัศจรรย์ดังนั้น จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วรีบก่อไฟด้วยมือของตนเอง.
เมื่อนางกำลังหุงข้าวปายาสนั้นอยู่ ฟองใหญ่ๆ ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกสักหยาดเดียว ก็ไม่กระเด็นออกไปข้างนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตาไฟ.
สมัยนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะทรงนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมเอาโอชะที่สำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารมาใส่ลงในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตนๆ เสมือนคั้นรวงผึ้งซึ่งติดอยู่ที่ท่อนไม้ถือเอาแต่น้ำหวานฉะนั้น.
จริงอยู่ ในเวลาอื่นๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในทุกๆ คำข้าว แต่ในวันบรรลุพระสัมโพธิญาณและวันปรินิพพาน ใส่ลงในหม้อเลยทีเดียว.
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อยซึ่งปรากฏแก่ตน ณ ที่นั้น ในวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า นี่แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดาของพวกเราน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เพราะว่าเราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ ในเวลามีประมาณเท่านี้ เธอจงรีบไปปัดกวาดเทวสถานโดยเร็ว.
นางปุณณาทาสีรับคำของนางแล้วรีบด่วนไปยังโคนไม้.
ในตอนกลางคืนวันนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงเห็นมหาสุบิน ๕ ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์.
ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่. และต้นไม้ทั้งสิ้นมีวรรณดุจทองคำ เพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์.
นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่นางสุชาดา.
นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดีพูดว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงตั้งอยู่ในฐานะเป็นธิดาคนโตของเรา แล้วได้ให้เครื่องอลังการทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา.
ก็เพราะเหตุที่ในวันจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่งซึ่งมีราคาหนึ่งแสน ฉะนั้น นางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่าเราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทอง นางมีความประสงค์จะให้นำถาดทองราคาหนึ่งแสนมาเพื่อใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดได้กลิ้งมาตั้งอยู่เฉพาะในถาด เหมือนน้ำกลิ้งมาจากใบปทุมฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่างเสร็จแล้ว ทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด (ผ้าคลุม) ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำ ตักน้ำที่อบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่.
บาตรดินที่ฆฏิการมหาพรหมถวายไม่ได้ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ขณะนั้นได้หายไป พระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับน้ำ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษๆ ทรงแลดูนางสุชาดาๆ กำหนดพระอาการได้ทูลว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว ท่านจงถือเอาถาดนั้นไปกระทำตามความชอบใจเถิด ถวายบังคมแล้วทูลว่า มโนรถของดิฉันสำเร็จแล้วฉันใด แม้มโนรถของท่านก็จงสำเร็จฉันนั้น นางบริจาคถาดทองซึ่งมีราคาตั้งหนึ่งแสน เหมือนบริจาคใบไม้เก่าไม่เสียดายเลย แล้วหลีกไป.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับนั่ง ทรงทำประทักษิณต้นไม้ แล้วทรงถือถาดเสด็จไปที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันที่พระโพธิสัตว์หลายแสนพระองค์จะตรัสรู้ มีท่าเป็นที่เสด็จลงสรงสนานชื่อว่าสุปติฏฐิตะ จึงทรงวางถาดที่ฝั่งแห่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น แล้วเสด็จลงสรงสนานที่ท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะ แล้วทรงนุ่งห่มธงชัยของพระอรหันต์อันเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ประทับนั่งบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก เสวยข้าวมธุปายาสน้ำน้อยทั้งหมดที่ทรงกระทำให้เป็นปั้น ๔๙ ปั้น ปั้นหนึ่งมีประมาณเท่าจาวตาลสุก ข้าวมธุปายาสนั้นแลได้เป็นพระกระยาหารอยู่ได้ ๔๙ วัน สำหรับพระโพธิสัตว์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วประทับอยู่ที่โพธิมัณฑ์ตลอด ๗ สัปดาห์.
ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ไม่มีพระกระยาหารอย่างอื่น ไม่มีการสรงสนาน ไม่มีการชำระพระโอษฐ์ ไม่มีการถ่ายพระบังคนหนัก ทรงยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌานและความสุขในผลสมาบัติ.
ก็ครั้นเสวยข้าวมธุปายาสนั้นแล้วทรงถือถาดทองตรัสว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ถาดนี้จงทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็นจงลอยไปตามกระแสน้ำ ครั้นตรัสแล้วทรงลอยไปในกระแสแม่น้ำ.
ถาดนั้นตัดกระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ตรงสถานที่กลางแม่น้ำนั่นแหละ ได้ทวนกระแสน้ำไปสิ้นที่ประมาณ ๘๐ ศอก เสมือนม้าตัวที่สมบูรณ์ด้วยความเร็วฉะนั้น แล้วจมลง ณ ที่น้ำวนแห่งหนึ่งไปถึงภพของพญากาฬนาคราช กระทบถาดเครื่องใช้สอยของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓
พระองค์ ส่งเสียงดังกริ๊กๆ แล้วได้รองอยู่ใต้ถาดเหล่านั้น.
พญากาฬนาคราชได้ยินเสียงนั้นแล้วจึงกล่าวว่า เมื่อวาน พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดขึ้นอีกหนึ่งองค์ แล้วลุกขึ้นกล่าวสรรเสริญด้วยบทหลายร้อยบท.
ได้ยินว่า เวลาที่แผ่นดินใหญ่งอกขึ้นเต็มท้องฟ้าประมาณ ๑ โยชน์ ๓ คาวุตได้เป็นเสมือนวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ สำหรับพญากาฬนาคราชนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ทรงพักผ่อนกลางวันอยู่ในสาลวันอันมีดอกบานสะพรั่ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ครั้นเวลาเย็น ในเวลาดอกไม้ทั้งหลายหล่นจากขั้ว จึงเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางต้นโพธิ์ ตามหนทางกว้าง ๘ อุสภะที่เทวดาทั้งหลายประดับประดาไว้ เหมือนราชสีห์เยื้องกรายฉะนั้น.
พวกนาค ยักษ์และครุฑเป็นต้น บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นอันเป็นทิพย์ บรรเลงสังคีตทิพย์เป็นต้น หมื่นโลกธาตุได้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกัน มีดอกไม้เป็นอันเดียวกัน และมีเสียงสาธุการเป็นอย่างเดียวกัน.
สมัยนั้น คนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ หาบหญ้าเดินสวนทางมา รู้อาการของพระมหาบุรุษ จึงได้ถวายหญ้า ๘ กำมือ.
พระโพธิสัตว์ทรงถือหญ้าเสด็จขึ้นยังโพธิมัณฑ์ ประทับยืนอยู่ ณ ด้านทิศใต้ บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ขณะนั้น จักรวาลด้านทิศใต้ได้จมลงเป็นเสมือนจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านทิศเหนือได้ลอยขึ้นเสมือนจรดถึงภวัคคพรหมเบื้องบน.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า สถานที่นี้เห็นจักไม่เป็นสถานที่ที่จะให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงทรงทำประทักษิณ แล้วเสด็จไปยังด้านทิศตะวันตก ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปยังทิศตะวันออก. ลำดับนั้น จักรวาลด้านตะวันตกจมลงเป็นเสมือนจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านตะวันออกได้ลอยขึ้นเป็นเสมือนจรดถึงภวัคคพรหมเบื้องบน.
ได้ยินว่า ในที่ที่พระโพธิสัตว์นั้นประทับยืนแล้วๆ มหาปฐพีได้ยุบลงและนูนขึ้นเหมือนวงล้อของเกวียนใหญ่ซึ่งสอดใส่อยู่ในดุม ถูกเหยียบที่ชายขอบของกงฉะนั้น.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า แม้สถานที่นี้ก็เห็นจักไม่เป็นสถานที่ให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงทรงทำประทักษิณ แล้วเสด็จไปยังด้านทิศเหนือ ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศใต้. ลำดับนั้น จักรวาลด้านทิศเหนือได้ทรุดลงเป็นประหนึ่งจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านทิศใต้ได้ลอยขึ้นเป็นเสมือนจรดถึงภวัคคพรหมเบื้องบน. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า แม้สถานที่นี้ก็เห็นจักไม่เป็นสถานที่ให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงทรง
กระทำประทักษิณ. เสด็จไปยังด้านทิศตะวันออกประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปด้านทิศตะวันตก.
ก็ในด้านทิศตะวันออกได้มีสถานที่ตั้งบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง สถานที่นั้นจึงไม่หวั่นไหวไม่สั่นสะเทือน. พระโพธิสัตว์ทรงทราบว่า สถานที่นี้อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงไม่ทรงละ เป็นสถานที่ไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่กำจัดกรงคือกิเลส จึงทรงจับปลายหญ้าเหล่านั้นเขย่า. ทันใดนั้นเอง ได้มีบัลลังก์สูง ๑๔ ศอก หญ้าแม้เหล่านั้นก็ตั้งอยู่โดยสัณฐาน เห็นปานที่ช่างเขียนหรือช่างโบกฉาบผู้ฉลาดยิ่งก็ไม่สามารถจะเขียนหรือโบกฉาบได้.
พระโพธิสัตว์ทรงกระทำลำต้นโพธิ์ไว้เบื้องปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงมีพระมนัสมั่นคง ทรงนั่งคู้อปราชิต