ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 469อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 517อ่านอรรถกถา 31 / 523อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค
๖. คติกถา

               อรรถกถาคติกถา               
               บัดนี้ การพรรณนาความตามลำดับที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งคติกถาอันพระสารีบุตรเถระแสดงถึงเหตุสมบัติอันเป็นเหตุแห่งการเกิดวิโมข์นั้นกล่าวไว้แล้ว.
               แม้ฌานก็จะไม่เกิดขึ้น แม้แก่ผู้เป็นทุเหตุกปฏิสนธิ เพราะพระบาลีว่า๑- นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ก็วิโมกข์จะเกิดได้อย่างไร.
____________________________
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๕

               ในบทเหล่านั้น บทว่า คติสมฺปตฺติยา คติสมบัติ คือ คติสมบัติอันได้แก่มนุษย์และเทพในบรรดาคติ ๕ คือ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์และเทพ. ด้วยบทนี้แลท่านปฏิเสธคติวิบัติ ๓ ข้างต้น. สมบัติแห่งคติ ชื่อว่าคติสมบัติ. ท่านอธิบายว่า สุคติ.
               อนึ่ง ขันธ์ทั้งหลายพร้อมกับโอกาส ชื่อว่าคติ. และในคติ ๕ ท่านถือเอาแม้อสุรกาย ด้วยศัพท์ว่า เปตติวิสัย.
               บทว่า เทวา ได้แก กามาวจรเทพ ๖ และพรหมทั้งหลาย.
               แม้อสูรท่านก็สงเคราะห์ศัพท์ว่า เทว.
               บทว่า ญาณสมฺปยุตฺเต ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คือในขณะปฎิสนธิสัมปยุตด้วยญาณ.
               จริงอยู่ แม้ขณะก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยโวหารนั้นนั่นเอง เพราะประกอบด้วยญาณสัมปยุต.
               บทว่า กตีนํ เหตูนํ แห่งเหตุเท่าไร คือ แห่งเหตุเท่าไร ในบรรดาอโลภเหคุ อโทสเหตุและอโมหเหตุ.
               บทว่า อุปฺปตฺติ คือการเกิด.
               อนึ่ง เพราะแม้เกิดในตระกูลศูทรก็เป็นติเหตุกะได้ ฉะนั้น คำถามแรกจึงหมายถึงติเหตุกะเหล่านั้น และเพราะคนมีบุญมาก โดยมากเกิดในตระกูลมหาศาล ๓ ตระกูล ฉะนั้นคำถามจึงมี ๓ อย่าง ด้วยสามารถแห่งตระกูล ๓ เหล่านั้น แต่ท่านย่อปาฐะไว้.
               ชื่อว่า มหาสาลา เพราะมีสมบัติมาก. อธิบายว่า มีเรือนใหญ่ มีสมบัติมาก.
               อีกอย่างหนึ่ง ควรกล่าวว่า มหาสารา เพราะมีทรัพย์มาก ท่านกล่าวว่า มหาสาลา เพราะแปลง อักษรเป็น อักษร.
               ชื่อว่า ขตฺติยมหาสาลา เพราะเป็นกษัตริย์มหาศาล หรือมหาศาลในกษัตริย์.
               แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ในบทนั้น กษัตริย์ใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๑๐๐ โกฏิไว้ที่พระราชมณเฑียร ใช้จ่ายกหาณะวันละ ๒๐ อัมพณะ กษัตริย์นี้ชื่อว่ากษัตริย์มหาศาล.
               พราหมณ์ใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๘๐ โกฏิไว้ที่เรือน ใช้จ่ายกหาณะวันละ ๑๐ อัมพณะ พราหมณ์นี้ชื่อว่าพราหมณมหาศาล.
               คหบดีใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๔๐ โกฏิไว้ที่เรือน ใช้จ่ายกหาณะวันละ ๕ อัมพณะ คหบดีนี้ชื่อว่าคหบดีมหาศาล.
               เพราะเทพชั้นรูปาวจร และเทพชั้นอรูปาวจรเป็นติเหตุกะโดยส่วนเดียว ท่านจึงไม่กล่าวว่า ญาณสมฺปยุตฺเต ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ.
               แต่ในมนุษย์ทั้งหลาย เพราะมีทุเหตุกะและอเหตุกะ และในเทพชั้นกามาวจรที่เหลือเพราะมีทุเหตุกะ ท่านจึงกล่าว ญาณสมฺปยุตฺเต.
               อนึ่ง กามาวจรเทพทั้งหลายในที่นี้ ชื่อว่าเทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในกามคุณ ๕ และรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่งร่างกาย.
               รูปาวจรพรหมทั้งหลาย ชื่อว่าเทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในฌาน และรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่งร่างกาย.
               อรูปาวจรพรหมทั้งหลาย ชื่อว่าเทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในฌาน และรุ่งเรืองด้วยรุ่งเรืองแห่งฌาน.
               บทว่า กุสลกมฺมสฺส ชวนกฺขเณ ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม คือในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรมอันเป็นติเหตุกกามาวจรอันยังติเหตุกปฏิสนธิให้เกิดใอดีตชาติ ๗ วาระ ด้วยอำนาจการเกิดบ่อยๆ ในชวนวิถีจิต. ความว่า ในกาลอันเป็นไป.
               บทว่า ตโย เหตู กุสลา เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นกุศลเหตุ.
               บทว่า ตสฺมึ ขเณ ชาตเจตนาย แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น คือแห่งกุศลเจตนาที่เกิดในขณะดังกล่าวแล้วนั้น.
               บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสหชาตปัจจัย คือเมื่อเกิดย่อมเป็นอุปการะโดยความเกิดร่วมกัน.
               บทว่า เตน วุจฺจติ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว คือกล่าวด้วยความเป็นสหชาตปัจจัยนั้นนั่นแล.
               บทว่า กุสลมูลปจฺจยาปิ สงฺขารา แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัยก็เกิดสังขาร ท่านกล่าวโดยนัยแห่งปัจยาการอันเป็นไปในขณะจิตดวงเดียว.
               อนึ่ง พึงทราบว่า ท่านสงเคราะห์เจตสิกทั้งหมดอันสงเคราะห์ด้วยสังขารขันธ์ในบทนั้นด้วยพหุจตนะว่า สงฺขารา สังขารทั้งหลาย.
               ท่านกล่าวว่า กุสลมูลานิ บ้าง แม้เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารด้วย อปิศัพท์.
               บทว่า นิกฺกนฺติกฺขเณ ในขณะความพอใจแห่งสังขาร อันเกิดขึ้นในกรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้าเพื่อให้วิบากของตน ในกรรมนิมิตหรือในคตินิมิตอันปรากฏด้วยกรรมที่ปรากฏแล้วอย่างนั้น.
               บทว่า นิกนฺติ ความพอใจ คือ ความใคร่ ความปรารถนา.
               จริงอยู่ เพราะใกล้จะตายมีจิตวุ่นวายด้วยโมหะ ความพอใจย่อมเกิดขึ้น แม้ในจ่ายแห่งอเวจีมหานรก ส่วนในนิมิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร.
               บทว่า เทฺว เหตู เหตุ ๒ ประการ คือ โลภะ โมหะเป็นอกุศลเหตุ. ส่วนความพอใจในภพปรารภขันธสันดานของตนเพียงออกไปจากภวังควิถี อันเป็นไปแล้วในลำดับแห่งปฏิสนธิ ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่สังขารทั้งปวง.
               บทมีอาทิอย่างนี้ว่า๒- ก็หรือว่า อกุศลธรรมไม่เคยเกิดขึ้นแก่บุคคลใด ในภูมิใด กุศลธรรมทั้งหลายก็ไม่เคยเกิดแก่บุคคลนั้น ในภูมินั้นหรือ?
               มีคำตอบว่า ใช่ ดังนี้ท่านกล่าวหมายถึงความพอใจนี้นั่นแล.
____________________________
๒- อภิ. ย. เล่ม ๓๙/ข้อ ๑๒๗

               บทว่า ตสฺมึ ขเร ชาตเจตนาย แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น คืออกุศลเจตนา.
               บทว่า ปฏิสนฺธิกฺขเณ ในขณะแห่งปฏิสนธิ คือในขณะแห่งปฏิสนธิที่ถือเอาแล้วด้วยกรรมนั้น.
               บทว่า ตโต เหตู เหตุ ๓ ประการ คืออโลภะ อโทสะ อโมหะเป็นอัพยากตเหตุ.
               บทว่า ตสฺมึ ขเณ ชาตเจตนาย แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น คืออัพยากตเจตนาอันเป็นวิบาก.
               ในบทนี้ว่า นามรูปปจฺจยาปิ วิญฺญาณํ แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณในขณะปฏิสนธินั้น วิบากเหตุ ๓ และเจตสิกที่เหลือเป็นนาม หทยวัตถุเป็นรูป แม้แต่นามรูปเป็นปัจจัยนั้นปฏิสนธิวิญญาณย่อมเป็นไป.
               นามแม้ในบทว่า วิญฺญาณปจฺจยาปิ นามรูปํ แม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยก็มีนามรูปนี้ มีประการดังได้กล่าวแล้ว.
               ส่วนรูปในบทนี้ได้แก่ รูป ๓๐ คือ วัตถุทสกะ กายทสกะ ภาวทสกะ ของสัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ เพราะท่านประสงค์เอามนุษย ปฏิสนธิพร้อมด้วยเหตุ.
               อนึ่ง ได้แก่ รูป ๗๐ คือ จักขุทสกะ โสตทสกะ ฆานทสกะ ชิวหาทสกะ (และรูป ๓๐ ข้างต้น) ของสังเสทชะ โอปปาติกะซึ่งมีอายตนะครบ นามรูปมีประการดังนี้แล้วนั้น ย่อมเป็นไปเพราะปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจัยในขณะปฏิสนธิ.
               ในบทนี้ว่า ปญจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ คือ รูปที่ได้ในขณะปฏิสนธิด้วยปฏิสนธิจิตเป็นรูปขันธ์ เวทนาที่เกิดร่วมกันเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือเป็นสังขารขันธ์ ปฏิสนธิจิตเป็นวิญญาณขันธ์.
               บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสหชาตปัจจัย คือขันธ์ไม่มีรูป ๔ เป็นสหชาตปัจจัยของกันและกัน มหาภูตรูป ๔ ในรูปขันธ์เป็นสหชาตปัจจัยของกันและกัน ขันธ์ไม่มีรูปและหายรูปเป็นสหชาตปัจจัยของกันและกัน แม้มหาภูตรูปก็เป็นสหชาตปัจจัยของอุปาทารูป.
               บทว่า อญฺญมญฺญปจฺจยา โหนฺติ เป็นอัญญมัญญปัจจัย.
               บทว่า นิสฺสยปจฺจยา โหนติ เป็นนิสสยปัจจัย คือ เบญจขันธ์เป็นอุปการะโดยอาการตั้งมั่นไว้และโดยอาการเป็นที่อาศัยขันธ์ไม่มีรูป ๔ เป็นนิสสยปัจจัยของกันและกัน เพราะเหตุนั้นพึงให้พิสดารดุจสหชาตปัจจัย.
               บทว่า วิปฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ เป็นวิปปยุตตปัจจัยคือเบญจขันธ์เป็นอุปการะโดยความวิปปยุตตปัจจัยของปฏิสนธิรูป หทัยรูปเป็นวิปปยุตตปัจจัยของขันธ์ไม่มีรูป เพราะในบทนี้ว่า ปญฺจกฺขนฺธา ท่านกล่าวด้วยสามารถตามที่มีได้ด้วยประการฉะนี้.
               ในบทว่า จตฺตาโร มหาภูตา มหาภูตรูป ๔ นี้ท่านกล่าวถึงปัจจัย ๓ ก่อน.
               บทว่า ตโย ชีวิตสงฺขารา เครื่องปรุงชีวิต ๓ ประการ คือ อายุ ไออุ่นและวิญญาณ.
               บทว่า อายุ ได้แก่ รูปชีวิตินทรีย์และอรูปชีวิตินรีย์.
               บทว่า อุสฺมา ได้แก่ เตโชธาตุ.
               บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ.
               จริงอยู่ ชื่อว่าชีวิตสังขาร เพราะอายุ ไออุ่นและวิญญาณเหล่านี้ย่อมปรุงชีวิตสังขาร คือให้เป็นไปยิ่งๆ ขึ้น.
               บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสหชาตปัจจัย.
               พึงทราบว่า อรูปชีวิตินทรีย์และปฏิสนธิวิญญาณเป็นอัญญมัญญปัจจัยและสหชาตปัจจัยของขันธ์อันสัมปยุตกันและหทัยรูป เตโชธาตุเป็นอัญญมัญญปัจจัยและสหชาตปัจจัยของมหาภูตรูป ๓ และเป็นสหชาตปัจจัยของอุปาทารูป รูปชีวิตินรีย์เป็นสหชาตปัจจัยโดยปริยายของสหชาตรูป.
               บทว่า อญฺญมญฺญปจฺจยา โหนฺติ นิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย คือ อรูปชีวิตินรีย์และปฏิสนธิวิญญาณทั้ง ๒ เป็นอัญญมัญญปัจจัยของขันธ์อันสัมยุตกัน.
               พึงทราบประกอบโดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ว่า อญฺญมญฺญนิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ เป็นอัญญมัญญปัจจัยและนิสปัจจัย
               บทว่า วิปฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ เป็นวิปปยุตตปัจจัย คือ อรูปชีวิตินรีย์และปฏิสนธิวิญญาณย่อมเป็นวิปปยุตตปัจจัยของปฏิสนธิรูป. ส่วนรูปชีวิตินทรีย์ไม่เหมาะในความเป็นอัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัยและวิปปยุตตปัจจัย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวด้วยอำนาจตามที่มีได้ว่า ตโย ชีวิตสงฺขารา เครื่องปรุงชีวิต ๓ ดังนี้.
               พึงประกอบนามและรูปในความเป็นปัจจัย ๔ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นเอง.
               บทว่า จุทฺทส ธมฺมา คือธรรม ๑๔ ประการ โดยจำนวนอย่างนี้คือ ขันธ์ ๕ มหาภูตรูป ๔ ชีวิตสังขาร ๓ นาม ๑ รูป ๑.
               ความเป็นปัจจัยมีสหชาตเป็นปัจจัยเป็นต้นของธรรมเหล่านั้น และธรรมอื่นข้างหน้ามีนัยดังกล่าวแล้ว.
               บทว่า สมฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสัมปยุตตปัจจัย คือธรรมทั้งหลายเป็นอุปการะโดยความสัมปยุตกัน กล่าวคือมีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน.
               บทว่า ปญฺจินฺทฺริยา อินทรีย์ ๕ ได้แก่ สัทธินทรีย์เป็นต้น.
               บทว่า นามญฺจ ในที่นี้ได้แก่ ขันธื ๓ มีเวทนาขันธ์เป็นต้น.
               บทว่า วิญฺญาณญฺจ ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ.
               บทว่า จุทฺทส ธมฺมา คือ ธรรม ๑๔ ประการอีกโดยจำนวนอย่างนี้คือ ขันธ์ ๔ อินทรีย์ ๕ เหตุ ๓ นาม ๑ รูป ๑.
               บทว่า อฏฺฐวีสติ ธมฺมา ธรรม ๒๘ ประการ คือ ตอนต้น ๑๔ และธรรมเหล่านี้ ๑๔. เพราะแม้รูปก็เข้าไปในธรรมนี้ ท่านจึงนำสัมยุตปัจจัยออกแล้วกล่าววิปยุตปัจจัย.
               พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงถึงประเภทของปัจจัยนั้นๆ แห่งธรรมอันเกิดขึ้นเพราะปัจจัยนั้นๆ ซึ่งมีอยู่ในปฏิสนธิอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงสรุปเหตุที่ชี้แจงไว้แต่ต้น จึงกล่าวว่า อิเมสํ อฏฺฐนฺนํ เหตูนํ ปจฺจยา อุปฺปตฺติ โหติ ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ ๘ ประการเหล่านี้.
               เหตุ ๘ ประการอย่างนี้คือ กุศลเหตุ ๓ ในขณะประมวลกรรม อกุศลเหตุ ๒ ในขณะพอใจ อัพยากตเหตุ ๓ ในขณะปฏิสนธิ.
               ในเหตุเหล่านั้น กุศลเหตุ ๓ และอกุศลเหตุ ๒ เป็นอุปนิสสยปัจจัยโดยความเป็นไปในขณะปฏิสนธินี้ อัพยากตเหตุ ๒ เป็นอุปนิสสยปัจจัยโดยความเป็นไปในขณะปฏิสนธินี้ อัพยากตเหตุ ๒ เป็นปัจจัยด้วยอำนาจเหตุปัจจัยและสหชาตปัจจัยตามสมควร.
               แม้ในวาระที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               อนึ่ง เพราะอรูปาวจรไม่มีรูป ท่านจึงกล่าวว่า แม้นามเป็นปัจจัยก็มีวิญญาณ แม้วิญญาณเป็นปัจจัยก็มีนาม. แม้ธรรม ๑๔ ปนกับรูปก็ลดไป เพราะธรรมนั้นลดในวาระว่า อฏฺฐวีสติ ธมฺมา ธรรม ๒๘ ประการจึงไม่ได้.
               บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงติเหตุปฏิสนธิอันเป็นปัจจัยแห่งวิโมกข์แล้วประสงค์จะแสดงติเหตุกปฏิสนธิให้พิเศษด้วยการสัมพันธ์กันนั้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า คติสมฺปตฺติยา ญาณวิปฺปยุตฺเต ในกรรมอันไม่ประกอบด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิด.
               บทว่า กุสลกมฺมสฺส ชวนกฺขเณ ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม คือในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรมอันเป็นทุเหตุกะ อันให้เกิดปฏิสนธิในอดีตชาติ ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               บทว่า เทฺว เหตู เหตุ ๒ ประการ คือ อโลภะ อโทสะเป็นกุศลเหตุ เพราะไม่ประกอบด้วยญาณ. แม้อัพยากตเหตุก็มี ๒ คืออโลภะ อโทสะเหมือนกัน.
               บทว่า จตฺตาริ อินฺทฺริยานิ คืออินทรีย์ ๔ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น เว้นปัญญินทรีย์.
               บทว่า ทฺวาทส ธมฺมา ธรรม ๑๒ ประการ คือ ธรรม ๑๒ ประการ เพราะปัญญินทรีย์ และอโมหเหตุลดไป เพราะธรรม ๒ ประการนั้นลดไปจึงเป็นธรรม ๒๖.
               บทว่า ฉนฺนํ เหตูนํ คือแห่งเหตุ ๖ ประการ อย่างนี้คือกุศลเหตุ ๒ อกุศลเหตุ ๒ วิปากเหตุ ๒.
               แต่ในที่นี้ไม่ถือเอารูปาวจรและอรูปาวจร เพราะเป็นติเหตุกะโดยส่วนเดียว.
               พึงทราบบทที่เหลือโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในปฐมวาระนั่นแหละ.
               ในวาระนี้ท่านกล่าวไว้ว่า ปฏิสนธิอันเป็นทุเหตุกะ ย่อมไม่มีด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะ เพราะกรรมอันเป็นทุเหตุกะท่านกล่าวแล้ว ด้วยปฏิสนธิอันเป็นทุเหตุกะ เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านกล่าวไว้ในวาทะของพระมหาธรรมรักขิตเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก ในอรรถกถาธรรมสังคหะว่า ปฏิสนธิเป็นติเหตุกะด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะ มิใช่เป็นทุเหตุกะและอเหตุกะ ทุเหตุกะและอเหตุกะย่อมเป็นด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะ มิใช่เป็นติเหตุกะ คำนั้นสมด้วยบาลีนี้.
               ส่วนคำใดที่ท่านกล่าวไว้ในวาทะของพระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฏก และพระมหาทัตตเถระผู้อยู่ ณ โมรวาปีว่า ปฏิสนธิเป็นติเหตุกะบ้าง เป็นทุเหตุกะบ้าง ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะ มิใช่เป็นอเหตุกะ ปฏิสนธิเป็นทุเหตุกะบ้าง เป็นอเหตุกะบ้าง ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะมิใช่เป็นติเหตุกะ คำนั้นปรากฏคล้ายจะพลาดไปจากบาลีนี้ เพราะกถานี้เป็นอธิการแห่งเหตุ จึงไม่กล่าวถึงอเหตุกปฏิสนธิ.

               จบอรรถกถาคติกถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๖. คติกถา จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 469อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 517อ่านอรรถกถา 31 / 523อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=7126&Z=7237
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=48&A=4457
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=48&A=4457
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :