ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑]อรรถกถา เล่มที่ 32 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 32 / 2อ่านอรรถกถา 32 / 412
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค
๑. พุทธาปทาน

หน้าต่างที่ ๖ / ๑๑.

               อวิทูเรนิทานกถา               
               ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรีนั่นแล ชื่อว่าความโกลาหล คือความแตกตื่นเรื่องพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว.
               จริงอยู่ ในโลกย่อมมีความโกลาหล ๓ ประการเกิดขึ้น คือ โกลาหลเรื่องกัป ๑ โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า ๑ โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ ๑.
               บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทพชั้นกามาวจรชื่อว่าโลกพยูหะทราบว่าล่วงไปแสนปี เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี จึงปล่อยศีรษะสยายผม มีหน้าร้องไห้เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง ทรงเพศผิดรูปร่างเหลือเกิน เที่ยวบอกกล่าวไปในถิ่นมนุษย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงแสนปีจากนี้ไป เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี โลกนี้จักพินาศ แม้มหาสมุทรจะเหือดแห้ง มหาปฐพีนี้กับขุนเขาสิเนรุ จักถูกไฟไหม้ จักพินาศ โลกาวินาศ จักมีจนกระทั่งพรหมโลก ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เป็นใหญ่ในตระกูล นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องกัป.
               เหล่าโลกบาลเทวดาทราบว่า ก็เมื่อล่วงไปพันปี พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักอุบัติขึ้นในโลก จึงเที่ยวป่าวร้องว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย เมื่อล่วงพันปีแต่นี้ไป พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า.
               เทวดาทั้งหลายทราบว่า ล่วงไปร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติขึ้น จึงเที่ยวป่าวร้องว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยล่วงร้อยปีแต่นี้ไป พระเจ้าจักรพรรดิจักอุบัติขึ้นในโลก นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ.
               โกลาหลทั้ง ๓ ประการนี้เป็นเรื่องใหญ่.
               บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นได้ฟังเสียงโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าแล้วจึงร่วมประชุมกัน ได้ทราบว่า สัตว์ชื่อโน้นจักได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปหาเขาแล้วพากันอ้อนวอน และเมื่ออ้อนวอนอยู่ก็จะอ้อนวอนในเพราะบุรพนิมิตทั้งหลาย.
               ก็ในครั้งนั้น เทวดาแม้ทั้งปวงนั้นพร้อมกับท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวสุนิมมิต ท้าววสวัตดีและท้าวมหาพรหม พากันประชุมในจักรวาลเดียวกัน แล้วไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ในดุสิตพิภพ ต่างอ้อนวอนว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ มา หาได้ปรารถนาสักกสมบัติ มารสมบัติ พรหมสมบัติและจักรพรรดิสมบัติบำเพ็ญไม่ แต่ท่านปรารถนาพระสัพพัญญุญาณ บำเพ็ญเพื่อต้องการจะรื้อขนสัตว์ออกจากโลก ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บัดนี้นั้นเป็นกาลที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นสมัยที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ให้ปฏิญญาแก่เทวดาทั้งหลายทันที จะตรวจดูปัญจมหาวิโลกนะ คือสิ่งที่จะต้องเลือกใหญ่ ๕ ประการ คือกาล ทวีป ประเทศ ตระกูลและกำหนดอายุของมารดา.
               ใน ๕ ประการนั้น พระโพธิสัตว์จะตรวจดูกาลข้อแรกว่า เป็นกาลสมควรหรือกาลไม่สมควร.
               ในเรื่องกาลนั้น กาลแห่งอายุที่เจริญเกินกว่าแสนปี ชื่อว่าเป็นกาลไม่สมควร. เพราะเหตุไร? เพราะว่า ในกาลนั้น ชาติ ชราและมรณะของสัตว์ทั้งหลายไม่ปรากฏ และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าพ้นจากไตรลักษณ์ย่อมไม่มี เมื่อพระพุทธเจ้าเหล่านั้นตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวกเขาจะคิดว่าพระองค์ตรัสข้อนี้ชื่ออะไร จึงย่อมไม่เห็นสำคัญว่าจะควรฟังและควรเชื่อ แต่นั้น การตรัสรู้มรรคผลก็จะมีไม่ได้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้มรรคผล ศาสนาคือคำสอนจะไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์. เพราะฉะนั้น กาลนั้นจึงเป็นกาลไม่สมควร.
               แม้กาลแห่งอายุหย่อนกว่าร้อยปี ก็ชื่อว่าเป็นกาลไม่สมควร เพราะเหตุไร? เพราะว่าในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนาและโอวาทที่ให้แก่สัตว์ผู้มีกิเลสหนา ย่อมไม่ตั้งอยู่ในฐานเป็นโอวาท จะปราศจากไปเร็วพลัน เหมือนรอยไม้ขีดในน้ำ เพราะฉะนั้น แม้กาลนั้นก็เป็นกาลไม่สมควร.
               กาลแห่งอายุตั้งแต่แสนปีลงมาและตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป ชื่อว่าเป็นกาลสมควร และกาลนั้นก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ก็มองเห็นกาลว่า เป็นกาลที่ควรบังเกิด.
               จากนั้น เมื่อจะตรวจดูทวีป ได้ตรวจดูทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งทวีปบริวาร จึงเห็นทวีปหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่บังเกิดในทวีปทั้งสามบังเกิดเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น.
               จากนั้นก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าชมพูทวีปเป็นทวีปใหญ่ มีประมาณหมื่นโยชน์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายบังเกิดในประเทศไหนหนอ จึงตรวจดูโอกาสก็ได้เห็นมัชฌิมประเทศ.
               ชื่อว่ามัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัยอย่างนี้ว่า ในทิศตะวันออก มีนิคมชื่อกชังคละ ถัดจากนั้นไปเป็นมหาสาลประเทศ ถัดจากมหาสาลประเทศนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีแม่น้ำชื่อว่าสัลลวดี ถัดจากแม่น้ำสัลลวดีนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศใต้ มีนิคมชื่อว่าเสตกัณณิกะ ถัดจากเสตกัณณิกนิคมนั้นไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันตก มีพราหมณคามชื่อว่าถูนะ ถัดจากนั้นไปเป็นปัจจันชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศเหนือ มีภูเขาชื่อว่าอุสีรธชะ ถัดจากนั้นออกไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเข้ามาเป็นมัชฌิมประเทศ.
               มัชฌิมประเทศนั้นยาวสามร้อยโยชน์ กว้างสองร้อยห้าสิบโยชน์ วัดโดยรอบได้เก้าร้อยโยชน์ ดังนั้น ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิและขัตติยมหาศาล พราหมณมหาศาลและคหบดีมหาศาล ผู้มเหสักข์เหล่าอื่นย่อมเกิดขึ้น และนครชื่อว่ากบิลพัสดุ์นี้ก็ตั้งอยู่ในมัชฌิมประเทศนี้ พระโพธิสัตว์จึงได้ถึงความตกลงใจว่า เราควรบังเกิดในนครนั้น.
               ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะเลือกดูตระกูล จึงเห็นตระกูลว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่บังเกิดในตระกูลแพศย์หรือตระกูลศูทร แต่จะบังเกิดในตระกูลทั้งสองเท่านั้นคือตระกูลกษัตริย์หรือตระกูลพราหมณ์ที่โลกยกย่องแล้ว ก็บัดนี้ ตระกูลกษัตริย์เป็นตระกูลที่โลกยกย่องแล้ว เราจักบังเกิดในตระกูลกษัตริย์นั้น พระราชาพระนามว่าสุทโธทนะ จักเป็นพระบิดาของเรา.
               ต่อจากนั้นจึงเลือกดูมารดาได้เห็นว่า ธรรมดามารดาของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ ไม่เป็นนักเลงสุรา แต่จะเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป เป็นผู้มีศีลห้าไม่ขาดเลย จำเดิมแต่เกิดมา. ก็พระเทวีพระนามว่ามหามายานี้ทรงเป็นเช่นนี้ พระนางมหามายานี้จักเป็นพระมารดาของเรา เมื่อตรวจดูว่าพระนางจะมีพระชนมายุเท่าไร ก็เห็นว่าหลังจาก ๑๐ เดือนไปแล้วจะมีพระชนมายุได้ ๗ วัน.
               พระโพธิสัตว์ตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการนี้ ด้วยประการดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ถึงกาลที่เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อจะกระทำการสงเคราะห์เทวดาทั้งหลาย จึงได้ให้ปฏิญญาแล้วส่งเทวดาเหล่านั้นไปด้วยคำว่า ขอพวกท่านไปได้ อันเทวดาชั้นดุสิตห้อมล้อมแล้วเข้าไปสู่นันทนวัน ในดุสิตบุรี.
               จริงอยู่ ในเทวโลกทุกชั้นมีนันทนวันทั้งนั้น ในนันทนวันนั้น เทวดาทั้งหลายจะเที่ยวคอยเตือนให้พระโพธิสัตว์นั้นระลึกถึงโอกาสแห่งกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อนว่า ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติเถิด ท่านจุติจากนี้แล้วจงไปสู่สุคติเถิด.
               พระโพธิสัตว์นั้นอันเทวดาทั้งหลายผู้เตือนให้ระลึกถึงกุศลอย่างนี้ ห้อมล้อมเที่ยวไปอยู่ในนันทนวันนั่นแล ได้จุติแล้วถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางมหามายาเทวี.
               เพื่อที่จะให้เรื่องการถือปฏิสนธินั้นชัดแจ้ง จึงมีถ้อยคำบรรยายโดยลำดับ ดังต่อไปนี้ :-
               ได้ยินว่า ครั้งนั้น ในนครกบิลพัสดุ์ได้มีการนักขัตฤกษ์เดือน ๘ อย่างเอิกเกริก มหาชนเล่นงานนักขัตฤกษ์กัน. ฝ่ายพระนางมหามายาเทวี ตั้งแต่วันที่ ๗ ก่อนวันเพ็ญ ทรงร่วมเล่นงานนักขัตฤกษ์ที่เพียบพร้อมด้วยดอกไม้และของหอมอันสง่าผ่าเผย ไม่มีการดื่มสุรา. ในวันที่ ๗ ตั้งแต่เช้าตรู่ สรงสนานด้วยน้ำเจือน้ำหอม ทรงสละพระราชทรัพย์สี่แสน ถวายมหาทานแล้วทรงประดับด้วยเครื่องราชอลังการทั้งปวง เสวยพระกระยาหารอย่างดี ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถ เสด็จเข้าห้องอันมีสิริที่ประดับตกแต่งแล้ว บรรทมเหนือพระสิริไสยาสน์ ก้าวลงสู่ความหลับ ได้ทรงพระสุบินดังนี้ว่า
               นัยว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ยกพระนางขึ้นไปพร้อมกับพระที่ไสยาสน์ แล้วนำไปยังป่าหิมพานต์วางลงบนพื้นมโนศิลามีประมาณ ๖๐ โยชน์ ภายใต้ต้นสาละใหญ่มีขนาด ๗ โยชน์ แล้วได้ยืนอยู่ ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง.
               ลำดับนั้น เหล่าพระเทวีของท้าวมหาราชเหล่านั้นพากันมานำพระเทวีไปยังสระอโนดาต ให้สรงสนาน เพื่อที่จะชำระล้างมลทินของมนุษย์ออก แล้วให้ทรงนุ่งห่มผ้าทิพย์ ให้ทรงลูบไล้ด้วยของหอม ให้ทรงประดับดอกไม้ทิพย์. ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น มีภูเขาเงินลูกหนึ่ง ภายในภูเขาเงินนั้นมีวิมานทอง พวกเขาให้ตั้งพระที่ไสยาสน์อันเป็นทิพย์ มีเบื้องพระเศียรอยู่ทางทิศตะวันออก ในวิมานทองนั้น แล้วให้บรรทม.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เป็นช้างตัวประเสริฐสีขาว ท่องเที่ยวไปในภูเขาทองลูกหนึ่งซึ่งมีอยู่ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น ได้ลงจากภูเขาทองนั้นแล้วขึ้นไปยังภูเขาเงิน เดินมาทางทิศเหนือ ได้เอางวงซึ่งมีสีดังพวงเงินจับดอกปทุมสีขาว เปล่งเสียงโกญจนาทเข้าไปยังวิมานทอง กระทำประทักษิณพระที่ไสยาสน์ของพระมารดา ๓ ครั้ง ได้เป็นเสมือนผ่าพระปรัศว์เบื้องขวาเข้าสู่พระครรภ์.
               พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิด้วยนักขัตฤกษ์เดือน ๘ หลัง ด้วยประการฉะนี้.
               วันรุ่งขึ้น พระเทวีทรงตื่นบรรทมแล้วกราบทูลพระสุบินนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งให้เชิญพราหมณ์ชั้นหัวหน้าประมาณ ๖๔ คนเข้าเฝ้า ให้ปูลาดอาสนะอันควรค่ามากบนพื้นที่ฉาบทาด้วยโคมัยสด มีเครื่องสักการะอันเป็นมงคลที่กระทำด้วยข้าวตอกเป็นต้น ให้ใส่ข้าวปายาสชั้นเลิศที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวดเต็มถาดทองและเงิน เอาถาดทองและเงินนั้นแหละครอบแล้วได้ประทานแก่เหล่าพราหมณ์ผู้นั่งอยู่บนอาสนะนั้น และทรงให้พราหมณ์เหล่านั้นอิ่มหนำด้วยสิ่งของอื่นๆ มีการประทานผ้าใหม่ และแม่โคแดงเป็นต้น.
               ทีนั้น จึงรับสั่งให้บอกพระสุบินแก่พราหมณ์เหล่านั้นผู้อิ่มหนำด้วยสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง แล้วตรัสถามว่า จักมีเหตุการณ์อะไร.
               พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงพระปริวิตกเลย พระเทวีทรงตั้งพระครรภ์แล้ว และพระครรภ์ที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นครรภ์บุรุษ มิใช่ครรภ์สตรี พระองค์จักมีพระโอรส ถ้าพระโอรสนั้นทรงครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกจากเรือนทรงผนวช จักได้เป็นพระพุทธเจ้ามีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก.
               ก็ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดานั่นแหละ เหมือนโลกธาตุทั้งสิ้นได้สะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหวขึ้นพร้อมกันทันที.
               ปุพนิมิต ๓๒ ประการได้ปรากฏขึ้นแล้วในหมื่นจักรวาล ได้แสงสว่างหาประมาณมิได้แผ่ซ่านไป, พวกคนตาบอดกลับได้ดวงตา ประหนึ่งว่ามีความประสงค์จะดูพระสิรินั้นของพระโพธิสัตว์นั้น, พวกคนหูหนวกได้ยินเสียง, พวกคนใบ้พูดจาได้, พวกคนค่อมก็มีตัวตรง, พวกคนง่อยก็กลับเดินได้ด้วยเท้า, สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็หลุดพ้นจากเครื่องจองจำมีขื่อคาเป็นต้น ไฟในนรกทั้งปวงก็ดับ, ในเปรตวิสัย ความหิวระหายก็ระงับ, เหล่าสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่มีความกลัว. โรคของสัตว์ทั้งปวงก็สงบ, สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็พูดจาด้วยถ้อยคำอันน่ารัก, ม้าทั้งหลายต่างหัวเราะด้วยอาการอันไพเราะ, ช้างทั้งหลายต่างก็ร้อง, ดนตรีทุกชนิดต่างก็เปล่งเสียงกึกก้องของตนๆ, เครื่องอาภรณ์ที่สวมอยู่ในมือเป็นต้นของพวกมนุษย์ ไม่กระทบกันเลย ก็เปล่งเสียงได้, ทั่วทุกทิศแจ่มใส, สายลมอ่อนเย็นทำความสุขให้เกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลายก็รำเพยพัด, เมฆฝนที่มิใช่กาลก็ตกลงมา, น้ำก็พุแม้จากแผ่นดินไหลไป, พวกนกก็งดการบินไปในอากาศ, แม่น้ำทั้งหลายก็หยุดนิ่งไม่ไหล. มหาสมุทรมีน้ำมีรสหวาน, พื้นน้ำก็ดาดาษด้วยปทุม ๕ สี มีทั่วทุกแห่ง, ดอกไม้ทุกชนิดทั้งที่เกิดบนบกและเกิดในน้ำก็เบ่งบาน, ดอกปทุมชนิดลำต้นก็บานที่ลำต้น, ดอกปทุมชนิดกิ่งก็บานที่กิ่ง, ดอกปทุมชนิดเครือเถาก็บานที่เครือเถา, ดอกปทุมชนิดก้านก็ชำแรกพื้นศิลาทึบ เป็นดอกบัวซ้อนๆ กันออกมา, ดอกปทุมชนิดห้อยในอากาศก็บังเกิดขึ้น, ฝนดอกไม้ก็ตกลงมารอบด้าน, ดนตรีทิพย์ต่างก็บรรเลงในอากาศ,
               โลกธาตุทั่วทั้งหมื่นได้เป็นประหนึ่งพวงมาลัยที่เขาหมุนแล้วขว้างไป เป็นประหนึ่งกำดอกไม้ที่เขาบีบแล้วผูกมัดไว้ เป็นเสมือนอาสนะดอกไม้ที่เขาตกแต่งประดับประดาไว้ และเป็นเสมือนพัดวาลวิชนีที่กำลังโบก ซึ่งมีระเบียบดอกเป็นอันเดียวกัน จึงได้อบอวลไปด้วยความหอมของดอกไม้และธูป ถึงความโสภาคย์ยิ่งนัก.
               จำเดิมแต่การถือปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ผู้ถือปฏิสนธิแล้วอย่างนี้ เพื่อที่จะป้องกันอันตรายแก่พระโพธิสัตว์และมารดาของพระโพธิสัตว์ เทวบุตร ๔ องค์ถือพระขรรค์คอยให้การอารักขา. ความคิดเกี่ยวกับราคะในบุรุษทั้งหลาย มิได้เกิดขึ้นแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์ พระนางมีแต่ถึงความเลิศด้วยลาภและความเลิศด้วยยศ มีความสุข มีพระวรกายไม่ลำบาก และทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในภายในพระครรภ์ เหมือนเส้นด้ายสีเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีใสฉะนั้น.
               ก็เพราะเหตุที่ครรภ์ที่พระโพธิสัตว์อยู่ เป็นเสมือนห้องพระเจดีย์ สัตว์อื่นไม่อาจอยู่หรือใช้สอยได้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์จึงสวรรคตแล้วไปอุบัติในดุสิตบุรี. เหมือนอย่างว่า หญิงอื่นๆ ไม่ถึง ๑๐ เดือนบ้าง เลยไปบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง คลอดบุตรฉันใด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือนอย่างนั้นไม่. ก็พระมารดาของพระโพธิสัตว์นั้นบริหารพระโพธิสัตว์ไว้ด้วยพระครรภ์ตลอด ๑๐ เดือน แล้วประทับยืนประสูติ ข้อนี้เป็นธรรมดาของพระมารดาแห่งพระโพธิสัตว์.
               ฝ่ายพระมหามายาเทวีทรงบริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ตลอด ๑๐ เดือนประดุจบริหารน้ำมันด้วยบาตรฉะนั้น มีพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปยังเรือนแห่งพระญาติ จึงกราบทูลแด่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันปรารถนาจะไปยังเทวทหนครอันเป็นของตระกูล พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงรับว่าได้ แล้วรับสั่งให้ทำหนทางจากนครกบิลพัสดุ์จนถึงนครเทวทหะให้ราบเรียบ ให้ประดับด้วยเครื่องประดับมีต้นกล้วย หม้อน้ำเต็ม ธงชายและธงแผ่นผ้าเป็นต้น ให้พระเทวีประทับนั่งในสีวิกาทอง ให้อำมาตย์พันคนหาม ทรงส่งไปด้วยบริวารมากมาย.
               ก็ป่าสาลวันอันเป็นมงคลชื่อว่าลุมพินีวัน แม้ของชนชาวพระนครทั้งสอง ได้มีอยู่ในระหว่างนครทั้งสอง. สมัยนั้น ป่าสาลวันทั้งสิ้นมีดอกบานเป็นถ่องแถวเดียวกัน ตั้งแต่โคนจนถึงปลายกิ่ง. ตามระหว่างกิ่งและระหว่างดอก มีหมู่ภมร ๕ สีและหมู่นกนานัปการเที่ยวร้องอยู่ด้วยเสียงอันไพเราะ ลุมพินีวันทั้งสิ้นได้เป็นเสมือนจิตรลดาวัน เป็นประหนึ่งสถานที่มาดื่มซึ่งเขาจัดไว้อย่างดีสำหรับพระราชาผู้มีอานุภาพมาก.
               พระเทวีทอดพระเนตรเห็นดังนั้น เกิดมีพระประสงค์จะทรงเล่นในสาลวัน. อำมาตย์ทั้งหลายจึงพาพระเทวีเข้าไปยังสาลวัน. พระนางเสด็จเข้าถึงโคนต้นสาละอันเป็นมงคลแล้ว ได้มีพระประสงค์จะจับกิ่งสาละ กิ่งสาละได้น้อมลงเข้าไปใกล้พระหัตถ์ของพระเทวี ประหนึ่งยอดหวายที่ทอดลงอย่างอ่อนช้อยฉะนั้น. พระนางทรงเหยียดพระหัตถ์จับกิ่ง. ก็ในขณะนั้นเอง ลมกัมมัชวาตของพระเทวีเกิดปั่นป่วน ลำดับนั้น มหาชนจึงวงม่านเพื่อพระนางแล้วถอยออกไป
               ก็เมื่อพระนางทรงยืนจับกิ่งสาละอยู่นั่นแล ได้ประสูติแล้ว.
               ในขณะนั้นนั่นเอง ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ พระองค์ก็ถือข่ายทองคำมาถึง ท้าวมหาพรหมเหล่านั้นเอาข่ายทองคำนั้นรับพระโพธิสัตว์วางไว้เบื้องพระพักตร์ของพระมารดาพลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์ทรงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว.
               เหมือนอย่างว่า สัตว์เหล่าอื่นออกจากท้องมารดาแล้ว เปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลไม่สะอาดคลอดออกมาฉันใด พระโพธิสัตว์หาเป็นเหมือนฉันนั้นไม่.
               ก็พระโพธิสัตว์นั้นเหยียดมือทั้งสองและเท้าทั้งสองยืนอยู่ ดุจพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และเหมือนบุรุษลงจากบันได ไม่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดใดๆ ซึ่งมีอยู่ในครรภ์ของมารดา เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ โชติช่วงอยู่ประดุจแก้วมณีที่เขาวางไว้บนผ้ากาสิกพัสตร์ฉะนั้น คลอดออกจากครรภ์พระมารดา.
               เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ตาม เพื่อจะสักการะพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ สายธารน้ำสองสายจึงพลุ่งจากอากาศ ทำให้ได้รับความสดชื่นในร่างกายของพระโพธิสัตว์และพระมารดาของพระโพธิสัตว์.
               ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้รับพระโพธิสัตว์นั้นจากหัตถ์ของท้าวมหาพรหมผู้ยืนเอาข่ายทองคำรับอยู่ ด้วยเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือดาวอันมีสัมผัสสบาย ซึ่งสมมติกันว่าเป็นมงคล พวกมนุษย์เอาพระยี่ภู่ทำด้วยผ้าทุกูลพัสตร์รับจากหัตถ์ของท้าวมหาราชเหล่านั้น.
               พอพ้นจากมือของพวกมนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดูทิศตะวันออก จักรวาลหลายพันได้เป็นลานอันเดียวกัน เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้นพากันบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น กล่าวกันว่า ข้าแต่มหาบุรุษ คนอื่นผู้จะเสมอเหมือนท่านไม่มีในโลกนี้ ในโลกนี้จักมีผู้ยิ่งกว่ามาแต่ไหน.
               พระโพธิสัตว์มองตรวจไปโดยลำดับตลอดทั้ง ๑๐ ทิศ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศ ทิศน้อย ๔ ทิศ เบื้องล่างและเบื้องบนด้วยประการอย่างนี้แล้ว มิได้ทรงเห็นใครๆ ผู้แม้นเหมือนกับตน ทรงดำริว่านี้ทิศเหนือ จึงเสด็จโดยย่างพระบาทไป ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมคอยกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามะถือพัดวาลวิชนี และเทวดาอื่นๆ ถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือเดินตามเสด็จ. จากนั้นประทับยืน ณ พระบาทที่ ๗ ทรงบันลือสีหนาทเปล่งอาสภิวาจาเป็นต้นว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก ดังนี้.
               จริงอยู่ พระโพธิสัตว์พอคลอดออกมาจากครรภ์ของพระมารดาเท่านั้น เปล่งวาจาได้ใน ๓ อัตภาพ คืออัตภาพเป็นมโหสถ อัตภาพเป็นพระเวสสันดร และอัตภาพนี้.
               ได้ยินว่า ในอัตภาพเป็นมโหสถ เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นจะคลอดออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาวางแก่นจันทน์ลงในมือแล้วเสด็จไป พระโพธิสัตว์นั้นกำแก่นจันทน์นั้นไว้แล้วจึงคลอดออกมา. ลำดับนั้น มารดาถามพระโพธิสัตว์นั้นว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าถืออะไรมาด้วย? พระโพธิสัตว์กล่าวว่า โอสถจ้ะแม่ ดังนั้น บิดามารดาจึงตั้งชื่อเขาว่า โอสถกุมาร เพราะถือโอสถมา.
               บิดามารดาเอาโอสถนั้นใส่ไว้ในตุ่ม โอสถนั้นนั่นแหละได้เป็นยาระงับสารพัดโรคแก่คนตาบอดหูหนวกเป็นต้นที่ผ่านมาๆ. ต่อมา เพราะอาศัยคำพูดที่เกิดขึ้นว่า โอสถนี้ โอสถนี้มีคุณมหันต์ จึงได้เกิดมีชื่อว่า มโหสถ.
               ส่วนในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์เมื่อจะประสูติจากพระครรภ์มารดา ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาประสูติแล้วตรัสว่า พระมารดา อะไรๆ ในเรือนมีไหม ลูกจักให้ทาน. ลำดับนั้น พระมารดาของพระองค์ตรัสว่า พ่อ ลูกบังเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์ แล้วให้วางถุงทรัพย์หนึ่งพันไว้ จึงวางมือของพระโอรสไว้เหนือฝ่าพระหัตถ์ของพระนาง.
               ส่วนในอัตภาพนี้ พระโพธิสัตว์บันลือสีหนาทนี้ พระโพธิสัตว์พอประสูติจากพระครรภ์มารดาเท่านั้น ก็ทรงเปล่งพระวาจาได้ในอัตภาพทั้ง ๓ ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้.
               ก็แม้ในขณะที่พระโพธิสัตว์นั้นประสูติ ได้มีบุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น เหมือนในขณะถือปฏิสนธิ ก็สมัยใด พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายประสูติในลุมพินีวัน สมัยนั้นนั่นแหละ พระเทวีมารดาพระราหุล พระอานันทเถระ ฉันนอำมาตย์ กาฬุทายีอำมาตย์ กัณฐกะอัศวราช มหาโพธิพฤกษ์และหม้อขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ขุม ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน. ในหม้อขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นั้น ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาดคาวุตหนึ่ง ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาดกึ่งโยชน์ ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาด ๓ คาวุต ขุมทรัพย์หม้อหนึ่งมีขนาดหนึ่งโยชน์ โดยส่วนลึก ไปจดที่สุดของแผ่นดินทีเดียว เพราะเหตุนั้น ทั้ง ๗ เหล่านี้จึงจัดเป็นสหชาต.
               ชนชาวเมืองทั้งสองนครได้พาพระโพธิสัตว์ไปยังนครกบิลพัสดุ์เลยทีเดียว ก็วันนั้นเอง หมู่เทพในภพดาวดึงส์ต่างร่าเริงยินดีว่า พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทมหาราชในนครกบิลพัสดุ์ ประสูติแล้ว พระราชกุมารนี้จักนั่งที่ควงไม้โพธิ์ แล้วจักได้เป็นพระพุทธเจ้า จึงพากันโบกสะบัดผ้าเป็นต้นเล่นสนุกกัน.
               สมัยนั้น ดาบสชื่อว่ากาฬเทวิล ผู้คุ้นเคยกับราชสกุลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช เป็นผู้ได้สมาบัติ ๘ กระทำภัตกิจแล้วไปยังดาวดึงส์พิภพ เพื่อต้องการพักผ่อนกลางวัน นั่งพักผ่อนกลางวันอยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น เห็นเทวดาเหล่านั้นเล่นสนุกกันอยู่อย่างนั้น จึงถามว่า เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลายจึงมีใจร่าเริงเล่นสนุกกันอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงบอกเหตุนั่นแก่เราบ้าง.
               เทวดาทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราชประสูติแล้ว พระราชบุตรนั้นจักประทับที่โพธิมัณฑ์เป็นพระพุทธเจ้า ประกาศพระธรรมจักร พวกเราจักได้เห็นพระพุทธลีลาอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ และจักได้ฟังธรรม เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลายจึงได้เป็นผู้ยินดีด้วยเหตุนี้.
               พระดาบสได้ฟังคำของเทวดาเหล่านั้นแล้ว จึงรีบลงมาจากเทวโลก เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ นั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้วทูลว่า มหาบพิตร ได้ยินว่าพระราชบุตรของพระองค์ประสูติแล้ว อาตมภาพอยากจะเห็นพระราชบุตรนั้น.
               พระราชาทรงให้นำพระกุมารผู้แต่งตัวแล้วมา เริ่มที่จะให้ไหว้พระดาบส พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์ กลับไปประดิษฐานบนชฎาของพระดาบส.
               จริงอยู่ บุคคลอื่นชื่อว่าผู้สมควรที่พระโพธิสัตว์จะพึงไหว้โดยอัตภาพนั้น ย่อมไม่มี ก็ถ้าผู้ไม่รู้ จะพึงวางศีรษะของพระโพธิสัตว์ลงแทบบาทมูลของพระดาบส ศีรษะของพระดาบสนั้นจะแตกออก ๗ เสี่ยง.
               พระดาบสคิดว่า เราไม่ควรจะทำตนของเราให้พินาศ จึงลุกขึ้นจากอาสนะ ประคองอัญชลีแก่พระโพธิสัตว์.
               พระราชาทรงเห็นความอัศจรรย์ข้อนั้น จึงทรงไหว้พระราชบุตรของพระองค์.
               พระดาบสระลึกได้ ๘๐ กัป คือในอดีต ๔๐ กัป ในอนาคต ๔๐ กัป เห็นลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์แล้วรำพึงว่า เธอจักได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ จึงใคร่ครวญดูรู้ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย จึงได้กระทำการยิ้มแย้มอันเป็นเหตุให้รู้ว่า พระราชบุตรนี้เป็นอัจฉริยบุรุษ แต่นั้นจึงใคร่ครวญดูว่า เราจักได้เห็นอัจฉริยบุรุษผู้นี้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ ได้เห็นว่าเราจักไม่ได้ทันเห็น จักตายเสียในระหว่างนั้นแหละ จักบังเกิดในอรูปภพที่พระพุทธเจ้าร้อยองค์ก็ดี พันองค์ก็ดี ไม่อาจเสด็จไปให้ตรัสรู้ได้ แล้วคิดว่า เราจักไม่ได้ทันเห็นอัจฉริยบุรุษชื่อผู้เห็นปานนี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจักมีความเสื่อมอย่างมหันต์หนอ จึงได้ร้องไห้แล้ว.
               คนทั้งหลายเห็นแล้วจึงเรียนถามท่านว่า พระคุณเจ้าของพวกเราหัวเราะอยู่เมื่อกี้ กลับร้องไห้อีกเล่า ท่านผู้เจริญ อันตรายไรๆ จักมีแด่พระลูกเจ้าของพวกเราหรือหนอ?
               พระดาบสบอกว่า พระราชบุตรนี้ไม่มีอันตราย จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย. คนทั้งหลายจึงเรียนถามว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงร้องไห้เล่า.
               พระดาบสบอกว่า เราโศกเศร้าถึงตนว่าจักไม่ได้ทันเห็นบุรุษผู้เห็นปานนี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจักมีความเสื่อมอย่างมหันต์หนอ จึงได้ร้องไห้.
               ลำดับนั้น ท่านจึงใคร่ครวญดูว่า บรรดาพวกญาติของเรา ญาติไรๆ จักได้ทันเห็นบุรุษนี้เป็นพระพุทธเจ้าบ้างไหม ก็ได้เห็นนาลกทารกผู้เป็นหลานของตน. ท่านจึงไปยังเรือนของน้องสาวแล้วถามว่า นาลกะ บุตรของเจ้าอยู่ไหน.
               น้องสาวตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า เขาอยู่ในเรือน เจ้าค่ะ.
               พระดาบสกล่าวว่า จงไปเรียกเขามา ครั้นให้เรียกมาแล้ว จึงพูดกะกุมารผู้มายังสำนักของตนว่า นี่แน่ะพ่อหลานชาย พระราชบุตรประสูติในราชสกุลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระราชบุตรนั่นเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร ล่วงไป ๓๕ ปีจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เจ้าจักได้ทันเห็นพระองค์ เจ้าจงบวชเสียในวันนี้ทีเดียว.
               ฝ่ายทารกผู้เกิดในตระกูลมีทรัพย์ ๘๗ โกฏิคิดว่า หลวงลุงจักไม่ชักชวนเราในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทันใดนั้นเองจึงให้คนไปซื้อผ้ากาสายะและบาตรดินมาจากตลาด แล้วปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ประคองอัญชลีมุ่งหน้าไปทางพระโพธิสัตว์ โดยคิดว่า เราบวชอุทิศท่าน ผู้อุดมบุคคลในโลก ดังนี้แล้วกราบไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอาบาตรใส่ถุงคล้องจะงอยบ่า เข้าป่าหิมพานต์ กระทำสมณธรรม.
               ท่านนาลกะนั้นเข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ได้บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ตรัสนาลกปฏิปทา แล้วกลับเข้าป่าหิมพานต์อีก บรรลุพระอรหัตแล้วปฏิบัติปฏิปทาอย่างอุกฤษฎ์ รักษาอายุอยู่ได้ ๗ เดือนเท่านั้น ยืนพิงภูเขาทองลูกหนึ่ง อยู่ท่าเดียว ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์แล พระประยูรญาติทั้งหลายให้สนานพระเศียรในวันที่ ๕ แล้วคิดกันว่าจักเฉลิมพระนาม จึงให้ฉาบทาพระราชมณเฑียรด้วยคันธชาติ ๔ ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้จัดข้าวปายาสล้วนๆ แล้วเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนผู้เรียนจบไตรเพท ให้นั่งในพระราชมณเฑียร ให้ฉันโภชนะอย่างดี กระทำสักการะอย่างมากมายแล้วให้ทายพระลักษณะว่าอะไรจักเกิดมีหนอแล.
               บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น
                         ครั้งนั้น พราหมณ์ ๘ คนนั้น คือรามพราหมณ์ ธชพราหมณ์
               ลักขณพราหมณ์ มันตีพราหมณ์ ยัญญพราหมณ์ สุโภชพราหมณ์
               สุยามพราหมณ์ และสุทัตตพราหมณ์ เป็นผู้จบเวทางคศาสตร์มี
               องค์ ๖ กระทำให้แจ้งซึ่งมนต์แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
               พราหมณ์เฉพาะ ๘ คนนี้นี่แลได้เป็นผู้ทำนายพระลักษณะ. แม้พระสุบินในวันที่ถือปฏิสนธิ พราหมณ์ทั้ง ๘ คนนี้นั่นแหละก็ได้ทำนายแล้ว.
               บรรดาพราหมณ์ทั้ง ๘ คนนั้น ๗ คนชูขึ้น ๒ นิ้วทำนายพระโพธิสัตว์นั้นเป็น ๒ สถานว่า ผู้ประกอบด้วยพระลักษณะเหล่านี้ ถ้าอยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วบอกสิริสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหมด.
               แต่มาณพชื่อโกณฑัญญะ โดยโคตร เป็นหนุ่มกว่าพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ตรวจดูลักษณสมบัติอันประเสริฐของพระโพธิสัตว์แล้วชูขึ้นนิ้วเดียว พยากรณ์โดยสถานเดียวเท่านั้นว่า พระกุมารนี้ไม่มีเหตุที่จะดำรงอยู่ท่ามกลางเรือน พระกุมารนี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้ว โดยส่วนเดียว.
               อันโกณฑัญญมาณพนี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ เป็นสัตว์ผู้จะเกิดในภพสุดท้าย มีปัญญาเหนือคนทั้ง ๗ นอกนี้ ได้เห็นคติเดียวเท่านั้นกล่าวคือ พระโพธิสัตว์ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้จะเป็นพระพุทธเจ้าโดยแน่นอน เพราะเหตุนั้น จึงชูขึ้นนิ้วเดียวแล้วพยากรณ์อย่างนั้น.
               ลำดับนั้น พราหมณ์ทั้งหลายเมื่อจะเฉลิมพระนามของพระโพธิสัตว์นั้น จึงขนานพระนามว่าสิทธัตถะ เพราะกระทำให้สำเร็จความต้องการแก่โลกทั้งปวง.
               ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้นจึงไปยังเรือนของตนๆ เรียกลูกๆ มาบอกว่า นี่แน่ะพ่อทั้งหลาย พวกเราเป็นคนแก่จะอยู่ถึงพระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช บรรลุพระสัพพัญญุตญาณหรือไม่ (ก็ไม่รู้) เมื่อพระราชกุมารนั้นบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พวกเจ้าพึงบวชในสำนักของพระองค์.
               พราหมณ์ทั้ง ๗ คนนั้นดำรงอยู่ตราบชั่วอายุแล้วได้ไปตามกรรม ส่วนโกณฑัญญมาณพเท่านั้นยังมีชีวิตอยู่.
               โกณฑัญญมาณพนั้น เมื่อพระมหาสัตว์อาศัยความเจริญแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์บวชแล้ว เสด็จถึงอุรุเวลาประเทศโดยลำดับ ทรงพระดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ ที่นี้สมควรที่จะบำเพ็ญเพียรของกุลบุตรผู้มีความต้องการจะบำเพ็ญเพียร จึงเสด็จเข้าไปอยู่ ณ ที่นั้น. เขาได้ฟังข่าวว่า พระมหาบุรุษทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปหาพวกบุตรของพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินข่าวว่า พระสิทธัตถกุมารทรงผนวชแล้ว พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย ถ้าบิดาของท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ ก็จะพึงออกบวชวันนี้ ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะต้องการจงมาซิ พวกเราจักบวชตามพระมหาบุรุษนั้น.
               พวกเขาทั้งหมดไม่สามารถจะมีฉันทะเป็นอันเดียวกันได้ บรรดาชนทั้ง ๗ นั้น ๓ คนไม่บวช ๔ คนนอกนี้บวช โดยตั้งให้โกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า. พราหมณ์ทั้ง ๕ คนนั้นจึงมีชื่อว่าพระปัญจวัคคีย์เถระ.
               ก็ในครั้งนั้น พระเจ้าสุทโธทนะตรัสถามว่า บุตรของเราเห็นอะไรจึงจักบวช. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า เห็นบุพนิมิตทั้ง ๔. ตรัสถามว่า บุพนิมิตอะไรบ้าง. กราบทูลว่า คนแก่ คนเจ็บ คนตายและบรรพชิต.
               พระราชาตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกท่านอย่าได้ให้คนเห็นปานนี้เข้าไปยังสำนักแห่งบุตรของเรา เราไม่มีกิจกรรมที่จะให้บุตรของเราเป็นพระพุทธเจ้า เรามีความประสงค์จะเห็นบุตรของเราครอบครองราชสมบัติจักรพรรดิอันมีความเป็นอิสริยาธิบดีในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ห้อมล้อมด้วยบริษัทอันมีปริมณฑล ๓๖ โยชน์ ท่องเที่ยวไปในพื้นท้องฟ้า.
               ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เพื่อที่จะห้ามมิให้บุพนิมิตทั้ง ๔ ประการนี้มาสู่คลองจักษุพระกุมาร จึงทรงตั้งการอารักขาไว้ในที่ทุกๆ คาวุตในทิศทั้ง ๔.
               ก็วันนั้น เมื่อตระกูลพระญาติแปดหมื่นตระกูลประชุมกันในมงคลสถานแล้ว พระญาติองค์หนึ่งๆ ได้อนุญาตบุตรคนหนึ่งๆ ว่า พระราชกุมารนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระราชาก็ตาม พวกเราจักให้บุตรคนละคน ถ้าแม้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า จักเป็นผู้อันหมู่ขัตติยสมณะห้อมล้อมเที่ยวไป ถ้าแม้จักเป็นพระราชา จักเป็นผู้อันขัตติยกุมารห้อมล้อม กระทำไว้ในเบื้องหน้าเที่ยวไป.
               ฝ่ายพระราชาก็ทรงตั้งนางนมผู้ปราศจากสรรพโรค สมบูรณ์ด้วยรูปอันอุดมแก่พระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์เจริญด้วยบริวารใหญ่ ด้วยสิริโสภาคย์อันยิ่งใหญ่.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงมีงานพระราชพิธีชื่อว่าวัปปมงคล. วันนั้น ประชาชนต่างประดับประดาพระนครทั้งสิ้นประดุจเทพนคร คนทั้งหมดมีทาสและกรรมกรเป็นต้นนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ประชุมกันในราชสกุล เทียมไถถึงพันคันในงานพระราชพิธี.
               ก็ในวันนั้น ไถ ๑๐๘ คันหย่อนไว้คันหนึ่ง (คือ ๑๐๗ คัน) พร้อมทั้งโคผู้ผูกเชือกสายตะพาย หุ้มด้วยเงิน. ส่วนไถที่พระราชาทรงถือ หุ้มด้วยทองคำสุกปลั่ง. แม้เขา เชือกสายตะพายและปฏักของโคผู้ทั้งหลาย หุ้มด้วยทองคำทั้งนั้น.
               พระราชาเสด็จออกด้วยบริวารใหญ่ ได้ทรงพาพระราชบุตรไปด้วย.
               ในสถานที่ประกอบพระราชพิธี มีต้นหว้าต้นหนึ่ง มีใบหนาแน่น มีร่มเงาชิดสนิท. พระราชาทรงให้ปูลาดพระที่บรรทมของพระกุมาร ณ ภายใต้ต้นหว้านั้น ให้ผูกเพดานขจิตด้วยดาวทองไว้เบื้องบน ให้แวดวงด้วยปราการคือพระวิสูตร วางการอารักขาเสร็จแล้ว พระองค์ทรงประดับเครื่องราชอลังการทั้งปวง ห้อมล้อมด้วยหมู่อำมาตย์เสด็จไปยังสถานที่จรดพระนังคัล ณ ที่นั้นพระราชาทรงถือพระนังคัลทองคำ อำมาตย์ทั้งหลายถือไถเงิน ๑๐๗ คัน พวกชาวนาถือไถที่เหลือ. พวกเขาถือไถเหล่านั้นไถไปรอบๆ ส่วนพระราชาทรงไถจากด้านในไปสู่ด้านนอก ไถจากด้านนอกไปสู่ด้านใน. ในที่แห่งหนึ่งมีมหาสมบัติ. พวกนางนมที่นั่งห้อมล้อมพระโพธิสัตว์ คิดว่าจักไปดูสมบัติของพระราชา จึงออกจากพระวิสูตรไปข้างนอก.
               พระโพธิสัตว์ทรงแลดูไปรอบๆ ไม่เห็นมีใครเลย จึงเสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว ทรงนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก ทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นแล้ว. พวกนางนมเที่ยวไปในระหว่างเวลากินอาหาร จึงชักช้าไปหน่อยหนึ่ง. เงาของต้นไม้ที่เหลือคล้อยไป แต่เงาของต้นหว้านั้นคงตั้งอยู่เป็นปริมณฑล. พวกนางนมคิดได้ว่า พระลูกเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว จึงรีบยกพระวิสูตรขึ้นเข้าไปภายใน เห็นพระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิบนพระที่บรรทม และเห็นปาฏิหาริย์นั้น จึงไปกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระกุมารประทับนั่งอย่างนี้ เงาของต้นไม้อื่นๆ คล้อยไปแล้ว แต่เงาของต้นหว้าคงตั้งเป็นปริมณฑลอยู่.
               พระราชารีบเสด็จมา ทรงเห็นปาฏิหาริย์ จึงทรงไหว้พระโอรสโดยตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ นี้เป็นการไหว้เจ้าครั้งที่สอง.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษาโดยลำดับ. พระราชาให้สร้างปราสาทสามหลังอันเหมาะสมแต่ฤดูทั้งสาม เพื่อพระโพธิสัตว์ คือหลังหนึ่งมี ๙ ชั้น หลังหนึ่งมี ๗ ชั้น หลังหนึ่ง ๕ ชั้นและให้หญิงฟ้อนรำสี่หมื่นนางคอยบำเรอรับใช้. พระโพธิสัตว์อันหญิงฟ้อนรำผู้ประดับกายงดงามห้อมล้อม เหมือนเทพบุตรอันหมู่นางอัปสรห้อมล้อมอยู่ ฉะนั้น ถูกบำเรออยู่ด้วยดนตรีไม่มีบุรุษเจือปน เสวยมหาสมบัติอยู่ในปราสาททั้งสามตามคราวแห่งฤดู. ส่วนพระเทวีมารดาพระราหุลเป็นพระอัครมเหสีของพระองค์.
               เมื่อพระองค์เสวยสมบัติอยู่อย่างนั้น วันหนึ่ง ได้มีการพูดกันขึ้นในระหว่างหมู่พระญาติดังนี้ว่า พระสิทธัตถะทรงเที่ยวขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น ไม่ทรงศึกษาศิลปศาสตร์อะไรๆ เมื่อมีสงครามมาประชิดเข้า จักกระทำอย่างไร.
               พระราชารับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ พวกญาติๆ ของลูกพากันพูดว่า สิทธัตถะไม่ศึกษาศิลปศาสตร์อะไรๆ ขวนขวายแต่การเล่นเท่านั้นเที่ยวไป ในเรื่องนี้ ลูกจะเข้าใจอย่างไร ในเวลาประจวบกับพวกศัตรู.
               พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ ขอพระองค์ได้โปรดให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร เพื่อให้มาดูศิลปะของข้าพระองค์ ในวันที่ ๗ แต่วันนี้ไป ข้าพระองค์จักแสดงศิลปศาสตร์แก่หมู่พระญาติ. พระราชาได้ทรงกระทำตามนั้น พระโพธิสัตว์ให้ประชุมนักแม่นธนูผู้สามารถยิงอย่างสายฟ้าแลบ และผู้สามารถยิงขนหางสัตว์ แล้วทรงแสดงศิลปะทั้ง ๑๒ ชนิดแก่พระญาติ ซึ่งไม่ทั่วไปกับพวกนักแม่นธนูอื่นๆ ในท่ามกลางมหาชน.
               เรื่องนั้นพึงทราบตามนัยที่มีมาในสรภังคชาดกนั่นแล.
               ครั้งนั้น หมู่พระญาติของพระองค์ได้หมดข้อสงสัย.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จไปยังอุทยานภูมิ จึงตรัสเรียกนายสารถีมาแล้วตรัสว่า จงเทียมรถ. นายสารถีนั้นรับพระบัญชาแล้ว ประดับรถชั้นสูงสุดอันควรค่ามากด้วยเครื่องประดับทั้งปวงแล้วเทียมม้าสินธพที่เป็นมงคล ๔ ตัว มีสีดังกลีบดอกโกมุทเสร็จแล้ว จึงทูลบอกแก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันเป็นเช่นกับเทพวิมาน ได้เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางอุทยาน.
               เทวดาทั้งหลายคิดว่า กาลที่จะตรัสรู้พร้อมเฉพาะของพระสิทธัตถกุมาร ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจักแสดงบุพนิมิต จึงแสดงเทวบุตรองค์หนึ่ง ให้เป็นคนแก่ชรา มีฟันหัก ผมหงอก หลังโกง มีร่างกายค้อมลง ถือไม้เท้า สั่นงกๆ เงิ่นๆ.
               พระโพธิสัตว์และนายสารถีก็ได้ทอดพระเนตรเห็น และแลเห็นคนแก่ชรานั้น. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้ตรัสถามนายสารถี โดยนัยอันมาในมหาปทานสูตรว่า นี่แน่ะสหาย บุรุษนั่นชื่อไร แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ ดังนี้ ได้ทรงสดับคำของนายสารถีนั้นแล้วทรงดำริว่า แน่ะผู้เจริญ ความเกิดนี้น่าติเตียนจริงหนอ, เพราะชื่อว่าความแก่จักปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดแล้วดังนี้ มีพระทัยสลด เสด็จกลับจากที่นั้นขึ้นสู่ปราสาททันที.
               พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร บุตรของเราจึงกลับเร็ว?
               นายสารถีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เพราะเห็นคนแก่ พระเจ้าข้า.
               พระราชาตรัสว่า พวกเขาพูดกันว่า เพราะเห็นคนแก่จักบวช เพราะเหตุไร พวกเจ้าจึงจะทำเราให้ฉิบหายเสียเล่า จงรีบจัดนางฟ้อนรำให้ลูกเราดู เธอเสวยสมบัติอยู่ จักไม่ระลึกถึงการบวช แล้วทรงเพิ่มการอารักขาให้มากขึ้น วางการอารักขาไว้ในที่ทุกๆ กึ่งโยชน์ ในทิศทั้งปวง.
               วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จไปยังอุทยานเหมือนอย่างเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บที่เทวดานิมิตขึ้น จึงตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ มีพระทัยสลด เสด็จกลับขึ้นสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถามแล้วทรงจัดแจงโดยนัยดังกล่าวในหนหลังนั่นแหละ แต่เพิ่มการอารักขาขึ้นอีก ทรงวางการอารักขาไว้ในที่มีประมาณ ๓ คาวุตโดยรอบ.
               ต่อมาอีกวัน พระโพธิสัตว์เสด็จไปอุทยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็นคนตายที่เทวดานิมิตขึ้น ตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ มีพระทัยสลด หวนกลับขึ้นสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถามแล้วทรงจัดแจงโดยนัยดังกล่าวในหนหลังนั่นแหละ จึงทรงเพิ่มการอารักขาขึ้นอีก ทรงวางการอารักขาไว้ในที่ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ.
               วันรุ่งขึ้นต่อมา พระโพธิสัตว์เสด็จไปอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตนุ่งห่มเรียบร้อยที่เทวดานิมิตไว้อย่างนั้นเหมือนกัน จึงตรัสถามนายสารถีว่า สหาย ผู้นี้ชื่อไร?
               สารถีไม่รู้จักบรรพชิตหรือคุณธรรมของบรรพชิต เพราะยังไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นก็จริง ถึงกระนั้น เพราะอานุภาพของเทวดา เขากล่าวว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผู้นี้ชื่อว่าบรรพชิต แล้วพรรณนาคุณของการบวช.
               พระโพธิสัตว์ยังความพอพระทัยให้เกิดขึ้นในการบวช ได้เสด็จไปยังอุทยานตลอดวันนั้น.
               ฝ่ายพระทีฆภาณกาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปเห็นนิมิตทั้ง ๔ โดยวันเดียวเท่านั้น.
               พระโพธิสัตว์นั้นทรงเล่นอยู่ในอุทยานนั้นตลอดทั้งวัน แล้วสรงสนานในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล มีพระประสงค์จะให้เขาแต่งพระองค์.
               ทีนั้น พวกบริจาริกาของพระองค์ถือเอาผ้าสีต่างๆ เครื่องอาภรณ์หลายชนิดนานัปการและดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ มายืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบ.
               ขณะนั้น อาสนะที่ท้าวสักกะประทับนั่งได้มีความร้อนขึ้น ท้าวสักกะนั้นทรงใคร่ครวญอยู่ว่า ใครหนอมีความต้องการจะให้เราเคลื่อนจากที่นี้ ทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะให้ตกแต่งพระองค์ จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมมาตรัสว่า นี่แน่ะวิสสุกรรมผู้สหาย วันนี้ สิทธัตถกุมารจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ในเวลาเที่ยงคืน การประดับนี้เป็นการประดับครั้งสุดท้ายของพระองค์ ท่านจงไปยังอุทยานประดับตกแต่งพระมหาบุรุษ ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์.
               พระวิสสุกรรมนั้นรับเทวบัญชาแล้ว เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ทันที ด้วยเทวานุภาพเป็นเหมือนกับช่างกัลบกของพระองค์ทีเดียว เอาผ้าทิพย์พันพระเศียรของพระโพธิสัตว์. โดยการสัมผัสมือเท่านั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้ทราบว่า ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ ผู้นี้เป็นเทวบุตร.
               เมื่อพอเขาเอาผ้าพันผืนพันพระเศียรเข้า ผ้าพันผืนก็นูนขึ้นโดยอาการคล้ายแก้วมณีบนพระโมลี เมื่อเขาพันอีก ผ้าพันผืนก็นูนขึ้น เพราะเหตุนั้น เมื่อเขาพัน ๑๐ ครั้ง ผ้าหมื่นผืนก็นูนสูงขึ้น.
               ใครๆ ไม่ควรคิดว่า พระเศียรเล็ก ผ้ามาก พอกนูนขึ้นได้อย่างไร. เพราะบรรดาผ้าเหล่านั้น ผ้าที่ใหญ่กว่าทุกผืน มีขนาดเท่าดอกมะขามป้อม ผ้าที่เหลือมีขนาดเท่าดอกกระทุ่ม พระเศียรของพระโพธิสัตว์ได้เป็นเหมือนดอกสารภีที่หนาแน่นด้วยเกสรฉะนั้น.
               ลำดับนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงแล้ว เมื่อพวกนักดนตรีทั้งปวงแสดงปฏิภาณของตนๆ เมื่อพวกพราหมณ์สรรเสริญด้วยคำมีอาทิว่า ขอพระองค์จงทรงยินดีในชัยชนะ เพราะพวกคนที่ถือการได้ยินได้ฟังว่าเป็นมงคลเป็นต้น สรรเสริญด้วยการประกาศสดุดีด้วยคำอันเป็นมงคลนานัปการ พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันประเสริฐซึ่งประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง.
               สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับว่า มารดาราหุลประสูติพระโอรส จึงส่งสาสน์ไปว่า ท่านทั้งหลายจงบอกความดีใจของเราแก่ลูกของเราด้วย.
               พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้วตรัสว่า ราหุ (ห่วง) เกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว.
               พระราชาตรัสถามว่า บุตรของเราได้พูดอะไรบ้าง ครั้นได้สดับคำนั้นแล้วจึงตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไป หลานของเราจงมีชื่อว่า ราหุลกุมาร.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เสด็จขึ้นทรงรถอันประเสริฐ เสด็จเข้าสู่พระนครด้วยพระยศอันยิ่งใหญ่ ด้วยพระสิริโสภาคย์อันรื่นรมย์ใจยิ่งนัก.
               สมัยนั้น นางขัตติยกัญญาพระนามว่ากีสาโคตมี เสด็จอยู่ ณ พื้นปราสาทชั้นบนอันประเสริฐ เห็นความสง่าแห่งพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์ผู้กระทำประทักษิณพระนคร ทรงเกิดปีติโสมนัส จึงทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
                         บุรุษเช่นนี้ เป็นบุตรของมารดาใด มารดานั้นก็ดับ๑- ได้แน่
                         เป็นบุตรของบิดาใด บิดานั้นก็ดับได้แน่ เป็นสามีของนารีใด
                         นารีนั้นก็ดับได้แน่.
____________________________
๑- หมายถึง สบายใจ, เย็นใจ

               พระโพธิสัตว์สดับคำอันเป็นคาถานั้น ทรงดำริว่า พระนางกีสาโคตมีนี้ตรัสอย่างนี้ว่า หทัยของมารดา หทัยของบิดา หทัยของภริยา ผู้เห็นอัตภาพเห็นปานนี้ ย่อมดับทุกข์ได้ เมื่ออะไรหนอดับ หทัยจึงชื่อว่าดับทุกข์ได้.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ผู้มีหทัยคลายความกำหนัดในกิเลสทั้งหลาย ได้มีพระดำริดังนี้ว่า เมื่อไฟคือราคะดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี เมื่อไฟคือโทสะดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี เมื่อไฟคือโมหะดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี เมื่อความเร่าร้อนเพราะกิเลสทั้งปวงมีมานะทิฏฐิเป็นต้นดับ หทัยชื่อว่าดับก็มี พระนางให้เราฟังคำที่ดี ความจริง เรากำลังเที่ยวแสวงหาความดับอยู่ วันนี้แล เราควรทิ้งการครองเรือนออกไปบวชแสวงหาความดับ. นี้จงเป็นส่วนแห่งอาจารย์สำหรับพระนางเถิด แล้วปลดแก้วมุกดาหารมีค่าหนึ่งแสนจากพระศอ ส่งไปประทานแก่พระนางกีสาโคตมี.
               พระนางเกิดความโสมนัสว่า สิทธัตถกุมารมีจิตปฏิพัทธ์เราจึงส่งเครื่องบรรณาการมาให้.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของพระองค์ ด้วยพระสิริโสภาคย์อันยิ่งใหญ่ เสด็จบรรทมบนพระที่สิริไสยาสน์ ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีนักฟ้อนผู้ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ผู้ศึกษามาดีแล้วในการฟ้อนและการขับเป็นต้น ทั้งงามเลิศด้วยรูปโฉม ประดุจนางเทพกัญญา ถือดนตรีนานาชนิดมาแวดล้อมทำพระโพธิสัตว์ให้อภิรมย์ยินดี ต่างพากันประกอบการฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง.
               พระโพธิสัตว์ไม่ทรงอภิรมย์ยินดีในการฟ้อนรำเป็นต้น เพราะทรงมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายในกิเลสทั้งหลาย ครู่เดียวก็เสด็จเข้าสู่นิทรา.
               ฝ่ายสตรีเหล่านั้นคิดกันว่า พวกเราประกอบการฟ้อนรำเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่พระราชกุมารใด พระราชกุมารนั้นเสด็จเข้าสู่นิทราแล้ว บัดนี้พวกเราจะลำบากไปเพื่ออะไร ต่างพากันวางเครื่องดนตรีที่ถือไว้ๆ แล้วก็นอนหลับไป ดวงประทีป น้ำมันหอมยังคงลุกสว่างอยู่.
               พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ทรงนั่งขัดสมาธิบนหลังพระที่บรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นสตรีเหล่านั้นนอนหลับทับเครื่องดนตรีอยู่ บางพวกมีน้ำลายไหล มีตัวเปรอะเปื้อนน้ำลาย บางพวกกัดฟัน บางพวกนอนกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้าหลุดลุ่ยปรากฏอวัยวะเพศอันน่าเกลียด.
               พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นอาการผิดแผกของสตรีเหล่านั้น ได้ทรงมีพระหฤทัยเบื่อหน่ายในกามทั้งหลายยิ่งกว่าประมาณ พื้นใหญ่นั้นตกแต่งประดับประดาไว้แม้จะเป็นเช่นกับภพของท้าวสักกะ ก็ปรากฏแก่พระองค์ประหนึ่งว่า ป่าช้าผีดิบซึ่งเต็มด้วยซากศพนานาชนิด ภพทั้ง ๓ ปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟไหม้ จึงเปล่งอุทานว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ. พระทัยของพระองค์ทรงน้อมไปเพื่อบรรพชายิ่งขึ้น.

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค ๑. พุทธาปทาน
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑]
อรรถกถา เล่มที่ 32 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 32 / 2อ่านอรรถกถา 32 / 412
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=32&A=1&Z=146
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=49&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=49&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :