ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 726อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 731อ่านอรรถกถา 31 / 737อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค
๙. วิปัสสนากถา

               อรรถกถาวิปัสสนากถา               
               บัดนี้จะพรรณนาตามความที่ยังไม่พรรณนาแห่งวิปัสสนากถาอันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงประเภทแห่งวิปัสสนาในลำดับแห่งสติปัฏฐานกถา ปฏิสังยุตด้วยวิปัสสนาตรัสแล้ว.
               พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นก่อนดังต่อไปนี้.
               บทว่า โส เพราะเป็นสรรพนาม จึงเป็นอันสงเคราะห์ภิกษุแม้ทั้งหมดที่มีอยู่.
               บทว่า วต เป็นนิบาตลงในอรรถเอกังสะ (ทำบทให้เต็ม).
               บทว่า กญฺจิ สงฺขารํ สังขารไรๆ คือสังขารแม้มีประมาณน้อย.
               ในบทว่า อนุโลมิกาย ขนฺติยา ด้วยอนุโลมขันตินี้มีความดังนี้.
               ชื่อว่า อนุโลมิกะ เพราะวิปัสสนานั่นแหละย่อมอนุโลมโลกุตรมรรค ชื่อว่า อนุโลมิกา เพราะเพ่งถึงขันตินั่นแหละ.
               ชื่อว่า ขนฺติ เพราะสังขารทั้งปวงย่อมพอใจย่อมชอบใจแก่ภิกษุนั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยเป็นอนัตตา.
               ขันตินั้นมี ๓ อย่าง คือ อย่างอ่อน ๑ อย่างกลาง ๑ อย่างกล้า ๑.
               ขันติมีการพิจารณาเป็นกลาปะ (กลุ่มก้อน) เป็นเบื้องต้น มีอุทยัพพยญาณเป็นที่สุด เป็นอนุโลมขันติอย่างอ่อน.
               ขันติมีการพิจารณาถึงความดับเป็นเบื้องต้น มีสังขารอุเบกขาญาณเป็นที่สุด ชื่อว่าอนุโลมขันติอย่างกลาง.
               ขันติเป็นอนุโลมญาณ (ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ) ชื่อว่าอนุโลมขันติอย่างกล้า.
               บทว่า สมนฺนาคโต ประกอบแล้วคือเข้าถึงแล้ว.
               บทว่า เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ คือไม่เป็นฐานะไม่เป็นเหตุที่จะมีได้ตามที่กล่าวแล้ว.
               ในบทนี้ว่า สมฺมตฺตนิยามํ สัมมัตตนิยาม (ความชอบและความแน่นอน) นี้มีความดังนี้.
               ชื่อว่า สมฺมตฺโต เพราะเป็นสภาวะชอบโดยความหวังอย่างนี้ว่า จักนำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้แก่เรา โดยความเจริญอย่างนี้ว่า จักนำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้แก่เราโดยความเจริญอย่างนั้น และโดยปรากฏความเป็นไปอันไม่วิปริต ในสิ่งไม่งามเป็นต้นว่าเป็นของงาม.
               ชื่อว่า นิยาโม เพราะเป็นความแน่นอนด้วยการให้ผลในลำดับและด้วยการบรรลุพระอรหัต.
               ความว่า การตั้งใจแน่วแน่.
               ชื่อว่า สมฺมตฺตนิยาโม เพราะความชอบและความแน่นอน.
               นั้นคืออะไร คือโลกุตรมรรค แต่โดยพิเศษก็คือโสดาปัตติมรรค.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า๑- นิยโต สมฺโพธิปรายโน มีการตรัสรู้ในเบื้องหน้าแน่นอน เพราะแน่นอนด้วยมรรคนิยาม สู่สัมมัตตนิยามนั้น.
____________________________
๑- วิ. มหาวิ. เล่ม ๑/ข้อ ๘  ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๒๕๐

               บทว่า โอกฺกมิสฺสติ จักย่างลง คือจักเข้าไป. อธิบายว่า ข้อนั้นมิใช่ฐานะ.
               อนึ่ง พึงทราบว่า ท่านไม่ยึดถือฐานะนั้นเพราะความที่โคตรภูเป็นที่ตั้งแห่งอาวัชชนะของมรรค แล้วกล่าวถึงการก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามในลำดับแห่งอนุโลมขันติ.
               อีกอย่างหนึ่ง ในมหาวิปัสสนา ๑๘ โคตรภูเป็นวิวัฏฏนานุปัสสนา (การพิจารณาถึงนิพพาน) ถึงเหตุนั้น จึงเป็นอันสงเคราะห์เข้าในอนุโลมิกขันตินั่นแหละ.
               แม้ใน ๔ สูตรก็พึงทราบความโดยนัยนี้แหละด้วยบทเหล่านี้ ท่านกล่าว ๔ สูตรไว้ในฉักกนิบาตว่า๒- ธรรม ๖ อย่าง ด้วยสามารถอนุโลมิกขันติ สัมมัตตนิยามและอริยผล ๔ เป็นความจริง สูตร ๔ สูตรย่อมมีด้วยปักษ์ทั้งสองคือกัณหปักษ์และกุศลปักษ์.
____________________________
๒- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๖๙

               พระโยคาวจรผู้เริ่มวิปัสสนาด้วยการพิจารณากลาปะกำหนดนามรูปและปัจจัยแห่งนามรูปในบทมีอาทิว่า ปญฺจกฺขนฺเธ อนิจฺจโต พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงในสุตตันตนิเทศอันมีคำถามเป็นเบื้องต้นว่า กตีหากาเรหิ ด้วยอาการเท่าไรแล้วเห็นว่าขันธ์หนึ่งๆ ในขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง เพราะปรากฏแล้วและเพราะมีเบื้องต้นและที่สุด.
               โดยความเป็นทุกข์ เพราะมีเกิดดับ และบีบคั้นและเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
               โดยความเป็นโรค เพราะยังมีชีวิตให้เป็นไปด้วยปัจจัยและเพราะเป็นเหตุแห่งโรค.
               โดยเป็นดังหัวฝี เพราะประกอบด้วยความทุกข์และความเสียดแทง เพราะอสุจิคือกิเลสไหลออก และเพราะบวมแก่จัดและแตกด้วยเกิดแก่และดับ.
               โดยความเป็นดังลูกศร เพราะให้เกิดความบีบคั้น เพราะเสียดแทงภายใน และเพราะนำออกได้ยาก.
               โดยความลำบาก เพราะน่าติเตียน เพราะนำความไม่เจริญมาให้ และความชั่วร้าย.
               โดยความป่วยไข้ เพราะให้เกิดความไม่มีเสรี และเพราะเป็นที่ตั้งแห่งความอาพาธ.
               โดยความเป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีอำนาจและเพราะไม่เชื่อฟัง.
               โดยความเป็นของชำรุดด้วยพยาธิชราและมรณะ.
               โดยความเป็นเสนียด เพราะนำความพินาศไม่น้อยมาให้.
               โดยความเป็นอุบาทว์ เพราะนำความพินาศมากมายอันไม่รู้แล้วมาให้ และเพราะเป็นวัตถุแห่งอันตรายทั้งปวง.
               โดยความเป็นภัย เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งภัยทั้งปวง และเพราะเป็นปฏิปักษ์แห่งความหายใจเข้าเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือสงบยากโดยความเป็นอุปสรรค เพราะถูกความพินาศไม่น้อยติดตาม เพราะเกี่ยวข้องด้วยโทสะ และเพราะอดกลั้นไม่ได้ดุจอุปสรรค.
               โดยความหวั่นไหว เพราะหวั่นไหวด้วยพยาธิชราและมรณะและโลกธรรมมีลาภเป็นต้น.
               โดยความผุพัง เพราะเข้าถึงความผุพังด้วยความพยายามและด้วยหน้าที่.
               โดยความไม่ยั่งยืน เพราะสิ่งที่ตั้งอยู่ตกไป และเพราะความไม่มีความมั่นคง.
               โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน เพราะต้านทานไม่ได้และเพราะไม่ได้รับความปลอดโปร่ง.
               โดยความเป็นของไม่มีอะไรลับลี้ เพราะไม่ควรเพื่อติดและเพราะแม้สิ่งที่ติดก็ไม่ทำการป้องกันได้.
               โดยความไม่เป็นที่พึ่ง เพราะไม่มีสิ่งที่อาศัยอันจะเป็นสาระในความกลัวได้.
               โดยความเป็นของว่าง เพราะว่างจากความยั่งยืนความสุขและอาหารอร่อยตามที่กำหนดไว้.
               โดยความเป็นของเปล่า เพราะเป็นของว่างนั่นเอง หรือเพราะเป็นของน้อย เพราะของแม้น้อยท่านก็กล่าวว่าเป็นของเปล่าในโลก.
               โดยความเป็นของสูญ เพราะปราศจากเจ้าของที่อยู่อาศัยผู้รู้ผู้กระทำผู้ตั้งใจ
               โดยความเป็นอนัตตา เพราะตนเองไม่เป็นเจ้าของเป็นต้น.
               โดยความเป็นโทษ เพราะเป็นทุกข์ประจำและความที่ทุกข์เป็นโทษ.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อาทีนโว เพราะฟุ้งไปคือเป็นไปแห่งโทษทั้งหลาย บทนี้เป็นชื่อของมนุษย์ขัดสน.
               อนึ่ง แม้ขันธ์ ๕ ก็เป็นความขัดสนเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าโดยความเป็นโทษ เพราะเป็นเช่นกับโทษนั่นเอง.
               โดยมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะตามปกติก็แปรปรวนโดยสองส่วน คือโดยชราและมรณะ.
               โดยความไม่มีสาระ เพราะไม่มีกำลังและเพราะทำลายความสุขดุจกระพี้.
               โดยความเป็นเหตุแห่งความลำบาก เพราะเป็นเหตุแห่งความชั่วร้าย.
               โดยความเป็นดังฆาตกร เพราะทำลายความวิสาสะดุจข้าศึก ปากพูดว่าเป็นมิตร.
               โดยปราศจากความเจริญ เพราะหมดความเจริญ และความสมบูรณ์.
               โดยเป็นของมีอาสวะ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ.
               โดยเป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง เพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง.
               โดยความเป็นเหยื่อของมาร เพราะเป็นเหยื่อของมัจจุมารและกิเลสมาร.
               โดยความเป็นของมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา เพราะมีชาติ ชรา พยาธิและมรณะเป็นปกติ.
               โดยเป็นของมีความโศก ความคร่ำครวญ ความคับแค้นเป็นธรรมดา เพราะมีความโศก ความคร่ำครวญ และความคับแค้นเป็นเหตุ.
               โดยความเป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา เพราะความที่ตัณหา ทิฏฐิ ทุจริตและสังกิเลสเป็นวิสยธรรมดา.
               อนึ่ง ในบทเหล่านี้ทั้งหมดพึงเห็นปาฐะที่เหลือว่า ปสฺสติ ดังนี้.
               บทว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ขันธ์ ๕ แม้เมื่อกล่าวโดยส่วนรวมก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวพรรรณนาอรรถด้วยขันธ์หนึ่งๆ เพราะมาต่างหากกันในกลาปสัมมสนนิเทศ เพราะในที่สุดคำนวณอนุปัสสนา ด้วยสามารถขันธ์ทั้งหลายต่างหากกัน และเพราะมีความเป็นไปแม้ในส่วนอวัยวะ แห่งคำที่เป็นไปในส่วนรวมกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า ปญฺจกฺขนฺเธ ด้วยการกล่าวย่อสัมมสนะอันเป็นไปต่างหากกันร่วมเป็นอันเดียวกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง การพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกัน เพราะปรากฏคำในอรรถกถาว่า ด้วยการประหารครั้งเดียว ขันธ์ ๕ ก็ออกไปดังนี้ ย่อมควรทีเดียว.
               บทว่า ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง คือเมื่อพิจารณาเห็นว่า นิพพานเที่ยงด้วยอำนาจแห่งญาณอันเป็นทางสงบ ในกาลแห่งวิปัสสนาตามที่กล่าวแล้วในอาทีนวญาณนิเทศ.
               บทว่า สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม คือย่อมหยั่งลงในขณะแห่งมรรค ก็ชื่อว่าหยั่งลงในขณะแห่งผลด้วย ในปริยายแห่งการหยั่งลงในนิยามทั้งหมดก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า อาโรคยํ คือ ความไม่มีโรค.
               บทว่า วิสลฺลํ คือ ปราศจากลูกศร.
               ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า อนาพาธํ คือ ปราศจากอาพาธ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่ออาพาธ.
               ในบทเช่นนี้ก็นัยนี้.
               บทว่า อปรปจฺจยํ คือ ปราศจากปัจจัยอื่น. อาจารย์บางพวกกล่าวประกอบกันว่า อุปสฺสคฺคโตติ จ อนุปสฺสคฺคนฺติ จ เห็นขันธ์ ๕ โดยมีอุปสรรคและนิพพานไม่มีอุปสรรค.
               บทว่า ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
               บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.
               ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา.
               บทว่า อนาสวํ คือ ปราศจากอาสวะ.
               บทว่า นิรามิสํ คือ ปราศจากอามิส.
               บทว่า อชาตํ คือ ไม่เกิดเพราะปราศจากความเกิด.
               บทว่า อมตํ คือ ปราศจากความตายเพราะไม่ดับ.
               จริงอยู่ แม้ความตายท่านก็กล่าวว่า มตํ เพราะเป็นนปุงสกลิงค์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการสงเคราะห์เป็นอันเดียวกันในอนุปัสสนา ๓ ด้วยสงเคราะห์ตามสภาวธรรมในอนุปัสสนา ๔๐ อันแตกต่างกันโดยอาการดังกล่าวแล้วตามลำดับนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า อนิจฺจโตติ อนิจฺจานุปสฺสนา การพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนิจจานุปัสสนา พึงประกอบในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาตามสมควรในอนุปัสสนาเหล่านั้น แต่ในที่สุดท่านแสดงอนุปัสสนาเหล่านั้นด้วยการคำนวณต่างกัน.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจวีสติ ๒๕ คือ อนัตตานุปัสสนา ๒๕ ในขันธ์ ๕ ทำขันธ์หนึ่งๆ อย่างละ ๕ คือ ปรโต (โดยเป็นอย่างอื่น) ๑ ริตฺตโต (โดยเป็นของว่าง) ๑ ตุจฺฉโต (โดยเป็นของเปล่า) ๑ สุญฺญโต (โดยเป็นของสูญ) ๑ อนตฺตโต (โดยเป็นอนัตตา) ๑.
               บทว่า ปญฺญาส ๕๐ คือ อนิจจานุปัสสนา ๕๐ ในขันธ์ ๕ ทำขันธ์หนึ่งๆ อย่างละ ๑๐ คือ อนิจฺจโต (โดยเป็นของไม่เที่ยง) ๑ ปโลกโต (โดยการทำลาย) ๑ จลโต (โดยความหวั่นไหว) ๑ ปภงคุโต (โดยความผุพัง) ๑ อทธุวโต (โดยความไม่ยั่งยืน) ๑ วิปริณามธมฺโต (โดยความแปรปรวนเป็นธรรมดา) ๑ อสารกโต (โดยความไม่มีสาระ) ๑ วิภวโต (โดยปราศจากความเจริญ) ๑ สงฺขโต (โดยปัจจัยปรุงแต่ง) ๑ มรณธมฺมโต (โดยมีความตายเป็นธรรมดา) ๑.
               บทว่า สตํ สญฺจวีสติ ๑๒๕ คือ ทุกขานุปัสสนา ๑๒๕ ในขันธ์ ๕ ทำขันธ์หนึ่งๆ อย่างละ ๒๕ มีอาทิว่า ทุกฺขโต โรคโต.
               บทว่า ยานิ ทุกฺเข ปวุจฺจเร พึงทราบการเชื่อม ความว่า อนุปัสสนาที่ท่านกล่าวด้วยสามารถการคำนวณขันธปัญจกอันเป็นทุกข์ ๑๒๕ อย่าง.
               อนึ่ง ในบทว่า ยานิ นี้พึงเห็นว่าเป็นลิงควิปลาส.

               จบอรรถกถาวิปัสสนากถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค ๙. วิปัสสนากถา จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 726อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 731อ่านอรรถกถา 31 / 737อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=10812&Z=10974
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=48&A=8284
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=48&A=8284
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๗  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :