ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 233 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 235 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 237 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา จุลลปทุมชาดก
ว่าด้วย การลงโทษหญิงชายทำชู้กัน

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อยเมว สา อหมฺปิ โส อนญฺโญ ดังนี้.
               เรื่องราวจักมีแจ้งใน อุมมาทันตีชาดก.
               ก็ในเรื่องนี้ ภิกษุนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ. กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ก็ใครทำให้เธอกระสันเล่า. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นมาตุคามคนหนึ่ง ตกแต่งอย่างสวยงาม แล้วตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงกระสัน.
               พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามมักอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร มีดวงใจกระด้าง แม้โบราณกบัณฑิตให้ดื่มโลหิตที่เข่าขวาของตน บริจาคทานตลอดชีวิต ยังไม่ได้ดังใจของมาตุคาม แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระองค์. ในวันขนานพระนาม ได้รับพระราชทานนามว่า ปทุมราชกุมาร. พระปทุมราชกุมารได้มีพี่น้องอีกหกพระองค์ ทั้งเจ็ดพระองค์นั้นเจริญพระชนม์ขึ้นโดยลำดับ ครองฆราวาส ทรงประพฤติเยี่ยงพระราชา.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาประทับทอดพระเนตรพระลานหลวง ทรงเห็นพระราชกุมารพี่น้องเหล่านั้น มีบริวารมากพากันมาปฏิบัติราชการ ทรงเกิดความระแวงว่า ราชกุมารเหล่านี้จะพึงฆ่าเราแล้วชิงเอาราชสมบัติ จึงตรัสเรียกพระราชกุมารเหล่านั้นมารับสั่งว่า ลูกๆ ทั้งหลาย พวกเจ้าจะอยู่ในพระนครนี้ไม่ได้ จงไปที่อื่น เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว จงกลับมารับราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูลเถิด.
               พระราชกุมารเหล่านั้นรับพระดำรัสของพระชนกแล้ว ต่างทรงกันแสง เสด็จไปยังตำหนักของตนๆ ทรงรำพึงว่า พวกเราจักพาพระชายาไปหาเลี้ยงชีพ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงดำเนินทางถึงที่กันดารแห่งหนึ่ง เมื่อไม่ได้ข้าวและน้ำ ไม่สามารถจะกลั้นความหิวโหยไว้ได้ จึงตกลงพระทัยปลงพระชนม์ของพระชายาของพระเจ้าน้อง ด้วยทรงดำริว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็จักหาหญิงได้ แล้วแบ่งเนื้อออกเป็นสิบสามส่วนพากันเสวย. พระโพธิสัตว์เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ในส่วนที่ตนและพระชายาได้ ทั้งสองเสวยแต่ส่วนเดียว. พระราชกุมารทั้งหลายทรงปลงพระชนม์พระชายาทั้งหก แล้วเสวยเนื้อได้หกวันด้วยประการฉะนี้.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงเหลือไว้วันละส่วนทุกๆ วัน เก็บไว้ได้หกส่วน. ในวันที่เจ็ด เมื่อพูดกันว่าจักปลงพระชนม์พระชายาของพระเจ้าพี่. พระโพธิสัตว์จึงประทานเนื้อหกส่วนเหล่านั้นแก่น้องๆ แล้วตรัสว่า วันนี้ พวกท่านจงเสวยหกส่วนเหล่านี้ก่อน พรุ่งนี้จักรู้กัน ในเวลาที่พระราชกุมารน้องๆ เหล่านั้นเสวยเนื้อแล้วหลับไป ก็ทรงพาพระชายาหนีไป. พระชายานั้นเสด็จไปได้หน่อยหนึ่งแล้วทูลว่า ข้าแต่พระภัสดา หม่อมฉันไม่อาจเดินต่อไปได้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทรงแบกพระชายาออกจากที่กันดารไป ในเวลารุ่งอรุณ. เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพระนาง ทูลว่า หม่อมฉันหิวเหลือเกิน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า น้ำไม่มีเลยน้อง. เมื่อพระนางพร่ำวิงวอนบ่อยเข้า ด้วยความสิเนหาต่อพระนาง จึงเอาพระขรรค์เชือดพระชานุ (เข่า) เบื้องขวา แล้วตรัสว่า น้ำไม่มีดอกน้อง น้องจงนั่งลงดื่มโลหิตที่เข่าขวาของพี่. พระชายาได้กระทำตามพระประสงค์. ทั้งสองพระองค์เสด็จถึงแม่น้ำใหญ่โดยลำดับ ทรงดื่ม ทรงอาบ และเสวยผลาผล ทรงพักในที่สำราญ แล้วทรงสร้างอาศรมบทใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง.
               อยู่มาวันหนึ่ง ด้านเหนือแม่น้ำ ราชบุรุษลงโทษโจรผู้ทำผิดพระราชอาญา ตัดมือ เท้า หู และจมูก ให้นอนในเรือโกลนลำหนึ่ง เสือกลอยไปในแม่น้ำใหญ่. โจรนั้นร้องเสียงครวญคราง ลอยมาถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงสดับเสียงร้องอันน่าสงสารของโจรนั้น ทรงดำริว่า เมื่อเรายังอยู่ สัตว์ผู้ได้รับความลำบากอย่าได้พินาศเลย จึงเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ ช่วยให้เขาขึ้นจากเรือ แล้วนำมายังอาศรมบท ได้ทรงกระทำการเยียวยาแผลด้วยการชำระล้างและทาด้วยน้ำฝาด.
               ฝ่ายพระชายาของพระองค์ ครั้นทรงทราบว่า พระสามีทรงปรนนิบัติคนเลวทรามซึ่งลอยน้ำมาถึงปานนั้น ก็ทรงรังเกียจคนเลวทรามนั้น แสดงกิริยากระฟัดกระเฟียดอยู่ไปมา. ครั้นแผลของโจรนั้นหายสนิทแล้ว พระโพธิสัตว์จึงให้เขาอยู่ในอาศรมบทกับพระชายา ทรงแสวงหาผลาผลจากดงมาเลี้ยงดูโจรและพระชายา. เมื่อทั้งสองอยู่กันอย่างนี้ สตรีนั้นก็มีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษชั่วนั้น ประพฤติอนาจารร่วมกับเขา ต้องการจะฆ่าพระโพธิสัตว์ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า เมื่อหม่อมฉันนั่งบนบ่าของพระองค์ออกจากทางกันดาร มองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง จึงบนบานว่า ข้าแต่เทพเจ้าผู้สิงสถิตบนยอดเขา หากข้าพเจ้ากับพระสวามีปลอดภัยได้ชีวิต ข้าพเจ้าจักทำพลีกรรมแก่ท่าน บัดนี้ เทวดานั้นทำให้หม่อมฉันหวาดสะดุ้ง หม่อมฉันจะทำพลีกรรมแก่เทวดานั้น.
               พระโพธิสัตว์ไม่ทรงทราบมายา ทรงรับสั่งว่าดีแล้ว ทรงเตรียมเครื่องเซ่น ให้พระชายาถือภาชนะเครื่องเซ่น ขึ้นสู่ยอดภูเขา. ครั้นแล้ว พระชายาจึงกราบทูลพระสวามีอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสวามี พระองค์ก็เป็นเทวดาของหม่อมฉัน ทั้งชื่อว่าเป็นเทวดาผู้สูงส่ง เบื้องแรกหม่อมฉันจักบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ในป่าก่อน และกระทำประทักษิณถวายบังคม จักทำพลีกรรมเทวดาในภายหลัง. พระนางให้พระโพธิสัตว์หันพระพักตร์เข้าหาเหว ทรงบูชาด้วยดอกไม้ในป่า ทำเป็นปรารถนาจะทำประทักษิณถวายบังคม สถิตอยู่ข้างพระปฤษฎางค์แล้วทรงประหารที่พระปฤษฎางค์ ผลักไปในเหว ดีพระทัยว่า เราเห็นหลังข้าศึกแล้ว จึงเสด็จลงจากภูเขา ไปหาบุรุษเลว.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตกลงจากภูเขา กลิ้งลงไปตามเหว ติดอยู่ที่พุ่มไม้มีใบหนาไม่มีหนามแห่งหนึ่ง เหนือยอดต้นมะเดื่อ. แต่ไม่สามารถจะลงยังเชิงเขาได้ พระองค์จึงเสวยผลมะเดื่อ ประทับนั่งระหว่างกิ่ง. ขณะนั้น พญาเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ขึ้นจากเชิงเขาชั้นล่าง กินผลมะเดื่ออยู่ ณ ที่นั้น. มันเห็นพระโพธิสัตว์ในวันนั้นจึงหนีไป. รุ่งขึ้นมากินผลไม้ที่ข้างหนึ่งแล้วหนีไป. พญาเหี้ยมาอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ ก็คุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์ ถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านมาที่นี้ได้อย่างไร เมื่อพระโพธิสัตว์บอกให้รู้แล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านอย่ากลัวเลย ให้พระโพธิสัตว์นอนบนหลังของตน ไต่ลงออกจากป่า ให้สถิตอยู่ที่ทางใหญ่ แล้วส่งไปด้วยคำว่า ท่านจงไปตามทางนี้ แล้วก็เข้าป่าไป.
               พระโพธิสัตว์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่ออาศัยอยู่ในบ้านนั้น ก็ได้ข่าวว่าพระชนกสวรรคตเสียแล้ว จึงเสด็จไปยังกรุงพาราณสี ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูล ทรงพระนามว่า พระปทุมราชา ทรงครอบครองราชย์โดยธรรม มิให้ราชธรรมกำเริบ รับสั่งให้สร้างโรงทานหกแห่ง ที่ประตูพระนครทั้งสี่กลางพระนคร และประตูพระราชนิเวศน์ ทรงบริจาคทรัพย์บำเพ็ญมหาทานวันละหกแสน.
               หญิงชั่วแม้นั้น ก็ให้ชายชั่วนั่งขี่คอออกจากป่า เที่ยวขอทานในทางที่มีคนรวบรวมข้าวยาคูและภัตร เลี้ยงดูชายชั่วนั้น. เมื่อมีผู้ถามว่าคนนี้เป็นอะไรกับท่าน นางก็บอกว่า ฉันเป็นลูกสาวของลุงของชายผู้นี้ เขาเป็นลูกของอาฉัน พ่อแม่ได้ยกฉันให้ชายผู้นี้. ฉันต้องแบกสามีซึ่งต้องโทษเที่ยวขอทานเลี้ยงดูเขา. พวกมนุษย์ต่างพูดกันว่า หญิงนี้ปรนนิบัติสามีดีจริง. ตั้งแต่นั้นมาก็พากันให้ข้าวยาคูและภัตรมากยิ่งขึ้น. คนอีกพวกหนึ่งพูดกันว่า ท่านอย่าเที่ยวไปอย่างนั้นเลย พระเจ้าปทุมราชเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานเล่าลือกันไปทั่วชมพูทวีป. พระเจ้าปทุมราชทรงเห็นแล้ว จักทรงยินดีพระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก เจ้าจงให้สามีของเจ้านั่งในนี้พาไปเถิด แล้วได้มอบกระเช้าหวายทำให้มั่นคงไปใบหนึ่ง. นางปราศจากยางอาย ให้ชายชั่วนั่งลงในกระเช้าหวาย แล้วแบกกระเช้าเข้าไปกรุงพาราณสี เที่ยวบริโภคอาหารอยู่ในโรงทาน.
               พระโพธิสัตว์ประทับเหนือคอคชสารที่ตกแต่งด้วยเครื่องอลังการ เสด็จถึงโรงทาน ทรงบริจาคทานด้วยพระหัตถ์เอง แก่คนที่มาขอแปดคนบ้าง สิบคนบ้าง แล้วเสด็จกลับ. หญิงไม่มียางอายนั้น ให้ชายชั่วนั่งในกระเช้าแล้วแบกกระเช้า ผ่านไปในทางเสด็จของพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามว่า นั่นอะไร. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ หญิงปฏิบัติสามีคนหนึ่ง พระเจ้าข้า.
               ลำดับนั้น พระองค์รับสั่งให้เรียกนางมา ทรงจำได้ รับสั่งให้เอาชายชั่วออกจากกระเช้า แล้วตรัสถามว่า ชายนี้เป็นอะไรกับเจ้า. นางกราบทูลว่า เขาเป็นลูกของอาของหม่อมฉันเองเพคะ เป็นสามีที่พ่อแม่ยกหม่อมฉันให้เขาเพคะ. พวกมนุษย์ไม่รู้เรื่องราวนั้น ต่างพากันสรรเสริญหญิงผู้ไร้อายนั้น เป็นต้นว่า น่ารักจริง เธอเป็นหญิงปฏิบัติสามีดี. พระราชาตรัสถามต่อไปว่า ชายชั่วผู้นี้เป็นสามีตบแต่งของเจ้าหรือ. นางจำพระราชาไม่ได้ จึงกล้ากราบทูลว่า เป็นความจริงเพคะ.
               พระราชาจึงตรัสว่า ชายผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสีหรือ เจ้าเป็นธิดาของพระราชาองค์โน้น มีชื่ออย่างโน้น เป็นชายาของปทุมราชกุมาร ดื่มโลหิตที่เข่าของเราแล้วมีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วผู้นี้ ผลักเราตกลงในเหว บัดนี้ เจ้าบากหน้ามาหาความตาย สำคัญว่า เราตายไปแล้ว จึงมาถึงที่นี่ ตรัสว่า เรายังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า ท่านอำมาตย์ทั้งหลาย พวกท่านถามเรา เราได้บอกพวกท่านไว้อย่างนี้แล้วมิใช่หรือว่า น้องหกองค์ของเราได้ฆ่าสตรีหกคนบริโภคเนื้อ แต่เราได้ช่วยชายาของเราให้ปลอดภัย พาไปยังแม่น้ำคงคาอาศัย อยู่ในอาศรมบท ได้ช่วยชายเลวคนหนึ่งที่ต้องราชทัณฑ์มาเลี้ยงดู. หญิงคนนี้มีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วนั้น ผลักเราตกลงไปในเหวภูเขา เรารอดชีวิตมาได้ เพราะตนมีจิตเมตตา หญิงที่ผลักเราตกจากเขามิใช่อื่น คือหญิงชั่วคนนี้เอง และชายชั่วที่ต้องราชอาญาก็มิใช่อื่น คือคนนี้นี่แหละ.
               แล้วได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

               หญิงคนนี้แหละคือหญิงคนนั้น แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่คนอื่น ชายคนนี้แหละที่หญิงคนนี้อ้างว่าเป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี ก็คือชายที่ถูกตัดมือ หาใช่คนอื่นไม่ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายควรฆ่าให้หมดเลย ความสัตย์ไม่มีในหญิงทั้งหลาย.

               ท่านทั้งหลายจงฆ่าชายผู้ชั่วช้าลามกราวกับซากผี มักทำชู้กับภรรยาผู้อื่นคนนี้เสีย ด้วยสาก จงตัดหู ตัดจมูกของหญิงผู้ปรนนิบัติผัวชั่วช้าลามกคนนี้เสียทั้งเป็นๆ เถิด.


               ในบทเหล่านั้น บทว่า ยมาห โกมาริปติโก มมนฺติ ความว่า หญิงนี้กล่าวว่า ชายนี้เป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี คือเป็นผัวตบแต่ง ก็คือหญิงคนนี้แหละ แม้เราก็คือบุรุษคนนั้นมิใช่อื่น. บาลีว่า ยมาห โกมาริปติ ก็มี. เพราะท่านเขียนบทนี้ไว้ในคัมภีร์ทั้งหลาย. ความก็อย่างเดียวกัน. แต่ในบทนี้พึงทราบความคลาดเคลื่อนของคำ. ก็พระราชาตรัสคำใดไว้ คำนั้นแหละมาแล้วในที่นี้. บทว่า วชฺฌิตฺถิโย ความว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย ควรฆ่าให้หมด.
               บทว่า นตฺถิ อิตฺถีสุ สจฺจํ ได้แก่ ชื่อว่าความสัตย์ในหญิงเหล่านี้ไม่มีสักอย่างเดียว. บทว่า อิมญฺจ ชมฺมํ เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการลงโทษชายเหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺมํ คือ ลามก. บทว่า มุสเลน หนฺตฺวา ได้แก่ เอาสากทุบตีทำให้กระดูกหักเป็นชิ้นๆ. บทว่า ลุทฺทํ คือ หยาบช้า. บทว่า ฉวํ ได้แก่ คล้ายคนตาย เพราะไม่มีคุณธรรม. บทว่า นํ ในบทว่า อิมิสฺสา จ นํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงตัดหู และจมูกของหญิงนี้ผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว ไม่มียางอาย เป็นคนทุศีล ทั้งๆ ยังเป็นอยู่.

               พระโพธิสัตว์ เมื่อไม่ทรงสามารถอดกลั้นความโกรธไว้ได้ แม้รับสั่งให้ลงอาญาแก่พวกเขาอย่างนี้ ก็มิได้ทรงให้กระทำอย่างนั้นได้ แต่ได้ทรงบรรเทาความโกรธให้เบาบางลง แล้วรับสั่งให้ผูกกระเช้านั้นจนแน่น โดยที่นางไม่อาจยกกระเช้าลงจากศีรษะได้ ขังชายชั่วนั้นไว้ในกระเช้า จนกระทั่งตาย.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก.
               เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันได้บรรลุโสดาปัตติผล
               พี่น้องทั้งหกในครั้งนั้น ได้เป็นพระเถระองค์ใดองค์หนึ่ง ในครั้งนี้.
               ภรรยาได้เป็น นางจิญจมาณวิกา
               ชายชั่วได้เป็น เทวทัต
               พญาเหี้ยได้เป็น อานนท์
               ส่วนปทุมราชา คือ เราตถาคต นี้แล.
               จบ อรรถกถาจุลลปทุมชาดกที่ ๓

.. อรรถกถา จุลลปทุมชาดก ว่าด้วย การลงโทษหญิงชายทำชู้กัน จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 233 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 235 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 237 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=1416&Z=1425
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=3038
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=37&A=3038
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๖  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :