ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 554 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 558 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 562 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา มังสชาดก
ว่าด้วย วาทศิลป์ของคนขอ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภบิณฑบาตอันมีรสที่พระสารีบุตรเถระให้แก่ภิกษุทั้งหลายที่ดื่มยาถ่าย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
               มีคำเริ่มต้นว่า ผรุสา วต เต วาจา ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในกาลนั้น ภิกษุบางพวกในพระวิหารเชตวัน พากันดื่มยาถ่ายอันปรุงด้วยยางเหนียว ภิกษุเหล่านั้นจึงมีความต้องการด้วยบิณฑบาตอันมีรส. ภิกษุผู้เป็นคิลานุปัฏฐากทั้งหลายคิดว่า จักนำภัตตาหารอันมีรสมา จึงเข้าไปในนครสาวัตถี แม้จะเที่ยวบิณฑบาตไปในถนนที่มีบ้านเรือนสมบูรณ์ด้วยข้าวสุก ก็ไม่ได้ภัตตาหารอันมีรสจึงพากันกลับ.
               พระเถระเข้าไปบิณฑบาตในตอนสายเห็นภิกษุเหล่านั้น จึงถามว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ทำไมจึงกลับสายนัก. ภิกษุเหล่านั้นจึงบอกเนื้อความนั้น. พระเถระกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงมา แล้วพาภิกษุเหล่านั้นไปยังถนนนั้นนั่นแหละ. คนทั้งหลายได้ถวายภัตตาหารอันมีรสจนเต็มบาตร. พวกภิกษุผู้เป็นคิลานุปัฏฐากนำมายังพระวิหารแล้วได้ถวายแก่พวกภิกษุไข้. ภิกษุไข้เหล่านั้นได้บริโภครสเป็นที่ยินดี.
               อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า พระอุปัฏฐากของพวกภิกษุผู้ดื่มยาถ่ายไม่ได้ภัตตาหารอันมีรสจึงกลับออกมา พระเถระจึงพาเที่ยวไปในถนนที่มีบ้านเรือนซึ่งมีข้าวสุก ส่งบิณฑบาตอันมีรสเป็นอันมากไปให้. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรได้เนื้ออันประเสริฐ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลายผู้มีวาจาอ่อนโยนฉลาดกล่าวถ้อยคำที่น่ารัก ก็ได้แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นบุตรเศรษฐี. อยู่มาวันหนึ่ง นายพรานเนื้อคนหนึ่งได้เนื้อมาเป็นอันมาก จึงบรรทุกเต็มยานน้อยมายังนคร ด้วยหวังใจว่าจักขาย. ในกาลนั้น บุตรเศรษฐี ๔ คนชาวเมืองพาราณสีออกจากนครแล้ว นั่งสนทนากันถึงเรื่องที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังมาบางเรื่อง ณ สถานที่ที่มีหนทางมาบรรจบกัน.
               บรรดาเศรษฐีบุตร ๔ คนนั้น เศรษฐีบุตรคนหนึ่งเห็นพรานเนื้อนั้นบรรทุกเนื้อมา จึงกล่าวว่า เราจะให้นายพรานนี้นำชิ้นเนื้อมา. เศรษฐีบุตรเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงไปให้นำมาเถิด.
               เศรษฐีบุตรนั้นเข้าไปหานายพรานเนื้อแล้วกล่าวว่า เฮ้ยพราน จงให้ชิ้นเนื้อแก่ข้าบ้าง.
               นายพรานกล่าวว่า ธรรมดาผู้จะขออะไรๆ กะผู้อื่น ต้องเป็นผู้มีคำพูดอันเป็นที่น่ารัก ท่านจักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่วาจาที่ท่านกล่าว แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               วาจาของท่านหยาบคายจริงหนอ ท่านขอเนื้อ วาจาของท่านเช่นกับพังผืด ดูก่อนสหาย เราจะให้พังผืดแก่ท่าน.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิโลมสทิสี ความว่า ชื่อว่าเช่นกับพังผืด เพราะเป็นวาจาหยาบ.
               บทว่า กิโลมํ สมฺม ททามิ เต ความว่า นายพรานกล่าวว่า เอาเถอะ ท่านจงถือเอา เราจะให้พังผืดนี้อันเป็นเช่นกับวาจาของท่าน แล้วยกชิ้นเนื้อพังผืดอันไม่มีรสให้ไป.

               ลำดับนั้น เศรษฐีบุตรอีกคนหนึ่งถามเศรษฐีบุตรคนนั้นว่า ท่านพูดว่าอย่างไรแล้วจึงขอ.
               เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า เราพูดว่าเฮ้ยแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า แม้เราก็จักขอเขา แล้วไปกล่าวว่า พี่ชาย ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง.
               นายพรานกล่าวว่า ท่านจักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่คำพูดของท่านแล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               คำว่า พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง นี้เป็นส่วนประกอบของมนุษย์ทั้งหลาย อันเขากล่าวกันอยู่ในโลก วาจาของท่านเป็นเช่นกับส่วนประกอบ ดูก่อนสหาย เราจะให้ชิ้นเนื้อแก่ท่าน.


               คำที่เป็นคาถานั้น มีอธิบายความดังนี้ :-
               คำว่า พี่น้องชายพี่น้องหญิง นี้ชื่อว่าเป็นส่วนประกอบ เพราะเป็นเช่นกับอวัยวะของมนุษย์ในโลกนี้ เพราะฉะนั้น วาจานี้ของท่านเป็นเช่นกับอวัยวะ ดังนั้น เราจะให้เฉพาะชิ้นเนื้อเท่านั้นอันสมควรแก่วาจานี้ของท่าน.

               ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นายพรานจึงได้ยกเนื้ออันเป็นอวัยวะส่วนประกอบให้ไป.
               เศรษฐีบุตรอีกคนหนึ่งถามเศรษฐีบุตรคนนั้นว่า ท่านพูดว่าอย่างไรแล้วจึงขอ.
               เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า เราพูดว่าพี่ชายแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า แม้เราก็จักขอเขาแล้ว ไปกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง.
               นายพรานกล่าวว่า ท่านจักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่คำพูดของท่าน แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
               บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทำให้หัวใจของพ่อหวั่นไหว วาจาของท่านเช่นกับน้ำใจ ดูก่อนสหาย เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่าน.


               ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงได้ยกเนื้ออันอร่อยพร้อมกับเนื้อหัวใจให้ไป.
               เศรษฐีบุตรคนที่ ๔ จึงถามเศรษฐีบุตรคนนั้นว่า ท่านพูดว่ากระไรแล้วจึงขอ.
               เศรษฐีบุตรคนนั้นกล่าวว่า เราพูดว่าพ่อแล้วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนที่ ๔ นั้นจึงกล่าวว่า แม้เราก็จักขอเขา แล้วจึงไปพูดว่า สหาย ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง.
               นายพรานกล่าวว่า ท่านจักได้ชิ้นเนื้ออันสมควรแก่คำพูดของท่านแล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
               ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านของผู้นั้นก็เป็นเหมือนกับป่า วาจาของท่านเป็นเช่นกับสมบัติทั้งมวล ดูก่อนสหาย เราจะให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน.


               คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ในบ้านของบุรุษใดไม่มีเพื่อน กล่าวคือชื่อว่าสหาย เพราะไปร่วมกันในสุขและทุกข์ สถานที่นั้นของบุรุษนั้น ย่อมเป็นเหมือนป่าไม่มีมนุษย์ ดังนั้น วาจาของท่านนี้จึงเป็นเช่นกับสมบัติทั้งหมด คือเป็นเช่นกับสมบัติอันเป็นของๆ ตนทั้งหมด เพราะฉะนั้น เราจะให้ยานบรรทุกเนื้ออันเป็นของๆ เรานี้ทั้งหมดเลยแก่ท่าน.

               ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นายพรานจึงกล่าวว่า มาเถิดสหาย ข้าพเจ้าจักนำยานบรรทุกเนื้อนี้ทั้งหมดทีเดียวไปยังบ้านของท่าน. เศรษฐีบุตรให้นายพรานนั้นขับยานไปยังเรือนของตน ให้ขนเนื้อลง กระทำสักการะสัมมานะแก่นายพราน ให้เรียกแม้บุตรและภรรยาของนายพรานนั้นมา ให้เลิกจากกรรมอันหยาบช้า ให้อยู่ในท่ามกลางกองทรัพย์สมบัติของตน เป็นสหายที่แน่นแฟ้นกับนายพรานนั้น อยู่สมัครสมานกันจนตลอดชีวิต.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
               นายพรานในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
               ส่วนเศรษฐีบุตรผู้ได้เนื้อทั้งหมดในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถามังสชาดกที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา มังสชาดก ว่าด้วย วาทศิลป์ของคนขอ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 554 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 558 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 562 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2813&Z=2824
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=5952
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=5952
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๑  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :