บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
พระเถระแม้นี้ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล เจริญวัยแล้ว วันหนึ่ง ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นภิกษุรูปหนึ่งอันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ เป็นวิทยาธรไปโดยอากาศ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ไพรสณฑ์ มีจิตเลื่อมใส ได้กระทำการบูชาด้วยดอกกรรณิการ์. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ในสุคตินั่นเอง. ในกาลแห่งพระทศพลพระนามว่ากัสสปะ บังเกิดในเรือนมีตระกูลในกรุงพาราณสี เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้กระทำการบูชาด้วยแผ่นอิฐอันสำเร็จด้วยทองมีค่าแสนหนึ่ง ที่ฐานอันเป็นที่กระทำสุวรรณเจดีย์ ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยวิบากเป็นเครื่องไหลออกแห่งบุญ แต่นั้นกระทำกุศลกรรมตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย สิ้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในเรือนแห่งปุโรหิต ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี ในวันตั้งชื่อของท่าน มารดาคิดว่า บุตรของเรามีวรรณะเพียงดังสีแห่งทอง ถือเอาชื่อของตนมาจึงตั้งชื่อว่า กาญจนมาณพ นั่นเอง. ท่านเจริญวัยแล้วเรียนไตรเพท โดยล่วงไปแห่งบิดาจึงได้ตำแหน่งปุโรหิต. ด้วยอำนาจโคตร ท่านปรากฏนามว่ากัจจานะ. พระเจ้าจัณฑปัชโชตทราบกาลเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า ทรงส่งสาสน์ไปว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านจงไปในที่นั้น กราบเรียนให้พระศาสดาทรงทราบ. ท่านมีตนเป็นที่แปดเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เขาแล้ว. ในที่สุดแห่งเทศนา ท่านกับชน ๗ คนดำรงอยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิดดังนี้. ในขณะนั้นนั่นเอง ภิกษุเหล่านั้นมีผมและหนวดเพียงสององคุลี ทรงไว้ซึ่งบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเหมือนพระเถระผู้มีพรรษาตั้งร้อย. พระเถระประนมมือของตนแล้ว กราบ พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุ เธอเท่านั้นจงเป็นผู้มีตนเป็นที่แปดไปในที่นั้น แม้เมื่อเธอไปแล้ว พระราชาจักเลื่อมใส. พระเถระมีตนเป็นที่แปดไปในที่นั้น ยังพระราชาให้เลื่อมใส ให้พระศาสนาประดิษฐานในอวันตีชนบททั้งหลายแล้ว กลับมาเฝ้าพระศาสดาอีกตามเดิม. ท่านบรรลุพระอรหัตผลอย่างนี้แล้ว พระศาสดาได้ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเรา ผู้จำแนกอรรถที่เรากล่าวโดยย่อให้พิสดารนี้ มหากัจจานะเป็นเลิศ, ท่านได้รับตำแหน่งเอตทัคคะแล้ว ระลึกถึงกรรมของตน เมื่อจะประกาศ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทุมํ นาม เจติยํ ความว่า เพราะได้ปกปิดด้วยดอกปทุม และเพราะกระทำด้วยอาการแห่งดอกปทุม วิหารคือพระคันธกุฎีอันเป็นที่ประทับอยู่แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแล ได้เป็นเจดีย์โดยเป็นที่ควรบูชา ที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ ท่านเรียกว่าเจดีย์ เหมือนที่เขากล่าวว่า โคตมกเจดีย์ อาฬวกเจดีย์ สถานที่อยู่ของยักษ์เหล่านั้น ท่านเรียกว่า เจดีย์ เพราะเป็นสถานที่ควรบูชา. พึงทราบว่า ไม่ใช่เจดีย์อันเป็นที่บรรจุพระธาตุ. ก็ท่านไม่ได้สร้างธาตุเจดีย์ เพราะไม่มีสรีรธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ยังไม่ปรินิพพาน. บทว่า สิลาปฏํ กายิตฺวา ความว่า ได้สร้างแผ่นศิลา อันสำเร็จด้วยแก้วผลึก ในภายใต้แห่งพระคันธกุฎี อันมีชื่อว่าปทุมนั้น เพื่อเป็นที่รองรับดอกไม้. บทว่า สุวณฺเณนาภิเลปยึ ความว่า เราได้ฉาบปกปิดแผ่นศิลานั้นด้วยอาการพิเศษยิ่ง ด้วยทองชมพูนุท. เราได้ยกฉัตรอันแล้วด้วยรัตนะ คือทำด้วยรัตนะ ๗ แล้วกั้นไว้บนยอด แล้วยกพัดวาลวิชนีและพัดบวรจามรีขาว เพื่อพระพุทธเจ้า. บทว่า โลกพนฺธุสฺส ตาทิโน ความว่า เราได้กั้นไว้เพื่อพระพุทธเจ้าผู้พรั่งพร้อมด้วยคุณมีสติเป็นต้น เช่นกับเผ่าพันธุ์แห่งโลกทั้งสิ้น. คำที่เหลือมีอรรถง่ายทั้งนั้นแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๔. กุณฑธานวรรค ๓. มหากัจจายนเถราปทาน (๓๓) จบ. |