ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 329 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 332 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 334 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา สัพพทาฐิชาดก
ว่าด้วย ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สิคาโล มานถทฺโธ จ ดังนี้.
               พระเทวทัตยังพระเจ้าอชาตศัตรูให้เลื่อมใสแล้ว ก็ไม่สามารถจะทำลาภสักการะที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่ได้นาน ลาภสักการะของพระเทวทัตได้หมดสิ้นไป ตั้งแต่ครั้งที่ได้เห็นปาฏิหาริย์กันในการปล่อยช้างนาฬาคิรีแล้ว.
               อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตยังลาภสักการะให้เกิดขึ้นแล้ว ก็มิได้อาจจะให้ดำรงอยู่ได้นาน. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัต มิใช่ทำลาภสักการะที่เกิดแก่ตนให้หมดสิ้นไปในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็ได้หมดสิ้นไปแล้วเหมือนกัน ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระองค์ เป็นผู้จบไตรเพทและศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ รอบรู้ปฐวีวิชัยมนต์ที่เรียกว่าปฐวีวิชัยมนต์นั้น คือมนต์กลับใจให้หลง.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์คิดว่าจักสาธยายมนต์นั้น จึงนั่งทำการสาธยายมนต์บนหินดาดที่เนินผาแห่งหนึ่ง นัยว่า มนต์นั้นผู้มีใจวอกแวกความทรงจำไม่ดี ไม่สามารถจะให้สำเร็จได้ เพราะฉะนั้น ปุโรหิตนั้นจึงสาธยายในที่เช่นนั้น.
               ในเวลาที่ท่านปุโรหิตทำการสาธยาย มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งนอนอยู่ในโพรงแห่งหนึ่ง ได้ยินมนต์นั้นเหมือนกัน ได้ท่องจำจนแคล่วคล่อง นัยว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นในอัตภาพอดีตถัดไปได้เป็นพราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งแสดงแคล่วคล่องปฐวีวิชัยมนต์.
               พระโพธิสัตว์ทำการสาธยายแล้วลุกไป กล่าวว่า มนต์ของเรานี้แคล่วคล่องหนอ. สุนัขจิ้งจอกออกจากโพรงกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ผู้เจริญ มนต์นี้แคล่วคล่องแก่ข้าพเจ้ายิ่งกว่าท่านเสียอีก แล้ววิ่งหนีไป. พระโพธิสัตว์คิดว่า สุนัขจิ้งจอกนี้จักทำอกุศลใหญ่หลวง จึงติดตามไปได้หน่อยหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกได้หนีเข้าป่าไป. สุนัขจิ้งจอกไปงับนางสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เมื่อนางสุนัขจิ้งจอกถามว่า อะไรกันนี่ กล่าวว่า เจ้ารู้จักเราหรือไม่รู้จัก. นางสุนัขจิ้งจอกตอบว่า รู้จักซิ. สุนัขจิ้งจอกนั้นร่ายปฐวีวิชัยมนต์บังคับสุนัขจิ้งจอกเป็นร้อยๆ ไว้ในอำนาจ กระทำสัตว์ ๔ เท้ามีช้าง ม้า สิงห์ เสือ กระต่าย สุกรและเนื้อเป็นต้นทั้งหมดไว้ในสำนักของตน และแล้วได้เป็นพญาสัตว์ ชื่อว่าสัพพทาฐะ นางสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเป็นอัครมเหสี ราชสีห์ยืนอยู่บนหลังช้างสองเชือก พญาสุนัขจิ้งจอกนั่งบนหลังราชสีห์ กับนางสุนัขจิ้งจอกผู้เป็นอัครมเหสี นับเป็นยศอันยิ่งใหญ่.
               พญาสุนัขจิ้งจอกเมาด้วยยศมหันต์ เกิดความมานะ คิดชิงราชสมบัติกรุงพาราณสี แวดล้อมด้วยสัตว์จตุบาททั้งปวง บรรลุถึงที่ไม่ไกลจากกรุงพาราณสี มีบริษัทบริวารได้ ๑๒ โยชน์. พญาสุนัขจิ้งจอกตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ส่งสาสน์ไปถึงพระราชาว่า จงมอบราชสมบัติให้หรือจงรบ. ชาวกรุงพาราณสีต่างพากันสะดุ้งหวาดกลัว ปิดประตูพระนครตั้งมั่นอยู่.
               พระโพธิสัตว์เข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์อย่ากลัวเลย การต่อสู้ด้วยการรบกับสุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะ เป็นภาระของข้าพระองค์เอง เว้นข้าพระองค์เสีย ไม่มีผู้อื่นสามารถรบกับมันได้ ปลอบใจพระราชากับประชาชนแล้ว คิดว่า สัพพทาฐะจะทำอย่างไรจึงจะยึดราชสมบัติ เราจักถามมันดูก่อน จึงขึ้นป้อมที่ประตูเมืองถามว่า ดูก่อนสัพพทาฐะผู้สหาย ท่านจักทำประการใดจึงจะชิงเอาราชสมบัตินี้ได้.
               สัพพทาฐะตอบว่า เราจะให้ราชสีห์เปล่งสีหนาททำให้มหาชนสะดุ้งตกใจกลัวเสียง แล้วจักยึดเอาราชสมบัติ.
               พระโพธิสัตว์ก็รู้ว่า มีอุบายแก้ จึงลงจากป้อมให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ชาวกรุงพาราณสีทั้งหมด ๑๒ โยชน์ จงเอาแป้งถั่วราชมาศปิดช่องหูเสีย. มหาชนฟังเสียงป่าวร้อง พากันเอาแป้งถั่วราชมาศปิดช่องหูของตน และของสัตว์ ๔ เท้าทั้งหมด จนกระทั่งแมวไม่ให้ได้ยินเสียงของผู้อื่น.
               ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ขึ้นสู่ป้อม ร้องเรียกอีกว่า ดูก่อนสัพพทาฐะ พญาสุนัขจิ้งจอกถามว่า อะไรเล่าพราหมณ์. กล่าวว่า ท่านจักทำอย่างไรอีกจึงจะชิงเอาราชสมบัตินี้ได้. ตอบว่า ข้าพเจ้าจะให้ราชสีห์เปล่งสีหนาทให้พวกมนุษย์ตกใจกลัว ให้ถึงแก่ความตาย แล้วจึงจะยึดเอาราชสมบัติ. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านไม่อาจให้ราชสีห์เปล่งสีหนาทได้ เพราะพญาไกรสรสีหราชมีเท้าหน้าเท้าหลังแดงงาม สมบูรณ์ด้วยชาติ จักไม่ทำตามคำสั่งของสุนัขจิ้งจอกแก่เช่นท่าน. สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ดื้อด้านอวดดี กล่าวว่า ราชสีห์ทั้งหลายตัวอื่นจงยืนเฉย เรานั่งอยู่บนหลังตัวใด จักให้ตัวนั้นแหละแผดเสียง.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น จงให้แผดเสียงเถิด ถ้าท่านสามารถ. พญาสุนัขจิ้งจอกจึงให้สัญญาณด้วยเท้าแก่ราชสีห์ตัวที่ตนนั่งอยู่บนหลังว่า จงแผดเสียง. ราชสีห์นั้นจึงเม้มปากเปล่งสีหนาทบนกะพองเศียรช้าง ๓ ครั้ง อย่างไม่เคยเปล่งมาเลย. ช้างทั้งหลายต่างสะดุ้งตกใจ สลัดสุนัขจิ้งจอกให้ตกไปที่โคนเท้า เอาเท้าเหยียบหัวสุนัขจิ้งจอกนั้นแหลกละเอียดไป.
               สุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นเอง.
               ช้างเหล่านั้นได้ยินเสียงราชสีห์แล้ว ก็กลัวภัย คือความตาย ต่างก็สับสนชุลมุนวุ่นวายแทงกันตาย ณ ที่นั้นเอง. สัตว์ ๔ เท้าทั้งหมด แม้ที่เหลือมีเนื้อและสุกรเป็นต้น มีกระต่ายและแมวเป็นที่สุด ยกเว้นราชสีห์ทั้งหลายเสีย ได้ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นเอง. ราชสีห์ทั้งหลายก็หนีเข้าป่าไป กองเนื้อสัตว์เกลื่อนไปทั้ง ๑๒ โยชน์.
               พระโพธิสัตว์ลงจากป้อมแล้ว ให้เปิดประตูพระนคร ให้ตีกลองเที่ยวประกาศไปในพระนครว่า ชาวเมืองทั้งหมดจงเอาแป้งที่หูของตนออก มีความต้องการเนื้อก็จงไปเก็บเอามา. มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคเนื้อสด ที่เหลือก็ตากแห้งทำเป็นเนื้อแผ่นไว้ กล่าวกันว่า นัยว่าการทำเนื้อแผ่นตากแห้งเกิดขึ้นในครั้งนั้นเอง.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสอภิสัมพุทธคาถาเหล่านี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า :-
               สุนัขจิ้งจอกกระด้างด้วยมานะ มีความต้องการด้วยบริวาร ได้บรรลุถึงสมบัติใหญ่ ได้เป็นราชาแห่งสัตว์มีเขี้ยวงาทั้งปวง ฉันใด
               ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดมีบริวารมาก ผู้นั้นชื่อว่าเป็นใหญ่ในบริวารเหล่านั้น ดุจสุนัขจิ้งจอกได้เป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวงาฉะนั้น.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า มานถทฺโธ ได้แก่ สุนัขจิ้งจอกกระด้างด้วยมานะเกิดขึ้นเพราะอาศัยบริวาร.
               บทว่า ปริวาเรน อตฺถิโก คือ มีความต้องการด้วยบริวารให้ยิ่งขึ้นไป.
               บทว่า มหตึ ภูมึ ได้แก่ สมบัติใหญ่.
               บทว่า ราชาสิ สพฺพทาฐินํ คือ ได้เป็นราชาแห่งสัตว์มีเขี้ยวงาทั้งหมด.
               บทว่า โส ฯเปฯ โหติ ความว่า บุรุษผู้ถึงพร้อมด้วยบริวารนั้น ชื่อว่าเป็นใหญ่ในบริวารเหล่านั้น.
               บทว่า สิคาโล วิย ทาฐินํ ได้แก่ ได้เป็นใหญ่เหมือนสุนัขจิ้งจอกได้เป็นใหญ่กว่าสัตว์มีเขี้ยวงาฉะนั้น ทีนั้น เขาถึงความประมาท ก็ย่อมถึงความพินาศ เพราะอาศัยบริวารนั้น ดุจสุนัขจิ้งจอกฉะนั้น.

               สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต ในครั้งนี้
               พระราชาได้เป็น สารีบุตร
               ส่วนปุโรหิต คือ เราตถาคต นี้แล.

               จบ อรรถกถาสัพพทาฐชาดกที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สัพพทาฐิชาดก ว่าด้วย ผู้มีบริวารมากเป็นใหญ่ได้ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 329 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 332 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 334 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1887&Z=1894
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=6411
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=6411
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๐  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :