ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1777 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1790 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1806 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา กาลิงคโพธิชาดก
ว่าด้วย การพยากรณ์ที่อันเป็นชัยภูมิ

               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภการบูชามหาโพธิ์ที่พระอานนทเถระกระทำแล้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ราชา กาลิงฺโค จกฺกวตฺติ ดังนี้.
               ความพิสดารว่า พระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไปตามชนบท เพื่อประโยชน์จะทรงสงเคราะห์เวไนยสัตว์ ชาวกรุงสาวัตถีต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปยังพระเชตวัน ไม่ได้ปูชนียสถานอย่างอื่นไปวางไว้ที่ประตูพระคันธกุฎี ด้วยเหตุนั้น เขาก็มีความปราโมทย์กันอย่างยิ่ง.
               ท่านอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีทราบเหตุนั้นแล้ว จึงไปยังสำนักพระอานนทเถระ ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จมาพระเชตวัน กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อพระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไป พระวิหารนี้ไม่มีปัจจัย มนุษย์ทั้งหลายไม่มีสถานที่บูชา ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ขอโอกาสเถิด ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงกราบทูลความเรื่องนี้แด่พระตถาคต แล้วจงรู้ที่ ที่ควรบูชาสักแห่งหนึ่ง.
               พระอานนทเถระรับว่า ดีละ แล้วทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจดีย์มีกี่อย่าง. พระศาสดาตรัสตอบว่า มีสามอย่าง อานนท์. พระอานนทเถระทูลถามว่า สามอย่างอะไรบ้าง พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ธาตุเจดีย์ ๑ ปริโภคเจดีย์ ๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑. พระอานนทเถระทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป ข้าพระองค์อาจกระทำเจดีย์ได้หรือ.
               พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ สำหรับธาตุเจดีย์ไม่อาจทำได้ เพราะธาตุเจดีย์นั้น จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สำหรับอุทเทสิกเจดีย์ ก็ไม่มีวัตถุปรากฏ เป็นเพียงเนื่องด้วยตถาคตเท่านั้น ต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าอาศัยเป็นที่ตรัสรู้ ถึงพระพุทธเจ้าจะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตาม เป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน.
               พระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จหลีกไป พระมหาวิหารเชตวันหมดที่พึ่งอาศัย มนุษย์ทั้งหลายไม่ได้สถานที่เป็นที่บูชา ข้าพระองค์จักนำพืชจาก ต้นมหาโพธิมาปลูกที่ประตูพระเชตวัน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดีแล้ว อานนท์ เธอจงปลูกเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น ในพระเชตวัน ก็จักเป็นดังตถาคตอยู่เป็นนิตย์. พระอานนทเถระบอกแก่พระเจ้าโกศล อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี และนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นต้น ให้ขุดหลุม ณ ที่เป็นที่ปลูกต้นโพธิที่ประตูพระเชตวัน แล้วกล่าวกะ พระมหาโมคคัลลานเถระ ว่า ท่านขอรับ กระผมจักปลูกต้นโพธิที่ประตูพระเชตวัน ท่านช่วยนำเอาลูกโพธิสุกจากต้นมหาโพธิให้กระผมทีเถิด.
               พระมหาโมคคัลลานเถระรับว่า ดีละ แล้วเหาะไปยังโพธิมณฑล เอาจีวรรับลูกโพธิที่หล่นจากขั้ว แต่ยังไม่ถึงพื้นดิน ได้แล้วนำมาถวายพระอานนทเถระ. พระอานนทเถระได้แจ้งความพระเจ้าโกศลเป็นต้นว่า เราจักปลูกต้นโพธิในที่นี้. พระเจ้าโกศลให้ราชบุรุษถือเครื่องอุปกรณ์ทุกอย่าง เสด็จมาพร้อมด้วยบริวารใหญ่ ในเวลาเย็น. อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา และผู้มีศรัทธาอื่นๆ ก็ได้ทำเช่นนั้น.
               พระอานนทเถระ ตั้งอ่างทองใบใหญ่ไว้ในที่เป็นที่ปลูกต้นโพธิ ให้เจาะก้นอ่าง แล้วให้ลูกโพธิสุกแด่พระเจ้าโกศล ทูลว่า มหาบพิตร พระองค์จงปลูกโพธิสุกนี้เถิด พระเจ้าโกศลทรงพระดำริว่า ความเป็นพระราชามิได้ดำรงอยู่ตลอดไป ควรที่เราจะให้อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีปลูกต้นโพธินี้ ทรงดำริดังนี้ แล้วได้วางลูกโพธิสุกนั้นไว้ในมือของมหาเศรษฐี.
               อนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีรวบรวมเปือกตมที่มีกลิ่นหอมแล้ว ฝังลูกโพธิสุกไว้ในเปือกตมนั้น พอลูกโพธิพ้นมือมหาเศรษฐี เมื่อชนทั้งปวงกำลังแลดูอยู่ ได้ปรากฏลำต้นโพธิ ประมาณเท่างอนไถ สูงห้าสิบศอก แตกกิ่งใหญ่ห้ากิ่งๆ ละห้าสิบศอก คือในทิศทั้งสี่และเบื้องบน ต้นโพธินั้นเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าต้นไม้ใหญ่ในป่า ตั้งขึ้นในทันใดนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.
               พระราชารับสั่งให้เอา หม้อทองคำและหม้อเงิน ๘๐๐ หม้อใส่น้ำหอมเต็ม ประดับด้วยดอกบัวเขียว สูงขึ้นมาหนึ่งศอกเป็นต้น ตั้งเป็นแถวแวดล้อมต้นมหาโพธิ แล้วรับสั่งให้ทำแท่นสำเร็จด้วยรัตนะเจ็ด โปรยปรายผสมทอง สร้างกำแพงล้อมรอบ ทำซุ้มประตูสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ เครื่องสักการะ ได้มีเป็นอันมาก. พระอานนทเถระเข้าไปเฝ้าพระตถาคต กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิที่ข้าพระองค์ปลูก เข้าสมาบัติที่พระองค์เข้า ณ โคนต้นมหาโพธิ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน. พระศาสดาตรัสว่า พูดอะไร อานนท์ เมื่อเรานั่งเข้าสมาบัติที่ได้เข้าแล้ว ณ มหาโพธิมณฑล ประเทศอื่นก็ไม่อาจที่จะทรงอยู่ได้. พระอานนทเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน ขอพระองค์จงใช้สอยโคนต้นโพธินั้น ด้วยความสุขเกิดแก่สมาบัติ โดยกำหนดว่า ใกล้ภูมิประเทศนี้เถิด. พระศาสดาทรงใช้สอยโคนต้นโพธินั้น ด้วยความสุขเกิดแต่สมาบัติตลอดราตรีหนึ่ง.
               พระอานนทเถระถวายพระพรแด่พระเจ้าโกศลเป็นต้น ให้ทำการฉลองต้นโพธิ. และต้นโพธิแม้นั้น ก็ปรากฏว่า อานนทโพธิทีเดียว เพราะเป็นต้นไม้ที่พระอานนท์ปลูกไว้.
               ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ท่านพระอานนท์ เมื่อตถาคตยังดำรงอยู่ ให้ปลูกต้นโพธิ์แล้วบูชาอย่างมากมาย พระเถระมีคุณมากน่าอัศจรรย์จริง.
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยอะไรหนอ.
               เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ.
               จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน อานนท์ก็ได้พามนุษย์ในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ พร้อมด้วยทวีปบริวาร ให้นำของหอมและดอกไม้เป็นอันมาก ไปกระทำการฉลองต้นโพธิ ณ มหาโพธิมณฑลเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาเล่าดังต่อไปนี้.
               ในอดีตกาล พระเจ้ากาลิงคราชเสวยราชสมบัติอยู่ในทันตปุรนคร แคว้นกาลิงคะ. พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ มหากาลิงคะ องค์หนึ่ง จุลลกาลิงคะ องค์หนึ่ง ในสององค์นั้น องค์พี่ พวกโหรทำนายว่า จักได้ครองราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาล่วงลับไปแล้ว แต่องค์น้อง พวกโหรทำนายว่า จักบวชเป็นฤาษีเที่ยวภิกขาจาร แต่โอรสขององค์น้องจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.
               ต่อมาภายหลัง เมื่อพระราชบิดาล่วงลับไป พระราชโอรสองค์พี่เป็นพระราชา องค์น้องเป็นอุปราช. อุปราชนั้นได้มีมานะขึ้น เพราะบุตรเป็นเหตุ ว่า ได้ยินว่า ลูกของเราจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. พระราชานั้นทรงอดทนอยู่ไม่ได้ จึงรับสั่งกะอำมาตย์รับใช้คนหนึ่งว่า เจ้าจงจับเจ้าจุลลกาลิงคะ. อำมาตย์นั้นไปกราบทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร พระราชาประสงค์จะจับพระองค์ ขอจงรักษาชีวิตของพระองค์ไว้. อุปราชได้เอาของสามอย่างของพระองค์ คือ พระราชลัญจกร ผ้ากัมพลเนื้อละเอียด และพระขรรค์ แสดงแก่อำมาตย์รับใช้ แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายพึงให้ราชสมบัติแก่บุตรของเราด้วยสัญญานี้ แล้วเสด็จเข้าป่า สร้างอาศรมในภูมิประเทศที่รื่นรมย์ บวชเป็นฤาษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ.
               แม้ในแคว้นมัททราช พระอัครมเหสีของพระเจ้ามัททราชในสาคลนคร ประสูติพระธิดา. พวกโหรทำนายพระธิดาว่า พระธิดานี้จักเที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีพ แต่พระโอรสของพระนางจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. พระราชาชาวชมพูทวีปได้สดับเหตุดังนั้น จึงมาล้อมพระนครพร้อมกัน. พระเจ้ามัททราชทรงดำริว่า ถ้าเราให้ธิดานี้แก่พระราชาองค์หนึ่ง พระราชาที่เหลือก็จักโกรธ เราจักรักษาธิดาของเราไว้ จึงพาพระธิดาและพระอัครมเหสี ปลอมพระองค์หนีเข้าป่า สร้างอาศรมอยู่ทางเหนืออาศรมของกาลิงคกุมาร เลี้ยงชีพด้วยมวลผลาหารอยู่ ณ ที่นั้น. พระชนกชนนีทรงดำริว่า เราจักรักษาธิดาอยู่ในอาศรม แล้วไปหาผลาหาร. ในเวลาที่พระชนกชนนีไป พระธิดาได้เอาดอกไม้ต่างๆ มาทำเป็นเทริดดอกไม้ แล้ววางไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา จนเกิดเป็นเหมือนคั่นบันได. ที่นั้นมีต้นมะม่วงที่งามชอุ่มอยู่ต้นหนึ่ง พระธิดาขึ้นเล่นบนต้นมะม่วง แล้วปาเทริดดอกไม้ไป.
               วันหนึ่ง เทริดดอกไม้ไปคล้องพระเศียรของกาลิงคกุมารผู้กำลังสรงสนานอยู่ในแม่น้ำคงคา. พระกาลิงคกุมารแลดูแล้ว ทรงพระดำริว่า เทริดดอกไม้นี้ หญิงคนหนึ่งกระทำ แต่ไม่ใช่หญิงแก่ทำ เป็นหญิงสาวทำ เราจักตรวจตราดูก่อน จึงไปเหนือน้ำคงคาด้วยอำนาจกิเลส ได้สดับเสียงของพระธิดา ผู้นั่งอยู่บนต้นมะม่วง ร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ จึงเสด็จไปที่โคนต้นไม้ ทอดพระเนตรเห็นพระธิดา จึงตรัสถามว่า แม่นางผู้มีพักตร์อันเจริญ ท่านเป็นใคร.
               พระธิดาตอบว่า เราเป็นมนุษย์. พระกุมารตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงลงมา.
               พระธิดาตรัสว่า นาย เราเป็นกษัตริย์ไม่อาจลงไปได้.
               พระกุมารตรัสว่า ที่รัก ฉันเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ท่านจงมาเถิด.
               พระธิดาตรัสว่า นาย คนมิใช่เป็นกษัตริย์ได้ ด้วยเหตุสักว่า ถ้อยคำเท่านั้น ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ ขอท่านจงกล่าวมายาของกษัตริย์เถิด. ชนทั้งสองนั้นต่างกล่าวมายากษัตริย์กะกันและกัน. เมื่อชนทั้งสองอยู่ด้วยความรักใคร่ พระราชธิดาก็ตั้งครรภ์โดยครบ ๑๐ เดือนก็ประสูติพระราชโอรส ซึ่งสมบูรณ์ด้วยบุญลักษณะอันอุดม. พระชนกชนนีได้ขนานนามว่า กาลิงคะ.
               กาลิงคกุมารนั้นเจริญวัย สำเร็จการศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่าง ในสำนักของพระชนกและพระอัยกา. ลำดับนั้น พระชนกของกาลิงคกุมารนั้น ตรวจดูดวงดาวก็ทราบว่าพี่ชายสวรรคตแล้ว จึงบอกบุตรว่า พ่ออย่าอยู่ในป่าเลย พระเจ้ามหากาลิงคะผู้เป็นลุงของพ่อสวรรคตแล้ว พ่อจงไปยังทันตปุรนคร ครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เถิด แล้วมอบพระธำมรงค์ ผ้ากัมพล และพระขรรค์ ซึ่งพระองค์นำมาให้แล้วตรัสสั่งว่า พ่อ ในทันตปุรนคร อำมาตย์ผู้ประพฤติประโยชน์ของเรา มีอยู่ ที่ถนนโน้น พ่อจงเหาะลงไปที่กลางที่นอนในเรือนของเขา แล้วแสดงรัตนะสามประการนี้ แล้วบอกความที่ เจ้าเป็นโอรสของเราแก่เขา เขาจักช่วยเจ้าให้ได้ครองราชสมบัติ.
               กาลิงคกุมารนั้นกราบลาพระชนกชนนีและอัยกา แล้วเหาะไปด้วยบุญฤทธิ์ ลงนั่งเหนือที่นอนของอำมาตย์ ถูกถามว่า ท่านเป็นใคร จึงบอกว่า เราเป็นบุตรของจุลลกาลิงคะ แล้วแสดงรัตนะสามนั้น.
               อำมาตย์จึงประกาศแก่ราชบริษัท. อำมาตย์และราชบริษัททั้งหลาย พร้อมกันประดับประดาพระนครนั้น อภิเษกกาลิงคกุมารให้ครองราชสมบัติ.
               ลำดับนั้น ปุโรหิตชื่อว่า ภารทวาชะ ของพระเจ้ากาลิงคะได้กราบทูลจักรพรรดิ ให้พระเจ้ากาลิงคะทรงทราบ. พระเจ้ากาลิงคะนั้นทรงบำเพ็ญจักรวัตรนั้นให้บริบูรณ์แล้ว. ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ จักรแก้วก็มาจากที่อยู่ของจักรแก้ว ช้างแก้วก็มาจากตระกูลอุโปสถ ม้าแก้วก็มาจากตระกูลอัศวราชวลาหก แก้วมณีก็มาจากเขาเวปุลลบรรพต นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้ว ก็บังเกิดปรากฏแก่พระเจ้ากาลิงคะนั้น.
               พระเจ้าจักรพรรดิกาลิงคราช ทรงครองราชสมบัติตลอดห้องจักรวาล วันหนึ่ง มีเสนาแวดล้อมเต็มไปในที่ ประมาณ ๓๖ โยชน์ เสด็จขึ้นทรงช้างเผือกขาว เปรียบด้วยยอดเขาไกรลาส ไปสู่สำนักพระชนกชนนี ด้วยสิริวิลาสใหญ่.
               ฝ่ายช้างพระที่นั่งพระเจ้าจักรพรรดินั้น ไม่อาจเหาะข้ามมหาโพธิมณฑล อันเกิดแต่สะดือแผ่นดิน อันเป็นไชยมงคลของพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้. พระเจ้าจักรพรรดิราชทรงไสไปเนืองๆ แต่ช้างทรงนั้น ก็ไม่อาจที่จะไปได้.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาที่ ๑ ว่า
               พระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า กาลิงคะ ได้ทรงสั่งสอนมนุษย์ทั่วแผ่นดินโดยธรรม ได้เสด็จไปสู่ที่ใกล้ต้นโพธิ ด้วยช้างทรงมีอานุภาพมาก.

               ลำดับนั้น ปุโรหิตของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งตามเสด็จไปด้วยคิดว่า ธรรมดาว่าทางอากาศไม่มีเครื่องกั้น เพราะเหตุไรหนอ พระราชาจึงไม่อาจจะไสช้างไปได้ เราจักตรวจตราดู แล้วลงจากอากาศ ตรวจตราเห็นภูมิภาคอันเป็นมณฑลสะดือแผ่นดิน มีชัยบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง.
               ได้ยินว่า ในครั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าต้นหญ้า แม้สักเท่าหนวดกระต่ายมิได้มี ในที่มีประมาณ ๘ กรีสนั้นเลย มีแต่ทรายอันมีสีเหมือนแผ่นเงินเรี่ยรายอยู่ หญ้าเครือเถาไม้ใหญ่โดยรอบที่นั้นมียอดเวียนประทักษิณโพธิมณฑล แล้วตั้งอยู่เฉพาะหน้าโพธิมณฑล.
               ปุโรหิตตรวจดูภูมิภาคแล้วคิดว่า แท้จริง ที่นี้เป็นที่ที่กำจัดกิเลสทั้งปวงของพระพุทธเจ้าทั้งปวง แม้ถึงใครๆ มีท้าวสักกะเป็นต้น ก็ไม่อาจที่จะเหาะข้ามที่นี้ไปได้ จึงไปเฝ้าพระเจ้ากาลิงคราช แสดงคุณของพระโพธิมณฑล แล้วกราบทูลพระราชาว่า เสด็จลงเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
               ภารทวาชปุโรหิต พิจารณาดูภูมิภาคแล้ว จึงประคองอัญชลี กราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นบุตรแห่งดาบส ชื่อว่า กาลิงคะว่า
               ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญพระองค์เสด็จลงเถิด ภูมิภาคนี้ อันพระพุทธเจ้า ผู้เป็นสมณะ ทรงสรรเสริญแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้โดยยิ่ง มีพระคุณหาประมาณมิได้ ย่อมไพโรจน์ ณ ภูมิภาคนี้.
               หญ้าและเครือเถาทั้งหลายในภูมิภาคส่วนนี้ ม้วนเวียนโดยรอบทักษณาวัฏ ภูมิภาคส่วนนี้เป็นที่ไม่หวั่นไหวแห่งแผ่นดิน ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์สดับมาอย่างนี้.
               ภูมิภาคส่วนนี้ เป็นมณฑลแห่งแผ่นดิน อันทรงไว้ซึ่งภูตทั้งปวง มีสาครเป็นขอบเขต ขอเชิญพระองค์เสด็จลงแล้ว กระทำการนอบน้อมเถิด พระเจ้าข้า.
               ช้างกุญชรเชือกประเสริฐ เกิดในตระกูลอุโปสถ ย่อมไม่เข้าไปใกล้ประเทศเลย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
               ช้างเชือกประเสริฐ เป็นช้างเกิดในตระกูลอุโบสถโดยแท้ ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ ถ้าพระองค์ยังทรงสงสัยอยู่ ก็จงทรงไสช้างพระที่นั่งไปเถิด.
               พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงใคร่ครวญ ถ้อยคำของปุโรหิต ผู้ชำนาญการพยากรณ์ ว่า เราจักรู้ถ้อยคำของปุโรหิตนี้ว่า จริงหรือไม่จริง อย่างนี้แล้ว ทรงไสพระที่นั่งไป.
               ฝ่ายช้างพระที่นั่ง ถูกพระราชาไสไปแล้ว ก็เปล่งเสียงดุจนกกระเรียน แล้วถอยหลังทรุดคุกลง ดังอดทนภาระหนักไม่ได้ ฉะนั้น.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมณโกลญฺญํ แปลว่า บุตรแห่งดาบส. บทว่า จกฺกวตฺตยโต ความว่า ผู้มีมานะว่า เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อธิบายว่า เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า ปริคฺคเหตฺวา ความว่า ตรวจดูภูมิภาค. บทว่า สมณุคีโต ความว่า อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงพรรณนาแล้ว.
               บทว่า อนธิวรา แปลว่า ผู้มีคุณอันชั่งมิได้ ประมาณมิได้.
               บทว่า วิโรจนฺติ ความว่า ผู้กำจัดความมืดคือกิเลสทั้งปวงได้แล้ว ย่อมนั่งรุ่งเรืองอยู่ในภูมิภาคส่วนนี้ เหมือนพระสุริโยทัยทอแสงอ่อนๆ ฉะนั้น. บทว่า ติณลตา ได้แก่ หญ้าและเครือเถา.
               บทว่า มณฺโฑ ความว่า เป็นมณฑลแห่งแผ่นดินหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ เป็นสาระไม่ถูกอะไรๆ ครอบงำได้ เป็นสถานที่ไม่หวั่นไหว เมื่อกัปยังดำรงอยู่ก็ดำรงอยู่ก่อน เมื่อกัปพินาศก็พินาศในภายหลัง. บทว่า อิติ โน สุตํ ความว่า ข้าพระองค์ได้สดับมาแล้วด้วยลักษณะมนต์อย่างนี้. บทว่า โอโรหิตฺวา ความว่า ขอเชิญพระองค์ลงจากอากาศแล้ว จงกระทำการนอบน้อม คือกระทำการบูชาสักการะต่อสถานที่ เป็นที่กำจัดกิเลสของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นี้. บทว่า เย เต ความว่า ช้างประเสริฐตัวบังเกิดในตระกูลอุโบสถ กล่าวคือช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ.
               บทว่า เอตฺตาวตา ความว่า ช้างเชือกประเสริฐทั้งหมดนั้นย่อมไม่ไปใกล้ประเทศมีประมาณเท่านี้ได้เลย แม้จะถูกตักเตือน ก็ไม่เข้าไป. บทว่า อภิชาโต ความว่า ช้างเชือกประเสริฐนี้ในตระกูลอุโปสถ ครอบงำ ก้าวล่วง ตระกูลช้างทั้ง ๘ มีโคจริยาเป็นต้น. บทว่า กุญฺชรํ แปลว่า ชนิดสูงสุด.
               บทว่า เอตฺตาวตา ความว่า ช้างประเสริฐนี้ ไม่สามารถเข้าไปประเทศมีประมาณเท่านี้ได้ คือไม่อาจเข้าไปให้ ยิ่งกว่านั้นไปได้ พระองค์ เมื่อหวังเฉพาะ จงให้สัญญาด้วยขอเพชรแล้วไสไป.
               บทว่า เวยฺยญฺชนิกวโจ นิสาเมตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นั้น ทรงตรวจตราใคร่ครวญ ถ้อยคำของกาลิงคภารทวาช ปุโรหิตนั้นเชี่ยวชาญชำนาญในการพยากรณ์ลักษณะ แล้วใคร่ครวญพิจารณาว่า เราจักรู้คำของผู้นี้เป็นความหรือไม่จริง ดังนี้ จึงไสช้างพระนั่งไป. บทว่า โกญฺโจว อภินทิตฺวา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างเชือกประเสริฐนั้น อันพระราชาทรงเตือนแล้ว ด้วยขอประดับเพชร แล้วไสไป จึงเปล่งเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน ถอยไปชูงวงขึ้น น้อมคอเข้าไป นั่งอยู่บนอากาศนั่นเอง ทำเป็นเหมือนไม่อาจจะนำภาระหนักไปได้.

               ช้างพระที่นั่งนั้น เมื่อถูกพระเจ้าจักรพรรดิทิ่มแทงอยู่บ่อยๆ ไม่อาจจะอดกลั้นทุกขเวทนาได้ทำกาละแล้ว. ส่วนพระเจ้ากาลิงคะ เมื่อไม่ทราบว่าช้างทรงถึงแก่ความตาย จึงคงประทับอยู่ ณ ที่นั้น. ปุโรหิตภารทวาชะชาวกาลิงคะจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ช้างพระที่นั่งของพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว ขอพระองค์ทรงก้าวไปสู่ช้างเชือกอื่นเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาที่ ๑๐ ว่า
               ปุโรหิตภารทวาชะกาลิงครัฐ รู้ว่า ช้างพระที่นั่งสิ้นอายุแล้ว จึงรีบกราบทูลพระเจ้ากาลิงคะ ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอเชิญเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกอื่นเถิด ช่างพระที่นั่งเชือกนี้สิ้นอายุแล้ว พระเจ้าข้า.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโค ขณายุโก ความว่า ช้างเชือกประเสริฐของพระองค์ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว เพราะเมื่อพระราชาจะทรงทำพระราชกิจอะไรๆ ไม่สามารถประทับนั่งบนหลังได้ ขอพระองค์จงทรงก้าวไปทรงช้างประเสริฐเชือกอื่น เพื่อเสด็จไปโดยที่สุดแห่งโพธิมณฑล.
               ด้วยกำลังพระฤทธิ์ของพระเจ้ากาลิงคะ ช้างเชือกประเสริฐอื่นก็มาจากตระกูลอุโบสถ แล้วน้อมหลังเข้าไปใกล้พระเจ้ากาลิงคะ พระเจ้ากาลิงคะเสด็จประทับนั่งบนหลังของช้างเชือกนั้น ขณะนั้น ช้างเชือกที่ตายก็ล้มลงไปบนพื้นดิน.

               พระศาสดา เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาอีกว่า
               พระเจ้ากาลิงคะทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงรีบเสด็จไปทรงช้างพระที่นั่งเชือกใหม่ เมื่อพระราชาเสด็จก้าวไปพ้นแล้ว ช้างพระที่นั่งที่ตายแล้ว ก็ล้มลง ณ พื้นดินที่นั่นเอง ถ้อยคำของปุโรหิตผู้ชำนาญการพยากรณ์เป็นอย่างใด ช้างพระที่นั่งเป็นอย่างนั้น.

               ลำดับนั้น พระเจ้ากาลิงคราชจึงเสด็จลงจากอากาศ แล้วทอดพระเนตรดูโพธิมณฑล เห็นปาฏิหาริย์ เมื่อจะทรงสรรเสริญปุโรหิตภารทวาชะ จึงตรัสว่า
               พระเจ้ากาลิงคะได้ตรัสกะพราหมณ์ภารทวาชะชาวกาลิงครัฐอย่างนี้ว่า ท่านเป็นสัมพุทธะ รู้เหตุทั้งปวงโดยแท้.

               พราหมณ์ปุโรหิตมิได้รับคำสรรเสริญนั้น ตั้งตนไว้ในฐานะอันต่ำแล้วเข้าใกล้ สรรเสริญพระพุทธคุณเท่านั้น.
               พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
               กาลิงคพราหมณ์ เมื่อไม่รับคำสรรเสริญนั้นจึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์เป็นผู้ชำนาญการพยากรณ์ ชื่อว่าพุทธะ ผู้รู้เหตุทั้งปวงก็จริง.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวยฺยญฺชนิกา ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์เห็นพยัญชนะแล้วเป็นผู้สามารถ เมื่อพยากรณ์ได้ ชื่อว่าสุคตพุทธะ

               ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้เหตุทั้งปวง เป็นผู้รู้ธรรมทั้งปวง ความที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบและทรงรู้แจ้งเหตุทั้งปวง ต่างด้วยอดีตเหตุเป็นต้น คือพระพุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมรู้เห็นทั้งปวงด้วยพระสัพพัญญุตญาณโดยลักษณะ ส่วนข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นผู้สามารถในอาคม(นิกายเป็นที่มา) รู้ด้วยกำลังศิลปะเท่านั้น และรู้เพียงเอกเทศเดียวเท่านั้น ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลายรู้เหตุทั้งปวงแล.

               พระเจ้ากาลิงคะได้สดับพุทธคุณแล้วเกิดโสมนัส จึงให้ชนผู้อยู่ในสกลจักรวาล นำของหอมและมาลาเป็นอันมาก มากระทำการบูชาพระมหาโพธิมณฑล สิ้น ๗ วัน.
               พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า
               พระเจ้ากาลิงคะทรงนำเอามาลาและเครื่องลูบไล้ พร้อมด้วยดนตรีต่างๆ ไปบูชาพระมหาโพธิ์ แล้วรับสั่งให้กระทำกำแพงแวดล้อมไว้.
               รับสั่งให้เก็บดอกไม้ ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน มาบูชาโพธิมณฑล อันเป็นอนุตริยะ แล้วเสด็จกลับ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปายาสิ ความว่า ท้าวเธอได้เสด็จไปยังสำนักของพระชนกชนนีแล้ว ทรงรับสั่งให้ยกเสาทองคำสูงประมาณ ๑๘ ศอก ณ มหาโพธิมณฑลแล้วให้สร้างเวทีแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ถวายพระมหาโพธินั้น เกลี่ยทรายเจือด้วยแก้ว ให้สร้างกำแพงล้อมไว้ ให้สร้างซุ้มประตู ให้รวบรวมดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียนทุกวันๆ แล้วบูชาโพธิมณฑลด้วยประการฉะนี้. แต่ในบาลีมาเพียงเท่านี้ว่า สฏฺฐิวาหสหสฺสานิ ปุปฺผานํ ดอกไม้ประมาณหกหมื่นเล่มเกวียน.

               พระเจ้ากาลิงคะ ครั้นทรงทำการบูชาพระมหาโพธิอย่างนี้แล้ว เสด็จไปหาพระชนกชนนีมาสู่เมืองทันตปุระ แล้วบำเพ็ญกุศลทั้งหลายมีทานเป็นต้น สิ้นพระชนม์แล้วบังเกิดในดาวดึงสพิภพ.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า
                         อานนท์ได้ทำการบูชาโพธิมณฑลในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้
                         แม้ในกาลก่อน อานนท์ก็ได้กระทำการบูชาโพธิมณฑลแล้วเหมือนกัน
               แล้วตรัสประชุมชาดกว่า
               พระเจ้ากาลิงคะในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
               ส่วนปุโรหิตชื่อว่าภารทวาชะชาวกาลิงคะ คือ เราตถาคต แล.

               จบอรรถกถากาลิงคโพธิชาดกที่ ๖

.. อรรถกถา กาลิงคโพธิชาดก ว่าด้วย การพยากรณ์ที่อันเป็นชัยภูมิ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1777 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1790 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1806 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=6956&Z=7002
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=40&A=3754
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=40&A=3754
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๐  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :