ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 30 / 1อ่านอรรถกถา 30 / 511อรรถกถา เล่มที่ 30 ข้อ 532อ่านอรรถกถา 30 / 663อ่านอรรถกถา 30 / 663
อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ปารายนวรรค
โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส

               อรรถกถาโสฬสมาณวกปัญหานิทเทส               
               ต่อแต่นี้ไป พระสังคีติกาจารย์เมื่อจะสรรเสริญเทศนา จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า อิทมโวจ ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเช่นนี้แล้ว ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อิทมโวจ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสปารายนสูตรนี้แล้ว.
               บทว่า ปริจาริกโสฬสนฺนํ คือ พราหมณ์ ๑๖ คนพร้อมกับท่านปิงคิยะผู้เป็นบริวารของพาวรีพราหมณ์. หรือพราหมณ์ ๑๖ คนผู้เป็นบริวารของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพุทธะ. คือพราหมณ์นั้นนั่นเอง.
               ณ ที่นั้นบริษัท ๑๖ นั่งข้างหน้า ข้างหลัง ข้างซ้ายและข้างขวา ๖ โยชน์ นั่งตรงไป ๑๒ โยชน์.
               บทว่า อชฺฌิฏฺโฐ ทูลเชื้อเชิญ คือทูลวิงวอน.
               บทว่า อตฺถมญฺญาย รู้ทั่วถึงอรรถ คือรู้ทั่วถึงอรรถแห่งบาลี.
               บทว่า ธมฺมมญฺญาย รู้ทั่วถึงธรรม คือรู้ทั่วถึงธรรมแห่งบาลี.
               บทว่า ปารายนํ เป็นชื่อของธรรมปริยายนี้.
               มาณพทั้งหลาย เมื่อจะประกาศชื่อของพราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวว่า อชิโต ฯลฯ พุทฺธเสฏฺฐมุปามุํ มาณพทั้งหลาย คือ อชิตะ ฯลฯ ได้พากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปนฺนจรณํ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีจรณะ ถึงพร้อมแล้วคือผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยปาติโมกข์ศีลเป็นต้น อันเป็นปทัฏฐานแห่งนิพพาน.
               บทว่า อิสึ คือ ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่.
               พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศดังต่อไปนี้.
               บทว่า อุปาคมึสุ มาเฝ้า คือเข้าไปใกล้.
               บทว่า อุปสงฺกมึสุ เข้ามาเฝ้า คือเข้าไปไม่ไกล.
               บทว่า ปยิรุปาสึสุ เข้ามานั่งใกล้ คือนั่งในที่ใกล้.
               บทว่า ปริปุจฺฉึสุ คือ ทูลถามแล้ว.
               บทว่า ปริปญฺหึสุ คือ สอบถามแล้ว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า โจทยึสุ คือ สอบถาม.
               บทว่า สีลาจารนิปฺผตฺติ คือ ความสำเร็จแห่งศีลและอาจาระอันสูงสุด. อธิบายว่า ศีลสำเร็จด้วยมรรค.
               บทว่า คมฺภีเร ที่ลึก เป็นคำตรงกันข้ามกับความเป็นธรรมง่าย.
               บทว่า ทุทฺทเส เห็นได้ยาก คือ ชื่อว่าเห็นได้ยากเพราะลึก ไม่สามารถจะเห็นได้ง่าย.
               บทว่า ทุรนุโพเธ รู้ได้ยาก คือชื่อว่ารู้ได้ยาก เพราะเห็นได้ยาก คือตรัสรู้ได้ยาก ไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ง่าย.
               บทว่า สนฺเต สงบ คือดับ.
               บทว่า ปณีเต ประณีต คือถึงความเป็นเลิศ.
               ทั้งสองบทนี้ท่านกล่าวหมายถึงโลกุตรธรรมอย่างเดียว.
               บทว่า อตกฺกาวจเร ไม่พึงหยั่งลงได้ด้วยความตรึก คือไม่พึงหยั่งลงได้ด้วยญาณเท่านั้น.
               บทว่า นิปุเณ คือ ละเอียดอ่อน.
               บทว่า ปณฺฑิตเวทนีเย คือ อันบัณฑิตผู้ปฏิบัติชอบพึงรู้ได้.
               บทว่า โตเสสิ ทรงให้ยินดี คือให้ถึงความยินดี.
               บทว่า วิโตเสสิ ให้ยินดียิ่ง คือให้เกิดโสมนัสหลายๆ อย่าง.
               บทว่า ปสาเทสิ ให้เลื่อมใส คือได้ทำให้พราหมณ์เหล่านั้นมีจิตเลื่อมใส.
               บทว่า อาราเธสิ ให้พอใจ คือให้ยินดี ให้ถึงความสำเร็จ.
               บทว่า อตฺตมเน อกาสิ ทำให้พอใจ คือทำให้เบิกบานด้วยโสมนัส.
               ต่อไป บทว่า พฺรหฺมจริยมจรึสุ คือ ได้ประพฤติมรรคพรหมจรรย์. เพราะฉะนั้น บทว่า ปารายนํ เป็นอันท่านกล่าวถึงทางแห่งนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งมรรคพรหมจรรย์นั้น.
               พึงเชื่อมว่า ปารายนมนุภาสิสฺสํ เราจักกล่าวปารายนสูตร.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปารายนสูตรแล้ว ชฏิล ๑๖,๐๐๐ คนได้บรรลุพระอรหัต. เทวดาและมนุษย์นับได้ ๑๔ โกฏิที่เหลือได้ตรัสรู้ธรรม.
               สมดังที่โบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า
                         พระพุทธเจ้ายังเทวดาและมนุษย์ ๑๔ โกฏิ ให้บรรลุอมตธรรม
                         ณ ปารายนสมาคม อันรื่นรมย์ ที่ปาสาณกเจดีย์.

               เมื่อจบพระธรรมเทศนา พวกมนุษย์มาจากที่นั้นๆ ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ปรากฏในคามและนิคมเป็นต้นของตนๆ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุ ๑๖,๐๐๐ รูปแวดล้อม ก็ได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี.
               ณ ที่นั้น ท่านปิงคิยะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์จะไปบอกพาวรีพราหมณ์ ถึงการ บังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า เพราะข้าพระองค์ได้ปฏิญาณไว้แก่พาวรีพราหมณ์นั้น.
               ลำดับนั้น ท่านปิงคิยะได้รับอนุญาตจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ไปถึงฝั่งโคธาวรีด้วยยานพาหนะ แล้วจึงเดินไปด้วยเท้ามุ่งหน้าไปยังอาศรม.
               พาวรีพราหมณ์นั่งแลดูต้นทาง เห็นท่านปิงคิยะปราศจากหาบและชฎา เดินมาด้วยเพศของภิกษุ ก็สันนิษฐานเอาว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลก จึงถามท่านปิงคิยะเมื่อไปถึงแล้วว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลกหรือ.
               ท่านปิงคิยะตอบว่า ถูกแล้วพราหมณ์ พระพุทธเจ้าประทับนั่ง ณ ปาสาณกเจดีย์ ทรงแสดงธรรมแก่พวกเรา.
               พาวรีพราหมณ์บอกว่า ข้าพเจ้าจักฟังธรรมของท่าน.
               ลำดับนั้น พาวรีพราหมณ์พร้อมด้วยบริษัท บูชาท่านปิงคิยะด้วยสักการะเป็นอันมาก แล้วให้ปูอาสนะ. ท่านปิงคิยะนั่งบนอาสนะนั้นแล้วกล่าวคำเป็นอาทิว่า ปารายน มนุคายิสฺสํ ข้าพเจ้าจักขับตามเพลงขับ.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุคายิสฺสํ คือ ข้าพเจ้าจักขับตามเพลงขับของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               บทว่า ยถา อทฺทกฺขิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอย่างใด คือทรงเห็นเองด้วยการตรัสรู้จริง และด้วยญาณอันไม่ทั่วไป.
               บทว่า นิกฺกาโม มิได้มีกาม คือละกามได้แล้ว. ปาฐะว่า นิกฺกโม บ้าง. คือมีความเพียร. หรือออกจากธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล.
               บทว่า นิพฺพโน มิได้มีป่า คือปราศจากป่าคือกิเลส หรือปราศจากตัณหานั่นเอง.
               บทว่า กิสฺส เหตุ มุสา ภเณ บุคคลพึงพูดเท็จ เพราะเหตุอะไร ท่านปิงคิยะแสดงว่า บุคคลพึงพูดเท็จด้วยกิเลสเหล่าใด บุคคลนั้นละกิเลสเหล่านั้นเสีย.
               ท่านปิงคิยะยังความอุตสาหะในการฟังให้เกิดแก่พราหมณ์ด้วยบทนี้.
               บทว่า อมโล ไม่มีมลทิน คือปราศจากมลทินคือกิเลส.
               บทว่า วิมโล หมดมลทิน คือมีมลทินคือกิเลสหมดไป.
               บทว่า นิมฺมโล ไร้มลทิน คือบริสุทธิ์จากมลทินคือกิเลส.
               บทว่า มลาปคโต ปราศจากมลทิน คือเที่ยวไปไกลจากมลทินคือกิเลส.
               บทว่า มลวิปฺปหีโน ละมลทิน คือละมลทินคือกิเลส.
               บทว่า มลวิปฺปมุตฺโต พ้นแล้วจากมลทิน คือพ้นแล้วจากกิเลส.
               บทว่า สพฺพมลวีติวตฺโต ล่วงมลทินทั้งปวงได้แล้ว คือล่วงมลทินคือกิเลสทั้งปวงมีวาสนาเป็นต้น.
               บทว่า เต วนา ป่าเหล่านั้น คือกิเลสดังได้กล่าวแล้วเหล่านั้น.
               บทว่า วณฺณูปสญฺหิตํ คือ ประกอบด้วยคุณ.
               บทว่า สจฺจวฺหโย มีพระนามจริง คือประกอบด้วยพระนามจริงที่เรียกกันว่า พุทฺโธ ดังนี้.
               บทว่า พฺรหฺเม คือเรียกพราหมณ์นั้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า โลโก ชื่อว่าโลก เพราะอรรถว่าสลายไป.
               บทว่า เอโก โลโก ภวโลโก โลกหนึ่ง ได้แก่โลกคือภพ คือวิบากอันเป็นไปในภูมิ ๓. ชื่อว่าภพ เพราะมีวิบากนั้น. โลกคือภพนั่นแลชื่อว่า ภวโลก.
               ในบทว่า ภวโลโก จ สมฺภวโลโก จ นี้ โลกหนึ่งๆ มีอย่างละสองๆ.
               ภวโลกมีสองอย่าง ด้วยอำนาจแห่งสัมปัตติภพและวิปัตติภพ. แม้สัมภวโลกก็มีสอง คือสัมปัตติสมภพและวิปัตติสมภพ. ในโลกเหล่านั้น โลกคือสัมปัตติภพ ได้แก่ สุคติโลก.
               ชื่อว่าสัมปัตติ เพราะโลกนั้นดี เพราะมีผลที่น่าปรารถนา.
               ชื่อว่าภพ เพราะมี เพราะเป็น.
               ภพ คือสัมปัตตินั่นแล ชื่อว่าสัมปัตติภพ. โลกนั้นนั่นแล ชื่อว่าโลก คือสัมปัตติภพ. โลกคือสัมปัตติสมภพ ได้แก่ กรรมที่ให้เข้าถึงสุคติ. ชื่อว่าสมภพ เพราะมีผลเกิดจากกรรมนั้น. การเกิดขึ้นแห่งสมบัติ ชื่อว่าสัมปัตติสมภพ. โลกคือสัมปัตติสมภพนั่นแล ชื่อว่าโลกคือสมบัติสมภพ.
               โลกคือวิปัตติภพ ชื่อว่าอบายโลก. จริงอยู่ อบายโลกนั้น ชื่อว่าวิปัตติ เพราะโลกนั้นน่าเกลียด เพราะมีผลที่ไม่น่าปรารถนา. ชื่อว่าภพ เพราะมีเพราะเป็น. ภพคือวิบัตินั่นแล ชื่อว่าวิปัตติภพ. โลกคือวิปัตติภพนั่นแล ชื่อว่าโลกคือวิปัตติภพ. โลกคือวิปัตติสมภพ ได้แก่ กรรมที่ให้เข้าถึงอบาย.
               จริงอยู่ กรรมที่ให้เข้าถึงอบายนั้น ชื่อว่าสมภพ เพราะมีผลเกิดจากกรรมนั้น. ความสมภพแห่งวิบัติ ชื่อว่าวิปัตติสมภพ. โลกคือวิปัตติสมภพนั่นแล ชื่อว่าโลกคือวิบัติสมภพ.
               บทว่า ติสฺโส เวทนา คือ เวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑ เป็นโลกิยะเท่านั้น.
               บทว่า อาหารา อาหารคือปัจจัย.
               จริงอยู่ ปัจจัยเรียกว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งผลของตน.
               อาหารมี ๔ คือ กวฬิงการาหาร ๑ ผัสสาหาร ๑ มโนสัญเจตนาหาร ๑ วิญญาณาหาร ๑.
               ชื่อว่ากวฬิงการะ เพราะควรทำให้เป็นคำด้วยวัตถุ. ชื่อว่าอาหาร เพราะควรกลืนกินได้. บทนี้เป็นชื่อของโอชะอันเป็นวัตถุมีข้าวสุก และขนมเป็นต้น. โอชานั้นชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งรูปทั้งหลายอันมีโอชะเป็นที่ ๘.
               ผัสสะ ๖ อย่างมีจักษุสัมผัสเป็นต้น ชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งเวทนา ๓.
               ชื่อว่ามโนสัญเจตนา เพราะเป็นสัญเจตนาของใจ ไม่ใช่ของสัตว์. เหมือนเอกัคคตาของจิต หรือว่าสัญเจตนาที่สัมปยุตกับใจ ชื่อว่ามโนสัญเจตนา. เหมือนรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย. คือกุศลเจตนาและอกุศลเจตนาอันเป็นไปในภูมิ ๓. ชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งภพ ๓.
               บทว่า วิญฺญาณํ คือ ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ ประเภท. วิญญาณนั้นชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งนามรูปในขณะปฏิสนธิ.
               บทว่า อุปาทานกฺขนฺธา คือ ขันธ์อันเกิดจากอุปาทาน ชื่อว่าอุปาทานขันธ์.
               พึงเห็นว่าเป็นศัพท์ที่ลบคำในท่ามกลางเสีย. หรือขันธ์ทั้งหลายมีเพราะอุปาทาน ชื่อว่าอุปาทานขันธ์. เหมือนไฟเกิดแต่หญ้า ไฟเกิดแต่แกลบ. หรือขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน ชื่อว่าอุปาทานขันธ์. เหมือนบุรุษของพระราชา (ราชบุรุษ). หรือขันธ์ทั้งหลายมีอุปาทานเป็นแดนเกิด ชื่อว่าอุปาทานขันธ์. เหมือนดอกของต้นไม้ ผลของต้นไม้.
               อนึ่ง อุปาทานมี ๔ คือกามุปาทาน ถือมั่นกาม ๑ ทิฏฐุปาทาน ถือมั่นทิฏฐิ ๑ สีลัพพตุปาทาน ถือมั่นศีลและพรต ๑ อัตตวาทุปาทาน ถือมั่นวาทะว่าตน ๑. แต่โดยอรรถ ชื่อว่าอุปาทาน เพราะการถือไว้อย่างมั่นคง.
               อุปาทานขันธ์มี ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์.
               บทว่า ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ คือ จักขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ.
               วิญญาณฐิติ ๗ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. โลกธรรม ๘ ก็เหมือนกัน.
               โลกธรรม ๘ เหล่านี้คือ ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ชื่อว่าโลกธรรม เพราะเมื่อโลกยังเป็นไปอยู่ ธรรมเหล่านี้ก็หมุนเวียนไปตามโลก. ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายไม่พ้นไปจากโลกธรรมเหล่านี้ได้.
               ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ เหล่านี้ย่อมเป็นไปตามโลก และโลกก็ย่อมเป็นไปตามโลกธรรม ๘ เหล่านี้ โลกธรรม ๘ คืออะไร คือ ลาภ เสื่อมลาภ ฯลฯ สุขและทุกข์.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุปริวตฺตนฺติ คือ ย่อมติดตาม ไม่ละ. อธิบายว่า ไม่กลับออกไปจากโลก.
               บทว่า ลาโภ ลาภของบรรพชิตมีจีวรเป็นต้น ของคฤหัสถ์มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น. เมื่อไม่ได้ลาภนั้น ก็ชื่อว่าเสื่อมลาภ. ท่านกล่าวว่าไม่มีลาภ ชื่อว่าเสื่อมลาภ ไม่พึงกำหนดเอาแค่ถึงความไม่มีประโยชน์.
               บทว่า ยโส คือ บริวารยศ. เมื่อไม่ได้บริวารยศนั้น ชื่อว่าเสื่อมยศ.
               บทว่า นินฺทา คือ กล่าวโทษ. บทว่า ปสํสา คือ กล่าวถึงคุณ.
               บทว่า สุขํ ได้แก่ กายิกสุขคือสุขทางกาย และเจตสิกสุขคือสุขทางใจ ของเหล่ากามาวจรบุคคลทั้งหลาย.
               บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจของปุถุชน พระโสดาบันและพระสกทาคามี. พระอนาคามีและพระอรหันต์ มีทุกข์ทางกายเท่านั้น.
               บทว่า สตฺตาวาสา คือ ที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย. อธิบายว่า ที่เป็นที่อยู่. ที่อยู่เหล่านั้นเหมือนขันธ์ทั้งหลายที่ประกาศไว้แล้ว.
               ในวิญญาณฐิติ ๗ กับด้วยอสัญญสัตตภูมิ ๑ และเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ๑ จึงเป็นสัตตาวาส ๙.
               บทว่า ทสายตนานิ ได้แก่ อายตนะ ๑๐ คือจักขวายตนะ รูปายตนะ โสตายตนะ สัททายตนะ ฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏฐัพพายตนะ.
               บทว่า ทฺวาทสายตนานิ ได้แก่ อายตนะ ๑๐ กับด้วยมนายตนะ ๑ และธรรมายตนะ ๑.
               บทว่า อฏฺฐารส ธาตุโย ได้แก่ ธาตุ ๑๘ เพราะกระทำธาตุหนึ่งๆ ให้เป็นอย่างละ ๓ๆ คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ จนถึงมโนธาตุ ธรรมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ.
               บทว่า สาทินาโม คือ มีพระนามเช่นเดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น.
               บทว่า สทิสนาโม คือ มีพระนามแสดงคุณอย่างเดียวกัน.
               บทว่า สทิสวฺหโย คือ มีพระนามเรียกชื่อโดยคุณเป็นอันเดียวกัน.
               บทว่า สจฺจสทิสวฺหโย มีพระนามเหมือนนามจริง คือมีพระนามไม่วิปริต แสดงถึงพระคุณเป็นเอกแท้จริง.
               บทว่า อาสิโต นั่ง คือเข้าไปหา.
               บทว่า อุปาสิโต เข้าไปนั่ง คือเข้าไปคบ.
               บทว่า ปยิรุปาสิโต นั่งใกล้ คือเข้าไปหาด้วยความภักดี.
               บทว่า กุพฺพนกํ คือ ป่าเล็ก.
               บทว่า พหุปฺผลํ กานนมาวเสยฺย อาศัยป่าใหญ่ที่มีผลไม้มาก คืออยู่อาศัยป่าที่เต็มไปด้วยผลไม้หลายชนิด
               บทว่า อปฺปทเส คือ ผู้มีปัญญาน้อยนับตั้งแต่พราหมณ์พาวรี.
               บทว่า มโหทธึ มีน้ำมาก คือสระใหญ่มีสระอโนดาตเป็นต้น.
               บทว่า อปฺปทสฺสา คือ เป็นผู้มีปัญญาอ่อน.
               บทว่า ปริตฺตทสฺสา คือ เป็นผู้มีปัญญาอ่อนมาก.
               บทว่า โถกทสฺสา มีปัญญาเล็กน้อย คือมีปัญญาน้อยยิ่งกว่าน้อย.
               บทว่า โอมกทสฺสา คือ มีปัญญาต่ำช้า.
               บทว่า ลามกทสฺสา มีปัญญาลามก คือโง่ถึงที่สุด.
               บทว่า ชตุกฺกทสฺสา มีปัญญาทราม คือมีปัญญาต่ำ โง่ที่สุด.
               บทว่า อปฺปมาณทสฺสํ๑- เห็นพระนิพพานอันเป็นอัปปมาณธรรม๒- เพราะก้าวล่วงปมาณธรรม.๓-
               ๑. คำนี้ไม่มีในบาลี ๒. ได้แก่โลกุตรธรรม ๓. ได้แก่โลกิยธรรม.
____________________________
๑- คำนี้ไม่มีในบาลี. ๒- ได้แก่โลกุตรธรรม. ๓- ได้แก่โลกิยธรรม.

               บทว่า อคฺคทสฺส มีปัญญาเลิศ คือเห็นธรรมอันเลิศโดยนัยมีอาทิว่า อคฺคโต ปสนฺนานํ คือเลื่อมใสแล้วโดยความเป็นเลิศ.
               บทว่า เสฏฺฐทสฺสํ มีปัญญาประเสริฐ คือมีปัญญาประเสริฐโดยนัยมีอาทิว่า สมฺพุทฺโธ ทิปทํ เสฏฺโฐ พระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าสัตว์สองเท้า.
               สี่บทมีอาทิว่า วิเสฏฺฐทสฺสํ มีปัญญาวิเศษ เพิ่มอุปสัคลงไป.
               บทว่า อสมํ ไม่มีผู้เสมอ คือเป็นพระสัพพัญญู หาผู้เสมอมิได้.
               บทว่า อสมสมํ สมกับไม่มีผู้เสมอ คือสมกับพระพุทธเจ้าในอดีตซึ่งไม่มีผู้เสมอ.
               บทว่า อปฺปฏิสมํ คือไม่มีผู้เสมอกับพระองค์.
               บทว่า อปฺปฏิภาคํ ไม่มีผู้เปรียบเทียบ คือเว้นจากรูปเปรียบของพระองค์.
               บทว่า อปฺปฏิปุคฺคลํ หาใครเปรียบมิได้ คือปราศจากบุคคลผู้เปรียบกับพระองค์.
               บทว่า เทวาติเทวํ คือ เป็นเทพยิ่งกว่าแม้วิสุทธิเทพ (คือพระอรหันต์).
               ชื่อว่าอุสภะ เป็นผู้องอาจ เพราะอรรถว่าเห็นร่วมกันในอภิมงคล. ชื่อว่าเป็นบุรุษสีหะ เพราะอรรถว่าไม่สะดุ้งหวาดเสียว. ชื่อว่าบุรุษนาค เพราะอรรถว่าไม่มีโทษ. ชื่อว่าบุรุษอาชาไนย เพราะอรรถว่าเป็นผู้สูงสุด. ชื่อว่าเป็นบุรุษแกล้วกล้า เพราะอรรถว่าเหยียบแผ่นดินคือบริษัท ๘ แล้วตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่หวั่นไหวด้วยปัจจามิตรที่เป็นศัตรูไรๆ ในโลก พร้อมด้วยเทวโลก. ชื่อว่าเป็นบุรุษผู้นำธุระไป เพราะอรรถว่านำธุระคือพระธรรมเทศนาไป.
               บทว่า มานสกตสรํ สระที่มนุษย์สร้างไว้ คือสระที่มนุษย์คิดสร้างไว้อันมีชื่ออย่างนั้น.
               บทว่า อโนตตฺตทหํ สระอโนดาต คือพระจันทร์และพระอาทิตย์เดินไปทางทิศใต้หรือทิศเหนือ ย่อมยังทิศนั้นให้สว่างในระหว่างภูเขา เดินไปตรงย่อมไม่ให้แสงสว่าง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล สระนั้นจึงชื่อว่าอโนดาต. สระอโนดาตเป็นอย่างนี้.
               บทว่า อกฺโขพฺภํ อมิโตทกํ มหาสมุทรที่ไม่กำเริบมีน้ำนับไม่ถ้วน คือไม่สามารถจะให้น้ำซึ่งนับไม่ถ้วนหวั่นไหวได้.
               บทว่า เอวเมว เป็นบทอุปมา. ใครๆ ไม่สามารถให้พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าหวั่นไหวได้โดยฐานะเป็นผู้องอาจ ดุจมหาสมุทรที่ไม่กำเริบฉะนั้น.
               บทว่า อมิตเตชํ มีเดชนับไม่ถ้วน คือมีเดชคือพระญาณนับไม่ถ้วน.
               บทว่า ปภินฺนญาณํ มีญาณแตกฉาน คือมีญาณแตกฉานด้วยอำนาจแห่งทศพลญาณเป็นต้น.
               บทว่า วิวฏจกฺขุํ มีพระจักษุเปิดแล้ว คือมีสมันตจักษุ.
               บทว่า ปญฺญา ปเภทกุสลํ ทรงฉลาดในประเภทแห่งปัญญา คือทรงฉลาดในความรู้อันเป็นประเภทแห่งปัญญา โดยนัยมีอาทิว่า รู้ทั่ว รู้ก่อน ค้นคว้า ค้นคว้าทั่ว ดังนี้.
               บทว่า อธิคตปฏิสมฺภิทํ ทรงบรรลุปฏิสัมภิทาแล้ว คือทรงได้ปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว.
               บทว่า จตุเวสารชฺชปฺปตฺตํ ทรงถึงเวสารัชญาณ ๔ แล้ว คือ ทรงถึงความเป็นผู้กล้าในฐานะ ๔ ดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วโดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเหล่านี้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้เฉพาะ ท่านยังไม่รู้.
               บทว่า สุทฺธาธิมุตฺตํ คือ น้อมพระทัยไปในผลสมาบัติอันบริสุทธิ์ คือเข้าไปในผลสมาบัตินั้น.
               บทว่า เสตปจฺจตฺตํ มีพระองค์ขาวผ่อง คือมีอัตภาพพิเศษบริสุทธิ์ เพราะละแม้วาสนาได้แล้ว.
               บทว่า อทฺวยภาณึ มีพระวาจามิได้เป็นสอง คือปราศจากพระวาจาเป็นสอง เพราะมีพระวาจากำหนดไว้แล้ว.
               บทว่า ตาทึ เป็นผู้คงที่คือเป็นเช่นนั้น หรือไม่หวั่นไหวไปในอารมณ์ ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา.
               ชื่อว่า ตถาปฏิญฺญา เพราะมีปฏิญญาอย่างนั้น.
               บทว่า อปริตฺตกํ คือ ไม่เล็กน้อย.
               บทว่า มหนฺตํ เป็นผู้ใหญ่ คือถึงความเป็นผู้ใหญ่ล่วงไตรธาตุ.
               บทว่า คมฺภีรํ มีธรรมลึก คือคนอื่นเข้าถึงได้ยาก.
               บทว่า อปฺปเมยฺยํ มีคุณธรรมอันใครๆ นับไม่ได้ คือชั่งไม่ได้.
               บทว่า ทุปฺปริโยคาหํ คือ มีคุณยากที่จะหยั่งถึง.
               บทว่า พหุรตนํ มีรัตนะมาก คือมีรัตนะมาก ด้วยรัตนะมีศรัทธาเป็นต้น.
               บทว่า สาครสมํ มีคุณเสมอด้วยสาคร คือเช่นกับสมุทร เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ.
               บทว่า ฉฬงฺคุเปกฺขาย สมนฺนาคตํ ประกอบด้วยอุเบกขามีองค์ ๖ คือบริบูรณ์ด้วยอุเบกขามีองค์ ๖ โดยนัยที่กล่าวแล้วว่า เห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ.
               บทว่า อตุลํ ชั่งไม่ได้ คือปราศจากการชั่ง ใครๆ ไม่สามารถจะชั่งได้.
               บทว่า วิปุลํ มีธรรมไพบูลย์ คือมีธรรมใหญ่ยิ่ง.
               บทว่า อปฺปเมยฺยํ ประมาณมิได้ คือไม่สามารถประมาณได้.
               บทว่า ตํ ตาทิสํ มีพระคุณเช่นนั้น คือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยพระคุณคงที่.
               บทว่า ปวทตมคฺควาทินํ ตรัสธรรมอันเลิศกว่าพวกที่กล่าว.
               พึงทราบการเชื่อมความว่า ตรัสธรรมที่ควรบอกกล่าวสูงสุดกว่าพวกที่บอกกล่าว.
               บทว่า สิเนรุมิว นคานํ เช่นภูเขาสิเนรุเลิศกว่าภูเขาทั้งหลาย คือดุจภูเขาสิเนรุในระหว่างภูเขาทั้งหลาย.
               บทว่า ครุฬมิว ทฺวิชานํ คือ ดุจครุฑเลิศกว่านกทั้งหลายฉะนั้น.
               บทว่า สีหมิว มิคานํ ดุจสีหะเลิศกว่ามฤคทั้งหลาย คือดุจสีหะเลิศในระหว่างสัตว์ ๔ เท้าทั้งหลาย.
               บทว่า อุทธิมิว อณฺณวานํ ดุจสมุทรเลิศกว่าห้วงน้ำทั้งหลายมากมาย.
               บทว่า ชินปวรํ เป็นพระชินะผู้ประเสริฐ คือเป็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุด.
               บทว่า เยเม ปุพฺเพ ในกาลก่อนอาจารย์เหล่าใด.
               บทว่า ตมนุ ทาสิโน คือทรงบรรเทาความมืดเสีย ประทับอยู่แล้ว.
               บทว่า ภูริปญฺญาโณ มีพระปัญญาปรากฏ คือมีพระญาณเป็นธง.
               บทว่า ภูริเมธโส มีพระปัญญาตั้งแผ่นดิน คือมีพระปัญญาไพบูลย์.
               พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศดังต่อไปนี้.
               บทว่า ปภงฺกโร ทรงแผ่รัศมี คือทรงแผ่พระเดช.
               บทว่า อาโลกกโร ทรงแผ่แสงสว่าง คือทรงกำจัดความมืด.
               บทว่า โอภาสกโร ทรงแผ่โอภาส คือทรงแผ่แสงสว่าง.
               ชื่อว่า ทีปงฺกโร เพราะทรงแผ่แสงสว่างดังประทีป.
               บทว่า อุชฺโชตกโร ทรงแผ่แสงสว่างสูง คือทรงแผ่ความสว่าง.
               บทว่า ปชฺโชตกโร ทรงแผ่แสงสว่างโชติช่วง คือทรงแผ่แสงสว่างไปทั่วทิศใหญ่ทิศน้อย.
               บทว่า ภูริปญฺญาโณ มีพระปัญญาปรากฏ คือมีพระญาณกว้างขวาง.
               บทว่า ญาณปญฺญาโณ มีพระญาณปรากฏ คือปรากฏด้วยพระญาณ.
               บทว่า ปญฺญาธโช มีปัญญาเป็นดังธง คือมีปัญญาดังธง เพราะอรรถว่ายกขึ้น ดุจในบทมีอาทิว่า ธงเป็นเครื่องปรากฏของรถ.
               บทว่า วิภูตวิหารี มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แจ่มแจ้ง คือมีวิหารธรรมปรากฏ.
               บทว่า สนฺทิฏฺฐิกมกาลิกํ คือ อันผู้ประพฤติพึงเห็นผลเอง ไม่ให้บรรลุผลในลำดับกาล.
               บทว่า อนีติกํ คือ ปราศจากจัญไรมีกิเลสเป็นต้น.
               บทว่า สนฺทิฏฺฐิกํ อันผู้ประพฤติพึงเห็นเอง คืออันผู้บรรลุโลกุตรธรรม พึงละธรรมที่พึงถึงด้วยศรัทธาของคนอื่นแล้ว เห็นด้วยตนเองด้วยปัจจเวกขณญาณ. พระธรรมนั้นอันผู้ประพฤติพึงเห็นเอง.
               ชื่อว่า อกาโล ไม่ประกอบด้วยกาล เพราะไม่มีกาล หมายถึงการให้ผลของตน. ไม่ประกอบด้วยกาลนั้นแล ชื่อว่าอกาลิโก. อธิบายว่า อริยมรรคธรรมนั้นย่อมให้ผลของตนในลำดับทีเดียว พระธรรมนี้ไม่ประกอบด้วยกาลนั้น.
               ชื่อว่า เอหิปสฺสิโก เพราะควรเรียกให้มาดูเป็นไปอย่างนี้ว่าจงมาดูธรรมนี้เถิด. พระธรรมนั้นควรเรียกให้มาดู.
               ชื่อว่า โอปนยิโก เพราะแม้เพ่งถึงผ้าและศีรษะที่ถูกไฟไหม้ก็ย่อมควร น้อมเข้าไปในจิตของตน. พระธรรมนั้นควรน้อมเข้าไป.
               ชื่อว่า อันวิญญูชนพึงรู้ด้วยตนเอง เพราะอันบุคคลผู้เป็นอุคฆติตัญญูเป็นต้นแม้ทั้งปวงพึงทราบในตนว่า มรรคเราเจริญแล้ว ผลเราบรรลุแล้ว นิโรธเราทำให้แจ้งแล้ว.
               ลำดับนั้น พาวรีพราหมณ์กล่าวสองคาถากะท่านปิงคิยะ มีอาทิว่า กินฺนุ ตมฺหา ดูก่อนปิงคิยะ ท่านอยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแม้ครู่หนึ่งหรือหนอดังนี้.
               บทว่า มุหุตฺตมฺปิ คือ แม้หน่อยหนึ่ง. บทว่า ขณมฺปิ แม้ขณะหนึ่ง คือแม้ไม่มาก. บทว่า ลยมฺปิ คือ แม้พักหนึ่ง. บทว่า วสฺสมฺปิ คือ แม้ส่วนหนึ่ง. บทว่า อฏฺฐมฺปิ คือ แม้วันหนึ่ง.
               ลำดับนั้น ท่านปิงคิยะ เมื่อจะแสดงถึงการไม่อยู่ปราศจากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า นาหํ ตมฺหา อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
               บทว่า โย เม ฯลฯ ปสฺสามิ นํ มนสา จกฺขุนาว คือ อาตมาเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยใจ เหมือนเห็นด้วยมังสจักษุ.
               บทว่า นมสฺสมาโน วิวเสมิ รตฺตึ คือ อาตมานมัสการอยู่ตลอดคืนและวัน.
               บทว่า เตน เตเนว นโต อาตมาเป็นผู้นอบน้อมไปโดยทิศนั้นๆ ท่านแสดงว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่โดยทิศาภาคใดๆ แม้อาตมาก็นอบน้อมไปโดยทิศาภาคนั้นๆ เอนไปในทิศนั้น โอนไปในทิศนั้น เงื้อมไปในทิศนั้น น้อมไปในทิศนั้น.
               บทว่า ทุพฺพลถามกสฺส มีเรี่ยวแรงทุรพล คือมีกำลังน้อย. อีกอย่างหนึ่ง มีกำลังน้อยและมีเรี่ยวแรงน้อย. ท่านกล่าวว่า มีกำลังคือความเพียรหย่อน.
               บทว่า เตเนว กาโย น ปเนติ คือ กายไม่ได้ไปในสำนักพระพุทธเจ้านั้นนั่นแล เพราะมีเรี่ยวแรงน้อย.
               ปาฐะว่า น ปเลติ บ้างความอย่างเดียวกัน.
               บทว่า ตตฺถ คือ ในสำนักพระพุทธเจ้านั้น.
               บทว่า สงฺกปฺปยนฺตาย ด้วยความดำริ คือไปด้วยความดำริ.
               บทว่า เตน ยุตฺโต ท่านแสดงว่า พระพุทธเจ้าประทับโดยทิศาภาคใด ใจของอาตมาประกอบแล้ว ประกอบพร้อมแล้ว ขวนขวายแล้วโดยทิศาภาคนั้น.
               บทว่า เยน พุทฺโธ คือ ควรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยทิศาภาคใด ไม่ไปโดยทิศาภาคนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า เยน เป็นตติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ เป็น ยตฺถ ความว่า พระพุทธเจ้าประทับ ณ ที่ใด ไม่ไป ณ ที่นั้น.
               บทว่า น วชติ คือ ไม่ไปข้างหน้า.
               บทว่า น คจฺฉติ คือ ไม่เป็นไป.
               บทว่า นาภิกฺกมติ คือ ไม่เข้าไปหา.
               บทว่า ปงฺเก สยาโน คือ นอนในเปือกตมคือกาม.
               บทว่า ทีปา ทีปํ อุปลฺลวึ แล่นไปแล้วสู่ที่พึ่งแต่ที่พึ่ง คือไปหาศาสดาเป็นต้น แต่ศาสดาเป็นต้น.
               บทว่า อถทฺทสาสึ สมฺพุทฺธํ ภายหลังได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออาตมานั่นถือทิฏฐิผิดอย่างนี้ท่องเที่ยวไป คราวนั้นได้เห็นพระพุทธเจ้า ณ ปาสาณกเจดีย์.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า เสมาโน คือ นอนอยู่.
               บทว่า สยมาโน คือ สำเร็จการนอน.
               บทว่า อาวสมาโน คือ อยู่.
               บทว่า ปริวสมาโน คือ พักอยู่เป็นนิจ.
               บทว่า ปลฺลวึ คือ ยิ่ง.
               บทว่า อุปลฺลวึ แล่นไปแล้ว คือถึงฝั่ง.
               บทว่า สมุปลฺลวึ คือ เลื่อนไปแล้ว. เพิ่มอุปสัคลงไป.
               บทว่า อทฺทสํ ได้เห็นแล้ว เป็นบทยกขึ้นเพื่อขยายความ.
               บทว่า อทฺทกฺขึ คือ ได้พบแล้ว.
               บทว่า อปสฺสึ คือ ได้ประสบแล้ว.
               บทว่า ปฏิวชฺฌึ คือ แทงตลอดแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นจบพระคาถานี้ทรงทราบว่า ท่านปิงคิยะและพาวรีพราหมณ์มีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ประทับยืนอยู่ ณ กรุงสาวัตถีนั่นเอง เปล่งพระรัศมีสีทองออกไป. ท่านปิงคิยะนั่งพรรณนาพระพุทธคุณแก่พาวรีพราหมณ์ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจประทับยืนอยู่ข้างหน้าตน จึงบอกแก่พาวรีพราหมณ์ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว.
               พราหมณ์ลุกจากที่นั่งยืนประคองอัญชลี.
               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแผ่พระรัศมีไปแสดงพระองค์แก่พราหมณ์ ทรงทราบธรรมเป็นที่สบายของชนแม้ทั้งสอง เมื่อจะตรัสเรียกท่านปิงคิยะเท่านั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า ยถา อหุ วกฺกลิ ดังนี้เป็นต้น.
               บทนั้นมีความดังต่อไปนี้
               พระวักกลิเถระเป็นผู้มีศรัทธาอันปล่อยแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตด้วยศรัทธาธุระนั่นเอง บรรดามาณพ ๑๖ คน ภัทราวุธะคนหนึ่งก็ดี อาฬวิโคตมะก็ดี ล้วนมีศรัทธาอันปล่อยแล้วฉันใด แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อปล่อยศรัทธาแต่นั้น จึงเริ่มวิปัสสนาโดยนัยมีอาทิว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ดังนี้ จักถึงฝั่งแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ คือ นิพพาน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต.
               เมื่อจบเทศนา ท่านปิงคิยะตั้งอยู่ในอรหัตผล พาวรีพราหมณ์ตั้งอยู่ในอนาคามิผล. ส่วนบริษัท ๕๐๐ ของพาวรีพราหมณ์ได้เป็นโสดาบัน.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า มุญฺจสฺสุ คือ จงละ.
               บทว่า ปมุญฺจสฺสุ คือ จงปล่อย.
               บทว่า อธิมุญฺจสฺสุ จงน้อมลง คือจักทำการน้อมลงในศรัทธานั้น.
               บทว่า โอกปฺเปหิ จงกำหนด คือจงให้เกิดความพยายามให้มาก.
               บทว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ด้วยอรรถว่ามีแล้วไม่มี.
               บทว่า สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ด้วยอรรถว่าทนได้ยาก คือทนอยู่ไม่ได้.
               บทว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ด้วยอรรถว่าไม่อยู่ในอำนาจ.
               บัดนี้ ท่านปิงคิยะเมื่อจะประกาศความเลื่อมใสของตน จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า เอส ภิยฺโย คือ ข้าพระองค์นี้ได้ฟังพระดำรัสของพระมุนีแล้วย่อมเลื่อมใสอย่างยิ่ง.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิภาณวา เป็นผู้มีปฏิภาณ คือเข้าถึงปฏิภาณปฏิสัมภิทา.
               บทว่า ภิยฺโย คือ ยิ่งๆ ขึ้น ไป.
               บทว่า อธิเทเว อภิญฺญาย คือ ทรงรู้ธรรมอันทำให้เป็นอธิเทพ.
               บทว่า ปโรปรํ คือ เลวและประณีต.
               ท่านกล่าวไว้ว่า ทรงรู้ธรรมชาติทั้งหมดอันทำความเป็นอธิเทพให้แก่พระองค์และผู้อื่น.
               บทว่า กงฺขีนํ ปฏิชานตํ ทรงทำผู้สงสัยให้กลับรู้ได้ คือเมื่อมีผู้สงสัยกลับรู้ว่า เราหมดสงสัยแล้ว.
               พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศดังต่อไปนี้.
               บทว่า ปารายนิกปญฺหานํ คือ แห่งปัญหาของพวกพราหมณ์ผู้แสวงหาธรรมเครื่องถึงซึ่งฝั่ง.
               ชื่อว่า อนฺตกโร เพราะทรงทำส่วนสุด.
               ชื่อว่า ปริยนฺตกโร เพราะทรงทำส่วนสุดรอบ.
               ชื่อว่า ปริจฺเฉทกโร เพราะทรงทำความกำหนดเขตแดน.
               ชื่อว่า ปริวฏุมกโร เพราะทรงทำความสรุป.
               บทว่า ปิงฺคิยปญฺหานํ เพื่อทรงแสดงว่า มิใช่ทรงกระทำส่วนสุดแห่งปัญหาของพวกพราหมณ์ ผู้แสวงหาธรรมเครื่องถึงซึ่งฝั่งอย่างเดียว ที่แท้ทรงกระทำส่วนสุดแห่งปัญหาแม้ของปิงคิยปริพาชกเป็นต้นด้วย จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปิงฺคิยปญฺหานํ ปัญหาของปิงคิยะดังนี้.
               บทว่า อสํหิรํ คือ นิพพานอันราคะเป็นต้นนำไปไม่ได้.
               บทว่า อสํกุปฺปํ คือ ไม่กำเริบ ไม่มีความปรวนแปรไปเป็นธรรมดา.
               ท่านกล่าวถึงนิพพานด้วยบททั้งสอง.
               บทว่า อทฺธา คมิสฺสามิ ข้าพระองค์จักถึงเป็นแน่แท้ คือจักถึงนิพพานธาตุ อันเป็นอนุปาทิเสสะนั้น โดยส่วนเดียวเท่านั้น.
               บทว่า น เมตฺถ กงฺขา คือ ความสงสัยในนิพพานนี้มิได้มีแก่ข้าพระองค์.
               บทว่า เอวํ มํ ธาเรหิ อธิมุตฺตจิตฺตํ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้วอย่างนี้.
               ความว่า ท่านปิงคิยะยังศรัทธาให้เกิดขึ้นแล้วในตน ด้วยโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ว่า แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธา ฉันนั้น แล้วปล่อยด้วยศรัทธาธุระนั่นเอง เมื่อจะประกาศศรัทธาธิมุติ (ความน้อมไปด้วยศรัทธา) นั้น จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เอวํ มํ ธาเรหิ อธิมุตฺตจิตฺตํ.
               มีอธิบายว่า ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้ว เหมือนอย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้กะข้าพระองค์แล้วฉะนั้น.
               บทว่า น สํหริยติ คือ ไม่สามารถถือนำเอาไปได้.
               บทว่า นิโยค วจนํ เป็นคำประกอบ.
               บทว่า อวฏฺฐาปนวจนํ เป็นคำสันนิษฐาน.
               ในปรายนวรรคนี้ บทใดมิได้กล่าวไว้ในระหว่างๆ พึงถือเอาบทนั้น โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
               บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดดีแล้ว.

               จบอรรถกถาโสฬสมาณวกปัญหานิทเทส               
               จบอรรถกถาปรายนวรรคนิทเทส               
               แห่งขุททกนิกายอรรถกถา ชื่อว่าสัทธัมมปัชโชติกา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ปารายนวรรค โสฬสมาณวกปัญหานิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 30 / 1อ่านอรรถกถา 30 / 511อรรถกถา เล่มที่ 30 ข้อ 532อ่านอรรถกถา 30 / 663อ่านอรรถกถา 30 / 663
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=30&A=5120&Z=6138
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=46&A=2090
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=46&A=2090
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๔  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :