ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 24 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 25 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 26 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก กุรุงควรรค
๕. ติตถชาดก ว่าด้วยการเบื่อเพราะซ้ำซาก

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้เคยเป็นช่างทองรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อญฺญมญฺเญหิ ติฏฺเฐหิ ดังนี้.
               ก็อาสยานุสยญาณย่อมมีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ย่อมไม่มีแก่คนอื่น เพราะฉะนั้น พระธรรมเสนาบดีจึงไม่รู้อาสยะคืออัธยาศัย และอนุสัยคือกิเลสอันเนื่องอยู่ในสันดานของสัทธิวิหาริก เพราะความที่ตนไม่มีอาสยานุสยญาณ จึงบอกเฉพาะอสุภกรรมฐานเท่านั้น อสุภกรรมฐานนั้นไม่เป็นสัปปายะแก่สัทธิวิหาริกนั้น.
               เพราะเหตุไร ?
               เพราะได้ยินว่า สัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดีนั้น ถือปฏิสนธิในเรือนของช่างทองเท่านั้น ถึง ๕๐๐ ชาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น อสุภกรรมฐานจึงไม่เป็นสัปปายะแก่สัทธิวิหาริกนั้น เพราะเป็นผู้เคยชินต่อการเห็นทองคำบริสุทธิ์เท่านั้น เป็นเวลานาน สัทธิวิหาริกนั้นไม่อาจทำ แม้มาตรว่า นิมิตให้เกิดขึ้นในกรรมฐานนั้น ให้เวลาสิ้นไป ๔ เดือน. พระธรรมเสนาบดี เมื่อไม่อาจให้พระอรหัตแก่สัทธิวิหาริกของตน จึงคิดว่า ภิกษุนี้จักเป็นพุทธเวไนยแน่นอน เราจักนำไปยังสำนักของพระตถาคต จึงพาสัทธิวิหาริกนั้นไปยังสำนักของพระศาสดาด้วยตนเอง แต่เช้าตรู่.
               พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร เธอพาภิกษุรูปหนึ่งมาหรือหนอ.
               พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ให้กรรมฐานแก่ภิกษุนี้ แต่ภิกษุนี้ไม่อาจทำแม้มาตรว่านิมิตให้เกิดขึ้น โดยเวลา ๔ เดือน ข้าพระองค์นั้นคิดว่า ภิกษุนี้จักเป็นพุทธเวไนย ผู้ที่พระพุทธเจ้าจะพึงทรงแนะนำ จึงได้พามายังสำนักของพระองค์ พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร เธอให้กรรมฐานชนิดไหนแก่สัทธิวิหาริกของเธอ?
               พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ให้อสุภกรรมฐาน พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาตรัสว่า สารีบุตร เธอไม่มีญาณเครื่องรู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย เธอไปก่อนเถิด เวลาเย็นเธอมา พึงพาสัทธิวิหาริกของเธอมาด้วย.
               พระศาสดาทรงส่งพระเถระไปอย่างนี้แล้ว ได้ให้ผ้านุ่งและจีวรอันน่าชอบใจแก่ภิกษุนั้น แล้วทรงพาภิกษุนั้นเข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน ให้ของเคี้ยวของฉันอันประณีต แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ กลับมายังพระวิหารอีก ทรงยังเวลาส่วนกลางวัน ให้สิ้นไปในพระคันธกุฎี พอเวลาเย็น ทรงพาภิกษุนั้นเที่ยวจาริกไปในวิหาร แล้วทรงนิรมิตสระโบกขรณีสระหนึ่งในอัมพวัน แล้วทรงนิรมิตกอปทุมใหญ่ในสระโบกขรณีนั้น และทรงนิรมิตดอกปทุมใหญ่ดอกหนึ่งในกอปทุม แม้นั้น แล้วรับสั่งให้นั่งลงด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุ เธอจงนั่งแลดูดอกปทุมนี้ แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี.
               ภิกษุนั้นแลดูดอกปทุมนั้นบ่อยๆ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ดอกปทุมนั้นเหี่ยว. ดอกปทุมนั้น เมื่อภิกษุนั้นแลดูอยู่นั่นแหละ ได้เหี่ยวเปลี่ยนสีไป. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น กลีบของดอกปทุมนั้นก็ร่วงไปตั้งแต่รอบนอก ได้ร่วงไปหมดโดยครู่เดียว. แต่นั้น เกสรก็ร่วงไป เหลืออยู่แต่ฝักบัว.
               ภิกษุนั้นเห็นอยู่ดังนั้นจึงคิดว่า ดอกปทุมนี้ได้งดงามน่าดูอยู่เดี๋ยวนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น สีของมันก็แปรไป กลีบและเกสรร่วงไป คงอยู่แต่เพียงฝักบัวเท่านั้น ความชราถึงแก่ดอกปทุมชื่อเห็นปานนี้ อย่างไรจักไม่ถึงร่างกายของเรา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ จึงเริ่มเจริญวิปัสสนา
               พระศาสดาทรงทราบว่า จิตของภิกษุนั้นขึ้นสู่วิปัสสนาแล้ว ประทับอยู่ในพระคันธุฎีนั่นแล ทรงเปล่งโอภาสแสงสว่างไป แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า

               เธอจงตัดความสิเนหาของตนเสีย เหมือนคนตัดดอกโกมุทอันเกิดในสารทกาล เธอจงพอกพูนทางแห่งความสงบ เพราะพระนิพพาน ตถาคตแสดงไว้แล้ว.


               ในเวลาจบคาถา ภิกษุนั้นบรรลุพระอรหัต แล้วคิดว่า เราเป็นผู้พ้นแล้วหนอจากภพทั้งปวง จึงเปล่งอุทานด้วยคาถาทั้งหลาย มีอาทิว่า

               เรานั้นมีธรรมเครื่องอยู่อันอยู่จบแล้ว มีฉันทะในใจบริบูรณ์แล้ว มีอาสวะสิ้นไปแล้ว ทรงไว้ซึ่งร่างกายครั้งสุดท้าย มีศีลบริสุทธิ์ มีอินทรีย์ตั้งมั่นด้วยดี หลุดพ้นแล้ว เหมือนพระจันทร์พ้นจากปากของราหู ฉะนั้น.
               เราบรรเทามลทินทั้งปวงอันกระทำความมืด ซึ่งมืดมนอนธการ เพราะโมหะได้เด็ดขาด เหมือนพระอาทิตย์มีรัศมีตั้งพัน ผู้สร้างแสงสว่าง ทำความโชติช่วง ด้วยแสงสว่างในท้องฟ้า ฉะนั้น.


               ก็แหละครั้นเปล่งอุทานแล้ว จึงมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายพระเถระก็มาถวายบังคมพระศาสดา แล้วได้พาสัทธิวิหาริกของตนไป.
               ข่าวนี้เกิดปรากฏในระหว่างภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายนั่งพรรณนาพระคุณของพระทศพลอยู่ในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระสารีบุตรเถระไม่รู้อัธยาศัยของสัทธิวิหาริกของตน เพราะไม่มีอาสยานุสยญาณ แต่พระศาสดาทรงทราบ ได้ประทานพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแก่ภิกษุนั้น โดยวันเดียวเท่านั้น โอ! ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีอานุภาพมาก.
               พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาด แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์นั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องอื่นหามิได้ แต่นั่งสนทนากัน ด้วยเรื่องพระญาณ เครื่องรู้อัธยาศัย และอนุสัยแห่งสัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดี เฉพาะของพระองค์เท่านั้น.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ไม่น่าอัศจรรย์ บัดนี้ เรานั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมรู้อัธยาศัยของภิกษุนั้น แม้ในกาลก่อน เราก็รู้อัธยาศัยของภิกษุนั้นเหมือนกัน.
               แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์อนุศาสน์อรรถและธรรมกะพระราชาพระองค์นั้น. ในกาลนั้น พวกคนเลี้ยงม้าให้ม้ากระจอกขาเขยก อาบก่อนกว่าม้าอื่น ณ ท่าที่ม้ามงคลของพระราชาอาบ. ม้ามงคลถูกให้ลงท่าที่ม้ากระจอกอาบ จึงเกลียดไม่ปรารถนาจะลง. คนเลี้ยงม้ามากราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ม้ามงคลไม่ปรารถนาจะลงท่านํ้า พระเจ้าข้า.
               พระราชาทรงสั่งพระโพธิสัตว์ไปว่า ดูก่อนบัณฑิต ท่านจงไป จงรู้ว่าเพราะเหตุไร ม้าถูกเขาให้ลงท่านํ้าจึงไม่ลง.
               พระโพธิสัตว์ทูลรับพระบัญชา แล้วไปยังฝั่งแม่นํ้า ตรวจดูม้าก็รู้ว่า ม้าไม่มีโรค จึงใคร่ครวญว่า เพราะเหตุไรหนอ ม้านี้จึงไม่ลงท่านี้ จึงคิดว่า ม้าอื่นจักถูกอาบที่ท่านี้ก่อน ด้วยเหตุนั้น ม้านั้นเห็นจะรังเกียจจึงไม่ลงท่า แล้วถามพวกคนเลี้ยงม้าว่า ท่านผู้เจริญ ที่ท่านี้ท่านทั้งหลายให้ม้าอะไรอาบก่อน.
               พวกคนเลี้ยงม้ากล่าวว่า ข้าแต่นาย ให้ม้ากระจอกอาบก่อนกว่าม้าอื่น.
               พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยของม้านั้นว่า ม้านี้รังเกียจจึงไม่ปรารถนาจะอาบที่ท่านี้ เพราะตนเป็นสัตว์มี (คุณ)สมบัติ การให้ม้านี้อาบในท่าอื่นจึงจะควร จึงกล่าวว่า ท่านผู้เลี้ยงม้าผู้เจริญ แม้ข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส นํ้าผึ้ง และนํ้าอ้อย เมื่อบุคคลบริโภคบ่อยๆ ก่อน ย่อมมีความเบื่อ ม้านี้อาบที่ท่านี้หลายครั้ง เบื้องต้นพวกท่านจงให้ม้านั้นลงยังท่าแม้อื่น แล้วให้อาบและดื่ม จึงกล่าวคาถานี้ว่า
               ดูกรนายสารถี ท่านจงยังม้าให้อาบและดื่มน้ำที่ท่าโน้นบ้าง ท่านี้บ้าง แม้ข้าวปายาสที่บริโภคบ่อยครั้ง คนก็ยังเบื่อได้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญมญฺเญหิ แยกศัพท์ออกเป็น อญฺเญหิ อญฺเญหิ แปลว่า อื่นๆ.
               บทว่า ปาเยหิ (แปลว่าจงให้ดื่ม) นี้ เป็นหัวข้อเทศนา อธิบายว่า จงให้อาบและให้ดื่ม.
               บทว่า อจฺจาสนสฺส นี้เป็นฉัฏฐีวิภัติใช้ในอรรถแห่งตติยาวิภัติ อธิบายว่า กินยิ่ง คือบริโภคยิ่ง.
               บทว่า ปายาสสฺสปิ ตปฺปติ ความว่า ย่อมอิ่ม คือเป็นผู้อิ่ม เป็นผู้ที่เขาเลี้ยงดูอิ่มแล้ว แม้ด้วยข้าวมธุปายาสที่ปรุงด้วยเนยใสเป็นต้น ย่อมไม่ถึงความเป็นผู้ต้องการบริโภคอีก เพราะฉะนั้น ม้าแม้นี้ก็จักถึงความพอ เพราะการอาบประจำที่ท่านี้ ท่านจงให้อาบที่ท่าอื่นเถิด.
               คนเลี้ยงม้าเหล่านั้น ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงให้ม้าลงท่าอื่น ให้ดื่มและให้อาบ ในเวลาที่ม้าดื่มนํ้าแล้วอาบ พระโพธิสัตว์ได้มายังสำนักของพระราชา.
               พระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อ ม้าอาบและดื่มแล้วหรือ
               พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ.
               พระราชาตรัสถามว่า ทีแรก เพราะเหตุไร ม้าจึงไม่ปรารถนา?
               พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เพราะเหตุชื่อแม้นี้ แล้วกราบทูลเหตุทั้งปวง พระราชาตรัสว่า โอ! ท่านบัณฑิตย่อมรู้อัธยาศัยชื่อแม้ของสัตว์เดียรัจฉาน เห็นปานนี้ แล้วประทานยศใหญ่แก่พระโพธิสัตว์ ในเวลาสิ้นอายุ ได้เสด็จไปตามยถากรรมแล้ว
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ไปตามยถากรรมเหมือนกัน.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรารู้อัธยาศัยของภิกษุนี้ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็รู้เหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว.
               จึงทรงประชุมชาดกว่า
                         ม้ามงคลในกาลนั้น ได้เป็น ภิกษุรูปนี้
                         พระราชาในกาลนั้น ได้เป็น พระอานนท์
                         ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็น เราผู้ตถาคต แล.


               จบอรรถกถาติฏฐชาดกที่ ๕               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก กุรุงควรรค ๕. ติตถชาดก ว่าด้วยการเบื่อเพราะซ้ำซาก จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 24 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 25 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 26 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=167&Z=171
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=5657
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=5657
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๔  ตุลาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :