พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภหญิงคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สิงฺคี มิโค ดังนี้.
ได้ยินว่า ในเมืองสาวัตถี มีกฎุมพีคนหนึ่งพาภรรยาของตนไปยังชนบท
เพื่อต้องการชำระหนี้สินให้หมดไป ครั้นชำระหนี้สินหมดแล้วก็เดินทางมา ถูกพวกโจรจับในระหว่างทาง.
ก็ภรรยาของกฎุมพีนั้นเป็นผู้มีรูปสวยงามน่าเลื่อมใสยินดี.
หัวหน้าโจรปรารภจะฆ่ากฎุมพีเสีย เพราะความเสน่หาในนาง แต่นางเป็นสตรีมีศีล สมบูรณ์ด้วยอาจารมารยาท เคารพสามีดุจเทวดา.
นางจึงหมอบลงแทบเท้าของหัวหน้าโจรอ้อนวอนว่า ข้าแต่นายโจรผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านมีความเสน่หาดิฉัน
ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันเลย ถ้าท่านจักฆ่า ดิฉันจักกินยาพิษหรือกลั้นลมหายใจตาย
ก็ดิฉันจักไม่ไปกับท่าน ท่านอย่าฆ่าสามีของดิฉันโดยใช่เหตุเลย แล้วขอให้ปล่อยสามีนั้นไป.
ฝ่ายสามีภรรยาทั้งสองนั้นถึงเมืองสาวัตถีโดยปลอดภัย เดินทางมาทางด้านหลังวิหารพระเชตวัน
เข้าไปยังพระวิหารดื่มน้ำแล้ว หารือกันว่าจักถวายบังคมพระศาสดา จึงเข้าไปยังบริเวณพระคันธกุฎี ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสถามสามีภรรยาทั้งสองนั้นว่า ไปไหนมา. เขาทั้งสองจึงกราบทูลว่า ไปชำระหนี้สินมา พระเจ้าข้า.
เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ก็ในระหว่างทาง พวกท่านมากันโดยไม่มีความป่วยไข้หรือ?
กฎุมพีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในระหว่างทาง พวกโจรจับข้าพระองค์ทั้งสอง
ในตอนนั้น ภรรยาของข้าพระองค์คนนี้ได้อ้อนวอนนายโจรผู้จะฆ่าข้าพระองค์ ให้ปล่อยตัวมา เพราะอาศัยภรรยาผู้นี้ ข้าพระองค์ได้รอดชีวิตมา.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่บัดนี้เท่านั้น ที่สตรีผู้นี้ได้ให้ชีวิตแก่ท่าน ถึงในกาลก่อน ก็ได้ให้แม้แก่บัณฑิตทั้งหลาย
อันกฎุมพีนั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี
มีห้วงน้ำใหญ่อยู่ใกล้หิมวันตประเทศ
ในห้วงน้ำใหญ่นั้นได้มีปูทองตัวใหญ่อาศัยอยู่ ห้วงน้ำใหญ่นั้นปรากฏชื่อว่ากุฬีรรหทะ
แปลว่า หนองปู เพราะเป็นที่อยู่ของปูทองตัวนั้น. ปูทองนั้นใหญ่โตขนาดเท่าลานนวดข้าว จับช้างกิน
เพราะกลัวปูทองนั้น ช้างทั้งหลายไม่อาจลงห้วงน้ำนั้นหาอาหารกิน.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์นางช้างพัง เพราะอาศัยช้างจ่าฝูงในฝูงช้างที่อาศัยกุฬีรรหทะสระอยู่.
ลำดับนั้น มารดาของพระโพธิสัตว์นั้นคิดว่า จักรักษาครรภ์จึงไปยังถิ่นภูเขาอื่นรักษาครรภ์อยู่จนคลอดบุตร.
พระโพธิสัตว์นั้นรู้เดียงสาขึ้นโดยลำดับ มีบริวารมาก สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความงาม
เป็นคล้ายกับภูเขาอันชัน. พระโพธิสัตว์นั้นอยู่ร่วมกับนางช้างพังเชือกหนึ่ง คิดว่าจักจับปู
จึงพาภรรยาและมารดาของตนเข้าฝูงช้างนั้น พบกับบิดาจึงกล่าวว่า พ่อ ฉันจักจับปู.
ลำดับนั้น บิดาได้ห้ามเขาว่า เจ้าจักไม่สามารถนะลูก.
พระโพธิสัตว์พูดกะบิดาผู้กล่าวอยู่บ่อยๆ ว่า ท่านจักรู้กำลังของข้าพเจ้า.
พระโพธิสัตว์นั้นจึงให้ประชุมช้างทั้งหมดที่เข้าไปอาศัยห้วงน้ำกุฬีระอยู่
เดินไปใกล้ห้วงน้ำพร้อมกับช้างทั้งปวงแล้วถามว่า ปูนั้นจับช้างในเวลาลง ในเวลาหาอาหาร หรือในเวลาขึ้น
ได้ฟังว่า ในเวลาขึ้น จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น แม้พวกท่านจงลงห้วงน้ำกุฬีระ
หาอาหารกินจนเพียงพอแล้วขึ้นมาก่อน เราจักอยู่ข้างหลัง.
ช้างทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้น
ปูจึงเอาก้ามทั้งคู่หนีบสองเท้าพระโพธิสัตว์ซึ่งขึ้นภายหลังไว้แน่น
เหมือนช่างทองเอาคีมใหญ่หนีบซี่เหล็กฉะนั้น.
นางช้างไม่ละทิ้งพระโพธิสัตว์ ได้ยืนอยู่ในที่ใกล้ๆ นั่นแหละ.
พระโพธิสัตว์ดึงก็ไม่สามารถทำให้ปูเขยื้อน ส่วนปูลากพระโพธิสัตว์มาให้ตรงปากตน.
พระโพธิสัตว์ถูกมรณภัยคุกคาม จึงร้องว่าติดก้ามปู
ช้างทั้งปวงกลัวมรณภัย ส่งเสียงร้องก้องโกญจนาทขี้เยี่ยวราดหนีไป.
ฝ่ายนางช้างก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้เริ่มจะหนีไป.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทำให้นางเข้าใจว่าตนถูกหนีบไว้ เพื่อจะไม่ให้นางหนีไปจึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ปูทองมีนัยน์ตายาว มีหนังเป็นกระดูกอาศัยอยู่ในน้ำ
ไม่มีขน ฉันถูกปูทองนั้นหนีบไว้แล้ว จึงร้องขอความช่วยเหลือ เจ้าอย่าทิ้งฉันผู้คู่ชีวิตเสียเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิงฺคี มิโค ได้แก่ มฤคมีสีเหมือนสีทอง มีเขา. อธิบายว่า ชื่อว่ามีเขา เพราะประกอบด้วยก้ามทั้งสองอันยังกิจที่จะพึงทำด้วยเขาให้สำเร็จ.
ส่วนกุฬีระคือปู ท่านเรียกว่ามิคะ คือมฤคในที่นี้โดยถือเอาอย่างรวบยอด.
ในบทว่า อายตจกฺขุเนตฺโต นี้ที่ชื่อว่าจักษุ เพราะอรรถว่าเห็น, ที่ชื่อว่าเนตรเพราะอรรถว่านำไป,
เนตรกล่าวคือจักษุของปูนั้นยาว เพราะเหตุนั้น ชื่อว่ามีเนตรคือจักษุยาว อธิบายว่ามีนัยน์ตายาว.
ชื่อว่ามีหนังเป็นกระดูก เพราะกระดูกเท่านั้นทำกิจคือหน้าที่ของหนังให้สำเร็จแก่ปูนั้น.
บทว่า เตนาภิภูโต ความว่า ถูกมฤคนั้นนั่นแหละครอบงำคือท่วมทับ ได้แก่จับไว้เคลื่อนไหวไม่ได้.
บทว่า กปณํ รุทามิ ความว่า เราเป็นผู้ถึงความเป็นผู้น่ากรุณาร้องคร่ำครวญอยู่.
บทว่า มา เหว มํ ความว่า ท่านอย่าได้ทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้เป็นสามีที่รัก ผู้เสมอกับลมปราณของตน ผู้ถึงความพินาศเห็นปานนี้.
ลำดับนั้น ช้างพังนั้นจึงหันกลับ เมื่อจะปลอบโยนพระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ข้าแต่เจ้า ดิฉันจักไม่ละทิ้งท่านผู้เป็นช้างทรงกำลังถึง ๖๐ ปี
ท่านย่อมเป็นที่รักใคร่อย่างยิ่งของดิฉัน ยิ่งกว่าปฐพีอันมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฏฺฐิหายนํ ความว่า ก็ในเวลามีอายุ ๖๐ ปี โดยกำเนิด ช้างทั้งหลายย่อมเสื่อมถอยกำลัง ดิฉันนั้นจักไม่ละทิ้งท่านผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังอย่างนี้ ผู้ถึงความพินาศ
ท่านอย่ากลัว เพราะว่าท่านเป็นที่รักยิ่งของดิฉัน กว่าปฐพีนี้อันตั้งจรดมหาสมุทรในทิศทั้ง ๔ ชื่อว่ามีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นแดนสุด.
ครั้นนางช้างทำพระโพธิสัตว์นั้นให้เข้มแข็ง แล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ดิฉันเมื่อได้สนทนาปราศรัยกับปูทองสักหน่อย จักให้ปล่อยท่าน.
เมื่อจะอ้อนวอนปูทอง จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ปูเหล่าใด อยู่ในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาก็ดี ในแม่น้ำยมุนาก็ดี
ท่านเป็นสัตว์น้ำผู้ประเสริฐกว่าปูเหล่านั้น ขอท่านจงปล่อยสามีของดิฉันผู้ร้องไห้อยู่เถิด.
เนื้อความของคำที่เป็นคาถานั้นว่า
ปูเหล่าใดในมหาสมุทรก็ดี ในแม่น้ำคงคาหรือยมุนาก็ดี ท่านเท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐกว่าปูเหล่านั้นทั้งหมด
โดยความถึงพร้อมด้วยวรรณะและโดยความเป็นใหญ่ ด้วยเหตุนั้น ดิฉันจึงขออ้อนวอนท่าน ขอท่านโปรดปล่อยสามีของดิฉันผู้กำลังร้องไห้อยู่เถิด.
เมื่อนางช้างนั้นกำลังพูดอยู่ ปูได้ถือนิมิตในเสียงหญิง เป็นผู้มีใจถูกดึงลง จึงอ้าก้ามจากเท้าช้าง หาได้รู้อะไรบ้างว่า ช้างนี้ เราปล่อยแล้วจักกระทำชื่อสิ่งนี้.
ลำดับนั้น ช้างจึงยกเท้าเหยียบหลังนั้นกระดองพังทลายไปในทันทีนั่นเอง ช้างร้องขึ้นด้วยความยินดี.
ช้างทั้งปวงจึงประชุมกันนำเอาปูไปวางบนบก กระทืบให้ละเอียดเป็นจุรณวิจุรณไป.
ก้ามทั้งสองปูนั้นแตกออกจากร่างกระเด็นตกไปยังส่วนข้างหนึ่ง.
ก็ห้วงน้ำที่มีปูอยู่นั้นเนื่องเป็นอันเดียวกันกับแม่น้ำคงคา
ในเวลาที่แม่น้ำคงคาเต็ม ก็เต็มไปด้วยน้ำในแม่น้ำคงคา เมื่อน้ำแม่น้ำคงคาน้อย น้ำในห้วงก็ไหลลงสู่แม่น้ำคงคา.
ครั้งนั้น ก้ามปูแม้ทั้งสองก้ามนั้นก็ลอยไปในแม่น้ำคงคา
ในก้ามปูสองก้ามนั้น ก้ามหนึ่งลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พระราชาพี่น้อง ๑๐ องค์ เล่นน้ำอยู่ ได้ไปก้ามหนึ่งกระทำตะโพนชื่อว่าอณิกมุทิงคะ.
ส่วนอีกก้ามที่ลอยเข้าไปยังมหาสมุทร พวกอสูรถือเอาไปแล้วให้กระทำเป็นกลองชื่ออฬัมพรเภรี.
ในกาลต่อมา พวกอสูรเหล่านั้นถูกท้าวสักกะให้พ่ายแพ้ในสงคราม จึงทิ้งอฬัมพรเภรีนั้นหลบหนีไป.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะให้ยึดเอาอฬัมพรเภรีนั้นมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พระองค์.
อาจารย์บางพวกหมายเอากลองนั้นกล่าวว่า กลองอฬัมพระดังกระหึ่ม ดุจเมฆคำรามฉะนั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก
ในเวลาจบสัจจะ สามีภรรยาแม้ทั้งสองก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ช้างพังในกาลนั้น ได้เป็น อุบาสิกาผู้นี้
ส่วนช้าง คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุวรรณกักกฏกชาดกที่ ๗
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา สุวรรณกักกฏกชาดก ว่าด้วย ปูทอง จบ.
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2181&Z=2192
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=1751
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=1751
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]