ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 6 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 7 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 8 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อปัณณกวรรค
กัฏฐหาริชาดก

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภพระนางวาสภขัตติยา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปุตฺโต ตฺยาหํ มหาราช ดังนี้.
               เรื่องพระนางวาสภขัตติยา จักมีแจ้งในภัททสาลชาดก ทวาทสนิบาต.
               ได้ยินว่า พระนางวาสภขัตติยานั้นเป็นพระธิดาของเจ้าศากยะมหานาม ประสูติในครรภ์ของทาสีชื่อว่า นาคมณฑา. (ต่อมา) ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศล พระนางประสูติพระราชโอรส. ก็ภายหลัง พระราชาทรงทราบว่าพระนางเป็นทาสี จึงทรงปลดจากตำแหน่ง แม้วิฑูฑภะผู้เป็นพระโอรส ก็ถูกปลดจากตำแหน่งเหมือนกัน. แม่ลูกแม้ทั้งสอง ก็คงอยู่ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์นั่นแล.
               พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น ครั้นในเวลาเย็น ทรงห้อมล้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของพระราชา ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แล้วตรัสว่า พระนางวาสภขัตติยาประทับอยู่ที่ไหน.
               พระราชาจึงกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบ.
               พระศาสดาตรัสถามว่า มหาบพิตร พระนางวาสภขัตติยาเป็นธิดาของใคร?
               พระราชาทูลว่า เป็นธิดาของเจ้ามหานาม พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาตรัสถามว่า เมื่อพระนางวาสภขัตติยาเสด็จมา เสด็จมาแล้วเพื่อใคร?
               พระราชาทูลว่า เพื่อหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พระนางวาสภขัตติยานี้ เป็นธิดาของพระราชาและมาเพื่อพระราชา เพราะอาศัยพระราชานั่นแหละ จึงได้พระโอรส เพราะเหตุไร พระโอรสนั้นจึงไม่ได้เป็นเจ้าของราชสมบัติ อันเป็นของมีอยู่ของพระราชบิดา พระราชาทั้งหลายในกาลก่อน ได้พระโอรสในครรภ์ของหญิงหาฟืน ผู้เป็นภรรยาชั่วคราว ก็ยังได้พระราชทานราชสมบัติแก่พระโอรส.
               พระราชาทรงขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อตรัสเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏแล้ว.
               ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า พรหมทัต ในกรุงพาราณสี เสด็จไปพระราชอุทยานด้วยพระยศใหญ่ เสด็จเที่ยวไปในพระราชอุทยานนั้น เพราะทรงยินดีดอกไม้และผลไม้ ทรงเห็นหญิงผู้หนึ่งผู้ขับเพลงไปพลาง ตัดฟืนไปพลาง ในป่าชัฏในพระราชอุทยาน ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ จึงทรงสำเร็จการอยู่ร่วมกัน.
               ในขณะนั้นเอง พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในครรภ์ของหญิงนั้น. ทันใดนั้น ครรภ์นางได้หนักอึ้งเหมือนเต็มด้วยเพชร. นางรู้ว่าตั้งครรภ์ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว เพคะ. พระราชาได้ประทานพระธำมรงค์ แล้วตรัสว่า ถ้าเป็นธิดาเจ้าจงจำหน่ายแหวนเลี้ยงดู ถ้าเป็นบุตร เจ้าจงนำมายังสำนักของเราพร้อมกับแหวน. ครั้นตรัสแล้ว จึงเสด็จหลีกไป.
               ฝ่ายหญิงนั้นมีครรภ์แก่แล้วก็คลอดพระโพธิสัตว์. ในเวลาที่พระโพธิสัตว์นั้นเล่นอยู่ในสนามเล่น มีคนกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราถูกคนไม่มีพ่อ ทุบตีแล้ว. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงไปหามารดาถามว่า แม่จ๋า ใครเป็นพ่อของหนู?
               มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ก็พยานอะไรๆ มีอยู่หรือ จ๊ะแม่.
               มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย พระราชาประทานแหวนนี้ไว้แล้วตรัสว่า ถ้าเป็นธิดา พึงจำหน่ายเลี้ยงดูกัน ถ้าเป็นบุตร พึงพามาพร้อมกับแหวนนี้ ดังนี้แล้ว ก็เสด็จไป.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า แม่จ๋า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร แม่จึงไม่นำฉันไปยังสำนักของพระบิดา. นางรู้อัธยาศัยของบุตร จึงไปยังประตูพระราชวัง ให้คนกราบทูลแก่พระราชาให้ทรงทราบ และเป็นผู้อันพระราชารับสั่งให้เข้าเฝ้า จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชา แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ผู้นี้เป็นโอรสของพระองค์.
               พระราชา แม้ทรงทราบอยู่ ก็เพราะทรงละอายในท่ามกลางบริษัท จึงตรัสว่าไม่ใช่บุตรของเรา.
               หญิงนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นี้พระธำมรงค์ของพระองค์ พระองค์คงจะทรงจำพระธำมรงค์นี้ได้. พระราชาตรัสว่า แม้พระธำมรงค์นี้ก็ไม่ใช่ธำมรงค์ของเรา.
               หญิงนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บัดนี้ เว้นสัจกิริยาเสีย คนอื่นผู้จะเป็นสักขีพยานของกระหม่อมฉัน ย่อมไม่มี ถ้าทารกนี้เกิดเพราะอาศัยพระองค์อันกระหม่อมฉันเหวี่ยงขึ้นไปแล้ว จงอยู่ในอากาศ ถ้าไม่ได้อาศัยพระองค์เกิด จงตกลงมาตายบนภาคพื้นดิน แล้วจับเท้าทั้งสองของพระโพธิสัตว์ เหวี่ยงไปในอากาศ.
               พระโพธิสัตว์นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศ เมื่อจะกล่าวธรรมะแก่พระบิดา ด้วยเสียงอันไพเราะ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
               ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทไว้ แม้คนเหล่าอื่น พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉน จะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺโต ตฺยาหํ ตัดบทเป็น ปุตฺโต เต อหํ แปลว่า ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์.
               ก็ชื่อว่าบุตรนี้มี ๔ ประเภท คือ บุตรผู้เกิดในตน ๑ บุตรผู้เกิดในเขต ๑ อันเตวาสิก ลูกศิษย์ ๑ และบุตรเขาให้ ๑.
               บรรดาบุตร ๔ ประเภทนั้น บุตรผู้อาศัยตนเกิด ชื่อว่าบุตรผู้เกิดในตน. บุตรผู้เกิดในที่ทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ บนหลังที่นอน บนบัลลังก์และที่อก ชื่อว่าบุตรผู้เกิดในเขต. บุคคลผู้เรียนศิลปศาสตร์ในสำนัก ชื่อว่าลูกศิษย์. บุตรที่เขาให้มาเลี้ยง ชื่อว่าบุตรที่เขาให้ คือบุตรบุญธรรม. แต่ในที่นี้ ท่านหมายเอาบุตรที่เกิดในตน จึงกล่าวว่าบุตร.
               ที่ชื่อว่า พระราชา เพราะทำชนให้ยินดีด้วยสังคหวัตถุ ๔. พระราชาผู้ใหญ่ชื่อว่า มหาราชา พระโพธิสัตว์ เมื่อจะตรัสเรียกพระราชานั้น จึงตรัสว่า มหาราช ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่.
               บทว่า ตฺวํ มํ โปส ชนาธิป ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในหมู่มหาชน พระองค์จงชุบเลี้ยง คือ จงเลี้ยงดูข้าพระบาทอยู่เถิด.
               บทว่า อญฺเญปิ เทโว โปเสติ ความว่า ชนเป็นอันมากเหล่าอื่น ได้แก่ พวกมนุษย์ผู้เลี้ยงช้างเป็นต้น และสัตว์เดียรัจฉานมีช้างและม้าเป็นต้น พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้.
               ก็ศัพท์ว่า กิญฺจ ในบทว่า กิญฺจ เทโว สกํ ปชํ นี้ เป็นศัพท์นิบาต ใช้ในความหมายว่าติเตียน และความหมายว่าอนุเคราะห์. พระโพธิสัตว์ทรงโอวาทว่า ประชาชนของพระองค์ คือ ข้าพระบาทผู้เป็นโอรสของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงชุบเลี้ยง ดังนี้ ชื่อว่าย่อมติเตียน เมื่อตรัสว่า คนอื่นเป็นอันมาก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงได้ดังนี้ ชื่อว่าย่อมอนุเคราะห์ช่วยเหลือ. ดังนั้น พระโพธิสัตว์แม้เมื่อจะทรงติเตียน จึงตรัสว่า ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เล่า.
               เมื่อพระโพธิสัตว์ประทับนั่งในอากาศ ทรงแสดงธรรมอยู่อย่างนี้ พระราชาได้ทรงสดับแล้ว จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ ตรัสว่า จงมาเถิดพ่อ เราแหละจักชุบเลี้ยงเจ้า. มีมือตั้งพันเหยียดมาแล้ว พระโพธิสัตว์ไม่ลงในมือคนอื่น ลงในพระหัตถ์ของพระราชาเท่านั้น แล้วประทับนั่งบนพระเพลา พระราชาทรงประทานความเป็นอุปราชแก่พระโพธิสัตว์นั้น แล้วได้ทรงตั้งมารดาให้เป็นอัครมเหสี. เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว พระโพธิสัตว์นั้นได้เป็นพระราชาพระนามว่า กัฏฐวาหนะ ครองราชสมบัติโดยธรรม ได้เสด็จไปตามยถากรรม.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาทรงแสดงแก่พระเจ้าโกศลแล้ว ทรงแสดงเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่ออนุสนธิ แล้วทรงประชุมชาดกว่า
               พระมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระมหามายาเทวี
               พระบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช
               ส่วนพระเจ้ากัฏฐวาหนราชในครั้งนั้น ได้เป็น เราเอง แล.

               จบอรรถกถากัฏฐหาริชาดกที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อปัณณกวรรค กัฏฐหาริชาดก จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 6 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 7 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 8 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=40&Z=45
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=4268
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=4268
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :