ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 4 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 5 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 6 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อปัณณกวรรค
ตัณฑุลนาฬิชาดก ว่าด้วยราคาข้าวสาร

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กิมคฺฆตี ตณฺฑุลนาฬิกา จ ดังนี้.
               สมัยนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตรได้เป็นพระภัตตุเทสก์ของสงฆ์ เมื่อพระทัพพมัลลบุตรนั้นแสดงสลากภัตเป็นต้นแต่เช้าตรู่ บางคราวภัตดี ก็ถึงแก่พระอุทายีเถระ บางคราวภัตเลว. ในวันที่ได้ภัตเลว พระอุทายีเถระนั้นก็กระทำโรงสลากให้อากูลวุ่นวาย กล่าวว่า พระทัพพะเท่านั้นรู้เพื่อให้สลากหรือ พวกเราไม่รู้หรือ. เมื่อพระอุทายีนั้นทำโรงสลากให้วุ่นวายอยู่ ภิกษุทั้งหลายได้ให้กระเช้าสลากด้วยคำว่า เอาเถอะท่านนั่นแหละจงให้สลากเดี๋ยวนี้. จำเดิมแต่นั้น พระอุทายีนั้นได้ให้สลากแก่สงฆ์. ก็แหละเมื่อจะให้ ย่อมไม่รู้ว่า นี้ ภัตดีหรือภัตเลว หรือว่า ย่อมไม่รู้ว่า ภัตดีตั้งไว้ที่โรงโน้น? ภัตเลวตั้งไว้ที่โรงโน้น? ย่อมไม่กำหนดว่า บัญชีแสดงยอดจำนวนอยู่ในโรงโน้น? ในเวลาที่ภิกษุทั้งหลายยืน ก็ขีดเส้นที่พื้น หรือที่ข้างฝา มีอันให้รู้ว่า ในที่นี้ บัญชีที่ตั้งลำดับนี้ยืน ในที่นี้ บัญชีที่ตั้งลำดับนี้ยืน. วันรุ่งขึ้น ในโรงสลากมีภิกษุน้อยกว่าบ้าง มากกว่าบ้าง เมื่อภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นน้อยกว่า รอยขีดก็อยู่ตํ่า เมื่อภิกษุทั้งหลายมากกว่า รอยขีดก็อยู่สูง. พระอุทายีนั้น เมื่อไม่รู้บัญชีที่ตั้งลำดับ จึงให้สลากไปตามหมายรอยขีด.
               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวกะพระอุทายีนั้นว่า ดูก่อนอาวุโสอุทายี ธรรมดา รอยขีดจะอยู่ตํ่าหรืออยู่สูงก็ตามเถอะ แต่ภัตดีตั้งอยู่ที่โรงโน้น ภัตเลวตั้งอยู่ที่โรงโน้น. พระอุทายี เมื่อจะโต้ตอบภิกษุทั้งหลาย จึงกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร รอยขีดนี้จึงตั้งอยู่อย่างนี้ เราจะเชื่อพวกท่านได้อย่างไร เราเชื่อตามรอยขีดนี้. ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายจึงกล่าวกะพระอุทายีนั้นว่า ดูก่อนอาวุโสอุทายี เมื่อท่านให้สลากอยู่ ภิกษุทั้งหลายพากันเสื่อมลาภ ท่านไม่สมควรให้สลาก จงออกไปจากโรงสลาก แล้วฉุดคร่าออกจากโรงสลาก. ขณะนั้น ในโรงสลากได้มีความวุ่นวายมาก.
               พระศาสดาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสถามพระอานนท์เถระว่า อานนท์ ในโรงสลากมีความวุ่นวายมาก นั่นชื่อว่าเสียงอะไร. พระเถระได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระตถาคต. พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ อุทายีกระทำความเสื่อมลาภแก่คนอื่น เพราะความที่ตนเป็นคนโง่ มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน. พระเถระทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อตรัสเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่า พรหมทัต อยู่ในพระนครพาราณสี แคว้นกาสี. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายได้เป็นพนักงานตีราคาของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ได้ตีราคาช้างและม้าเป็นต้น และแก้วมณีกับทองเป็นต้น ครั้นตีราคา แล้วให้มูลค่าอันสมควรแก่ภัณฑะนั่นแหละแก่เจ้าของภัณฑะทั้งหลาย แต่พระราชาทรงเป็นคนโลภ เพราะความเป็นผู้มักโลภ.
               พระราชานั้นจึงทรงดำริอย่างนี้ว่า พนักงานตีราคาคนนี้ เมื่อตีราคาอยู่อย่างนี้ ไม่นานนัก ทรัพย์ในวังของเรา จักถึงความหมดสิ้นไป เราจักตั้งคนอื่น ให้เป็นพนักงานตีราคา. พระราชานั้นทรงให้เปิดสีหบัญชร ทอดพระเนตรดูพระลานหลวง ทรงเห็นบุรุษชาวบ้านคนหนึ่งผู้ทั้งเหลวไหลและโง่เขลา จึงทรงพระดำริว่า ผู้นี้จักอาจกระทำงานในตำแหน่งพนักงานตีราคาของเราได้ จึงรับสั่งให้เรียกเขามา แล้วตรัสว่า พนาย เธอจักอาจทำงานใน ตำแหน่งพนักงานตีราคาของเราได้ไหม. บุรุษนั้นทูลว่า อาจ พะย่ะค่ะ.
               พระราชาจึงทรงตั้งบุรุษเขลาคนนั้น ไว้ในงานของผู้ตีราคา เพื่อต้องการรักษาทรัพย์ของพระองค์.
               ตั้งแต่นั้น บุรุษผู้โง่เขลานั้น เมื่อจะตีราคาช้างและม้าเป็นต้น กล่าวตีราคาเอาตามความชอบใจ ทำให้เสียราคา. เพราะเขาดำรงอยู่ในตำแหน่ง เขากล่าวคำใด คำนั้นนั่นแลเป็นราคา. ครั้งนั้น พ่อค้าม้าคนหนึ่งนำม้า ๕๐๐ ตัวมาจากแคว้นอุตตราปถะ พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษนั้นมาให้ตีราคาม้า บุรุษนั้นได้ตั้งราคาม้า ๕๐๐ ตัว ด้วยข้าวสารทะนานเดียว ก็แหละครั้นตีราคาแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้ข้าวสารหนึ่งทะนานแก่พ่อค้าม้า แล้วให้พักม้าไว้ในโรงม้า.
               พ่อค้าม้าจึงไปยังสำนักของพนักงานตีราคาคนเก่า บอกเรื่องราวนั้น แล้วถามว่า บัดนี้ ควรจะทำอย่างไร?
               พนักงานตีราคาคนเก่านั้นกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้สินบนแก่บุรุษนั้น แล้วถามอย่างนี้ว่า ม้าทั้งหลายของพวกข้าพเจ้ามีราคาข้าวสารทะนานเดียวก่อน ข้อนี้รู้กันแล้ว แต่ข้าพเจ้าประสงค์จะรู้ราคาของข้าวสารทะนานเดียว เพราะอาศัยท่าน ท่านจักอาจเพื่อยืนอยู่ในสำนักของพระราชา แล้วพูดว่า ข้าวสารหนึ่งทะนานนี้มีราคาชื่อนี้ ถ้าเขาพูดว่า จักอาจ พวกท่านจงพาเขาไปยังสำนักของพระราชา แม้เราก็จักไปในที่นั้น.
               พ่อค้ารับคำพระโพธิสัตว์ แล้วให้สินบนแก่นักตีราคา แล้วบอกเนื้อความนั้น.
               นักตีราคานั้นพอได้สินบนเท่านั้น ก็กล่าวว่า เราจักอาจตีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานได้.
               พ่อค้าม้ากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเราจงพากันไปยังราชสกุล แล้วได้พานักตีราคานั้นไปยังสำนักของพระราชา. พระโพธิสัตว์ก็ดี อำมาตย์เป็นอันมากแม้เหล่าอื่นก็ดี ได้พากันไปแล้ว พ่อค้าม้าถวายบังคมพระราชา แล้วทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ได้ทราบว่า ม้า ๕๐๐ ตัว มีราคาเท่าข้าวสารหนึ่งทะนาน แต่ข้าวสารหนึ่งทะนานนี้มีราคาเท่าไร ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้โปรดถามพนักงานตีราคา พระเจ้าข้า. พระราชาไม่ทราบความเป็นไปนั้น จึงตรัสถามว่า ท่านนักตีราคาผู้เจริญ ม้า ๕๐๐ ตัวมีราคาเท่าไร? พนักงานตีราคากราบทูลว่า มีราคาข้าวสารหนึ่งทะนาน พระเจ้าข้า
               พระราชาตรัสถามว่า ช่างเถิด พนาย ม้าทั้งหลายมีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานก่อน แต่ข้าวสารหนึ่งทะนานนั้น มีราคาเท่าไร?
               บุรุษโง่ผู้นั้นกราบทูลว่า ข้าวสารหนึ่งทะนาน ย่อมถึงค่าเมืองพาราณสี ทั้งภายในและภายนอก พะย่ะค่ะ.
               ได้ยินว่า ในกาลก่อน บุรุษโง่นั้น อนุวรรตตามพระราชา จึงได้ตีราคาม้าทั้งหลาย ด้วยข้าวสารทะนานหนึ่ง ได้สินบนจากมือของพ่อค้า กลับตีราคาเมืองพาราณสี ทั้งภายในและภายนอก ด้วยข้าวสารหนึ่งทะนานนั้น. ก็ในกาลนั้น เมืองพาราณสีได้ล้อมกำแพงประมาณ ๑๒ โยชน์ แคว้นทั้งภายในและภายนอก เมืองพาราณสีนี้ประมาณ ๓๐๐ โยชน์. บุรุษโง่นั้นได้ตีราคาเมืองพาราณสี ทั้งภายในและภายนอกอันใหญ่โตอย่างนี้ ด้วยข้าวสารหนึ่งทะนาน ฉะนี้.
               พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถานี้ว่า
               ข้าวสารหนึ่งทะนานมีราคาเท่าไร พระนครพาราณสี ทั้งภายในภายนอกมีราคาเท่าไร ข้าวสารทะนานเดียว มีราคาเท่าม้า ๕๐๐ ตัว เทียวหรือ.


               อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้น จึงพากันตบมือ หัวเราะ ทำการเยาะเย้ยว่า
               เมื่อก่อน พวกเราได้มีความสำคัญว่า แผ่นดินและราชสมบัติ หาค่ามิได้ นัยว่า ราชสมบัติในเมืองพาราณสี พร้อมทั้งพระราชาอันใหญ่โตอย่างนี้ มีค่าเพียงข้าวสารทะนานเดียว โอ! ความเพียบพร้อมของพนักงานตีราคา ท่านเป็นพนักงานตีราคา ดำรงอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ณ ที่ไหนกัน ท่านเหมาะสมแก่พระราชาของพวกเราทีเดียว.
               ครั้งนั้น พระราชาทรงละอาย ให้ฉุดคร่าบุรุษโง่นั้นออกไป แล้วได้พระราชทานตำแหน่งพนักงานตีราคาแก่พระโพธิสัตว์ตามเดิม. พระโพธิสัตว์ได้ไปตามยถากรรม.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบอนุสนธิต่อกันไป แล้วทรงประชุมชาดกว่า
               พนักงานตีราคาผู้เป็นชาวบ้านโง่เขลาในกาลนั้น ได้เป็นพระโลฬุทายี ในบัดนี้
               พนักงานตีราคาผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็น เราเอง.

               จบอรรถกถาตัณฑุลนาฬิชาดกที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อปัณณกวรรค ตัณฑุลนาฬิชาดก ว่าด้วยราคาข้าวสาร จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 4 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 5 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 6 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=30&Z=34
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=3959
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=3959
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :